เมื่อวันที่ 3 เมษายน 54 ที่ห้องประชุมชั้น 3 สภ.กะทู้ ต.ป่าตอง อ.กะทู้ ภูเก็ต พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พร้อมด้วยพ.ต.อ.อารยะพันธ์ พุกบัวขาว ผกก.สภ.กะทู้ พ.ต.ท.กิติพงษ์ คล้ายแก้ว รองผกก.สส.สภ.กะทู้ และชุดจับกุม ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมนายภาคภูมิ มณีรัตน์ อายุ 29 ปี อาชีพเซลแมน อยู่บ้านเลขที่ 33 ซ.2/2ถ.เยาวราช ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง ภูเก็ต พร้อมของกลาง รถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีเทา หมายเลขทะเบียน ฎส 4868 กทม. โทรศัพท์จำนวน 2 เครื่อง ในข้อหา พาหญิงไปเพื่ออนาจาร โดยใช้อุบายหลอกลวงขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนด้วยประการอื่นใด, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยการใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น, ข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยขู่เข็ญด้วยประกานใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยหญิงอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขันขืนได้, หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย
ทั้งนี้ พ.ต.อ.อารยะพันธ์ พุกบัวขาว ผกก.สภ.กะทู้ ได้กล่าวว่า เมื่อวันที่ 1 เมษายน 54 ที่ผ่านมา ทางพนักงานสอบสวน ได้รับแจ้งจาก น.ส.อมิตตา อายุ 25 ปี สัญชาติพม่า ว่า เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 54 ขณะที่ตนพร้อมพวกได้เดินอยู่บนถนนผังเมืองสาย ก. ตรงข้ามตลาดเจเจพลาซ่า ต.ป่าตอง อ.กะทู้ ภูเก็ต ก็ได้มีรถยนต์คันดังกล่าวโดยมีผู้ชายได้อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากนั้นก็ได้ขอตรวจบัตรประจำตัวบุคคลต่างด้าว โดยเพื่อนๆ ที่มาด้วยก็ได้แสดงบัตร ส่วนตนไม่ได้นำบัตรติดตัวมา จึงได้ถูกชายคนดังกล่าวสั่งให้ขึ้นรถ เพื่อนำตัวไปสอบสวนและเปรียบเทียบปรับที่สภ.กะทู้ และเมื่อตนได้ขึ้นรถ ชายคนดังกล่าวกลับขับรถพาตนเองไปจ.กระบี่ โดยได้เปิดโรงแรมแห่งหนึ่งในจ.กระบี่ และได้กังขังหน่วยเหนี่ยวไม่ยอมให้ออกไปไหนตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม เป็นต้นมา โดยระหว่างนั้นก็ได้กระทำชำเราจำนวนหลายครั้ง โดยที่จำได้จำนวนทั้งสิ้น 15 ครั้ง จนกระทั่งวันที่ 1 เมษายน 54 ชายคนดังกล่าวก็ได้นำตัวขึ้นรถ แล้วขับมาส่งที่ป่าตอง และได้เดินทางมาแจ้งความดังกล่าว
หลังรับแจ้งก็ได้สั่งการณ์ให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนนำโดยพ.ต.ต.ธรรมสรรค์ บุญทรง สว.สส.สภ.กะทู้ ได้ออกสืบสวน สอบสวนจนกระทั่งทราบว่า ชายคนดังกล่าวชื่อนายภาคภูมิ มณีรัตน์ อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 33 ซ.2/2ถ.เยาวราช ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง ภูเก็ต จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็ได้รวบรวมหลักฐานต่างๆ พร้อมทั้งผู้เสียหาย ที่ได้เข้าแจ้งความก่อนหน้านี้จำนวน 5 ราย เพื่อขอหมายจับจากศาลจังหวัดภูเก็ต จนกระทั่งสามารถจับกุมตัวนายภาคภูมิ มณีรัตน์ ได้ในที่สุด จากนั้นก็ได้นำตัวมาสอบสวนเพิ่มเติมที่สภ.กะทู้
จากการสอบสวนนายภาคภูมิขยายผล ก็ทราบว่า มีอาชีพเป็นเซลล์แมนขายน้ำยาล้างพื้นของบริษัทหนึ่งในกรุงเทพ โดยนายภาคภูมิให้การรับสารภาพว่า ได้ก่อเหตุในลักษณะดังกล่าวมาแล้วจำนวน 8 ครั้ง โดยในแต่ละครั้งจะใช้อุบายเดิม ส่วนสถานที่นั้นก็จะใช้ถนนด้านหลังศูนย์การค้าจังซีลอน ป่าตอง หรือตรงข้ามตลาดเจเจพลาซ่า ซึ่งในแต่และครั้งได้ทรัพย์สินบ้าง ข่มขืนกระทำชำเราบ้าง แล้วแต่กรณี จากนั้นก็ได้นำตัวมาส่งที่เดิมหรือใกล้เคียง
ด้านพล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผบก.ภูเก็ต ได้กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทาง ภ.จว.ภูเก็ต ได้รับการร้องเรียนจากจากประธานชมรมไทย – เนปาล ว่าได้รับการร้องเรียนจากชาวพม่า และชาวเนปาล ที่มาทำงานในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต มักจะถูกบุคคลที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ มาเรียกเก็บเงิน หรือบางครั้งได้ขอตรวจบัตรประจำตัว และเมื่อบุคคลที่ถูกตรวจไม่พกบัตร หรือไม่มีบัตร ก็จะถูกให้ขึ้นรถ เพื่อนำตัวไปเปรียบเทียบปรับที่สภ.กะทู้ แต่เมื่อเดินทางถึง ก็ให้ผู้ที่ถูกจับนั้นนั่งรออยู่ในรถ ตัวเองก็ได้เดินเข้าไปในสภ.กะทู้ จากนั้นก็ได้เดินออกมาแจ้งว่า จะต้องนำตัวไปส่งที่ตม.เนื่องจาเป็นบุคคลต่างด้าว จากนั้นก็ได้ขับรถเข้ามาในตัวเมืองภูเก็ต ในระหว่างทางก็ได้ต่อรองเป็นเงินจำนวนต่างๆ เพื่อแลกกับการปล่อยตัว แต่เมื่อผู้เสียหายไม่มี ก็จะเอาทรัพย์สินที่ติดตัวของผู้เสียหายไป ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ หรือเงิน ทอง เมื่อได้ทรัพย์สินไปแล้ว ก็ได้นำตัวมาส่งที่พื้นที่กระทู้ แต่เมื่อผู้เสียหายมีหน้าตาดีหน่อย ก็จะพาตัวไปกักขังเพื่อทำการข่มขืน แล้วนำตัวมาปล่อย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะได้เชิญผู้ที่เสียหายรายก่อนๆ มาดูตัวผู้ต้องหา ว่าเป็นรายเดียวกันหรือไม่อย่างไร
ซึ่งในระหว่างที่ได้มีการแถลงข่าวนั้น ก็ได้มีชาวพม่า และชาวเนปาลจำนวนกว่า 100 คน ก็ได้ทยอยเดินทางมาที่สภ.กะทู้ เพื่อมาดูหน้าของผู้ต้องหา ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้กันคนเหล่านั้นให้อยู่แต่เฉพาะบริเวณด้านหน้า สภ.กะทู้ โดยที่พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต ก็ได้ลงมาพูดคุยกับกลุ่มคนเหล่านั้น เพื่อให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย ผู้ที่กระทำความผิดก็จะถูกลงโทษตามกฎหมาย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะไม่มีการช่วยเหลือผู้ที่กระทำความผิดอย่างแน่นอน ซึ่งกลุ่มคนเหล่านั้นต่างก็พึงพอใจกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมทั้งส่งตัวแทนมอบกระเช้าดอกไม้เพื่อเป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น