จำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ

วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555

ปชป.ประชุมสาขาพรรคในภูเก็ต



เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 28 มกราคม 2555 ที่หอประชุมโรงเรียนสตรีภูเก็ต ได้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2554 ของพรรคประชาธิปัตย์ จังหวัดภูเก็ต สาขาลำดับที่ 115 และสาขาที่ 183 และการสัมมนาส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย โดยนายวีระศักดิ์ สุขสมบูรณ์ ประธานสาขาพรรคลำดับที่ 115 ประจำเขตเลือกตั้งที่ 1 พร้อมกับคณะกรรมการได้รายงานผลการดำเนินงานและงบการเงินของสาขา จากนั้นนายสมศักดิ์ หลักแหลม ประธานสาขาพรรคลำดับที่ 183 ประจำเขตเลือกตั้งที่ 2 พร้อมคณะกรรมการรายงานผลการดำเนินงานและงบการเงินของสาขา เพื่อให้ที่ประชุมทราบและรับรอง ซึ่งในการประชุมใหญ่ประจำปีทั้ง 2 สาขาพรรคครั้งนี้ มีนางอัญชลี วานิชเทพบุตร ส.ส.ภูเก็ตเขต 1 ในฐานะนายทะเบียนพรรค นายเรวัต อารีรอบ ส.ส.ภูเก็ตเขต 2 เข้าร่วมพร้อมเสนอโมเดลภูเก็ต เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาภูเก็ตและเตรียมพร้อมรับมือประชาคมอาเซียนในอีก 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงาน กกต.ภูเก็ต มาร่วมสังเกตการณ์ด้วย
ทั้งนี้ได้มีการบรรยายพิเศษโดยนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย กรรมการบริหารพรรค ในหัวข้อ ทิศทางประเทศไทยในศตวรรษใหม่ โดยเริ่มด้วยการขอบคุณชาวภูเก็ตที่ได้เลือกผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 2 เขต พร้อมระบุว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมา ชาวใต้ได้วางวางใจลงคะแนนให้ผู้สมัครของพรรคฯ ด้วยคะแนนสูงเป็นประวัติการณ์มากกว่าการเลือกตั้งครั้งก่อนๆ และในห้วง 10 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงแห่งความท้าทายทางการเมืองของพรรคฯ เป็นอย่างมาก เนื่องจากได้รับการสบประมาทว่าจะเหลือ ส.ส.ทั่วประเทศเพียง 10 ที่นั่ง พร้อมกับมีข่าวปล่อยว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคจะถอดใจจะไม่เป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งยืนยันว่านายอภิสิทธิ์ ยังคงมุ่งมั่นนำพาพรรคต่อไป พร้อมเน้นสร้างความเท่าเทียมของประชาชนในทุกระดับ เห็นได้จากสมาชิกพรรคและประธานสาขาพรรคแต่ละแห่งที่มาจากทุกสาขาอาชีพเข้ามามีส่วนร่วมและร่วมกำหนดนโยบายการทำงาน
นายสาทิตย์ ยังกล่าวว่า ขณะนี้ชาวไทยกำลังผจญกับภัยคุกคามทางความมั่นคงรูปแบบใหม่ สถาบันพระมหากษัตริย์ กำลังถูกบุคคลบางกลุ่มให้ข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนเพื่อให้สถาบันมัวหมอง มีการเปลี่ยนจากทุนเสรีนิยมไปสู่ทุนนิยม ซึ่งทางพรรคและคนไทยจะต้องช่วยกันปกป้องในเรื่องนี้ และต้องมีการติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะคนภูเก็ตซึ่งส่วนใหญ่จะใช้และเข้าถึงสื่อโซเชียลมีเดียกันเป็นจำนวน ก็จะต้องมาร่วมเป็นกำลังสำคัญในการที่จะต้องปกป้องสถาบัน ให้ความรู้และข้อมูลที่ถูกต้อง
อย่างไรก็ตามนอกจากปัญหาดังกล่าวแล้ว ในเรื่องของปัญหาเศรษฐกิจก็น่าเป็นห่วง เพราะนโยบายในช่วง 6 เดือนของรัฐบาลที่ผ่านมา เริ่มส่งผลกระทบกับค่าครองชีพของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการปรับขึ้นราคาพลังงานทั้งเรื่องของน้ำมันและแก๊สหุงต้ม การลดหนี้สาธารณะโดยการจะขายหุ้น ปตท.และการบินไทย รวมไปถึงปัญหาราคาพืชผลเกษตรที่ตกต่ำ การรับจำนำข้าวที่ประสบผลสำเร็จ ตลอดจนปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากความพยายามในการที่จะแก้ไขกฎหมายในรัฐธรรมนูญมาตรา 112 การแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม การเปิดหมู่บ้านเสื้อแดง ซึ่งสร้างความกังวลให้กับนักธุรกิจเป็นอย่างมาก ในขณะที่รัฐบาลบอกว่าจะพยายามสร้างความปรองดองแต่เครือข่ายทั้งสมาชิกพรรคบางกลุ่มและคนเสื้อแดงกลับดำเนินการในทางตรงกันข้าม รวมไปถึงปัญหาอุทกภัยที่อาจจะเกิดขึ้นอีก เพราะงบประมาณการฟื้นฟูปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงปีกลายยังได้ไม่ถึง 10% และยังไม่มีแผนงานรับมือที่ชัดเจน นายสาทิตย์กล่าว

สว.-ส.ส.ภูเก็ต รุมฉะกระทรวงการท่องเที่ยวฯ




นางธันยรัศม์ อัจฉริยะฉาย ประธานกรรมาธิการท่องเที่ยววุฒิสภาและสมาชิกวุฒิสภาภูเก็ต กล่าวว่า ในการปรับคณะรัฐมนตรีใหม่ของรัฐบาลน่าจะส่งผลให้การทำงานของรัฐบาลมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยเฉพาะกระทรวงการคลัง ซึ่งมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นรัฐมนตรี เนื่องจากจะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพและการตัดสินใจต่างๆ ได้รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะการทำงานกับภาคประชาชนหรือนักธุรกิจ ส่วนของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง หากเป็นเช่นนี้การจัดสรรงบประมาณก็จะไปกระจุกตัวอยู่เพียงบางจังหวัดเหมือนที่ผ่านมา ในขณะที่จังหวัดภูเก็ตหรือจังหวัดในกลุ่มอันดามัน ซึ่งสามารถทำรายได้เข้าประเทศปีละมหาศาล แต่กลับไม่ได้รับการดูแลและไม่มีการจัดสรรงบประมาณมาพัฒนาหรือปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตเลย

“ที่ผ่านมามองว่าการจัดงบประมาณของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาไม่มีความเป็นธรรมกับจังหวัดอันดามันที่สามารถทำรายได้ให้กับประเทศปีละเป็นจำนวนมาก จึงอยากเรียกร้องให้เจ้ากระทรวงการท่องเที่ยวฯ หันมาให้ความสำคัญกับจังหวัดภูเก็ตในฐานะที่เป็นเมืองท่องเที่ยวและสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศจำนวนมาก ซึ่งตนจะไปชี้แจงกับนายกรัฐมนตรี เพื่อให้รับทราบถึงการทำงานของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ด้วย เพราะเป้าหมายของกระทรวงท่องเที่ยวฯ อยากจะให้เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวและเพิ่มรายได้ แต่กลับไม่มีการจัดสรรงบประมาณเข้ามาดูแลปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยว รวมถึงความปลอดภัยต่างๆ ด้วย”

นางธันยรัศม์ กล่าวด้วยว่า ทราบว่าในช่วงประมาณเดือนมีนาคม 2555 นี้ จะมีการประชุม ครม.สัญจรขึ้นที่จังหวัดภูเก็ต จึงอยากขอให้ชาวภูเก็ต ผู้ประกอบการ รวมถึงผู้เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวทุกภาคส่วน รวมถึงสื่อมวลชนได้ช่วยกันนำเสนอปัญหาและความต้องการของชาวจังหวัดภูเก็ตต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อจะได้ทราบถึงภาพรวมว่าเป็นอย่างไร และจะได้แก้ไขปัญหาให้ถูกจุด เพราะจากการติดตามการประชุมครม.สัญจรที่ จ.เชียงใหม่ พบว่ามีการให้งบพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่เยอะมาก ทั้งๆ ที่ภูเก็ตก็ควรที่จะได้รับการดูแล และจะต้องพัฒนาปรับปรุงหลายๆ ส่วนไม่ว่าจะเป็นถนน ระบบสาธารณูปโภค และอื่นๆ ซึ่งรัฐบาลจะต้องจัดสรรงบประมาณลงมาจริงๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวมาแล้วเกิดความประทับใจและเดินทางกลับมาเที่ยวอีก

ขณะที่นายเรวัต อารีรอบ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.ภูเก็ต เขตเลือกตั้งที่ 2 กล่าวว่า จากที่ได้มีการติดตามและอภิปรายงบประมาณประจำปี 2556 ในวาระ 2 และวาระ 3 เมื่อช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยเฉพาะงบประมาณของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่าไม่มีการจัดจัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาและปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เลย จะมีเฉพาะงบประมาณประจำปีของหน่วยงานในสังกัดซึ่งไม่กี่ล้านบาท ทั้งๆ ที่จังหวัดภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวทำรายได้ให้กับประเทศปีละประมาณกว่าหนึ่งแสนล้านบาท

อย่างไรก็ตามจากการหารือร่วมกันกับนางอัญชลี วานิช เทพบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.ภูเก็ต เขตเลือกตั้งที่ 1 จะได้มีการเสนอไปยังกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อขอให้มีการจัดสรรงบประมาณสำหรับการพัฒนาและฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตให้เป็นรูปธรรมชัดเจน ว่าจะดำเนินการในช่องทางใดได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงพัฒนาภูมิทัศน์ของแหล่งท่องเที่ยว การพัฒนาห้องน้ำห้องส้วม การปรับปรุงถนนหนทางเข้าสู่แห่งท่องเที่ยว เป็นต้น นายเรวัตกล่าวและกล่าวด้วยว่า เนื่องจากขณะนี้ทางประเทศสหรัฐอเมริกาและอีกหลายๆ ประเทศได้แจ้งเตือนพลเมืองในการเดินทางมายังประเทศไทย ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการเดินทางของนักท่องเที่ยว ซึ่งเรื่องนี้ก็จะได้ทำหนังสือหารือไปยังกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศด้วยว่าจะสามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้อย่างไร



พระปลอมระบาดในแหล่งท่องเที่ยว

นายฉัฏฐ์ปวิชญ์ จินาพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ขณะนี้ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตกำลังประสบกับปัญหาผู้แต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์หรือพระปลอม ที่เดินทางเข้ามาหากินเป็นจำนวนมาก ถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมและสร้างความเสียหายให้กับพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะชาวต่างประเทศที่ถือหนังสือเดินทางหรือพาสพอร์ตนักท่องเที่ยว ส่วนใหญ่จะมาจากประเทศเขมร โดยมีการแต่งกายเลียนแบบสงฆ์และออกบิณฑบาตหากินกับชาวต่างชาติ หวังปัจจัยตัวเงินเป็นหลัก เหตุที่ยืนยันว่าเป็นชาวต่างชาติ เนื่องจากหากเป็นพระสงฆ์ไทยจะทราบว่าหลังจากเวลา 08.00 น.แล้วไม่สามารถที่จะออกบิณฑบาตได้ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาสามารถจับกุมและนำส่ง ตม.เพื่อผลักดันกลับประเทศไปแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ราย

“ส่วนกรณีของผู้แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ที่เป็นคนไทยนั้นก็มีเช่นกัน สามารถสังเกตจากการออกบิณฑบาตซึ่งจะขาดความสำรวม สายตาคอยมองหาผู้ที่จะมาใส่บาตร และในการออกบิณฑบาตก็จะเน้นปัจจัยที่เป็นตัวเงินมากกว่าอาหาร ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการตรวจสอบและจับกุมได้หลายรายเช่นกัน สาเหตุที่มีผู้แต่งกายเลียนแบบสงฆ์มาหากินที่ภูเก็ตเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นเมืองเศรษฐกิจ และกรณีที่เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างเขาก็ไม่สามารถที่จะแยกแยะได้ว่าพระรูปใดเป็นพระจริงหรือพระปลอม”

นายฉัฏฐ์ปวิชญ์ กล่าวด้วยว่า จากการตรวจสอบขณะนี้แนวโน้มของพระปลอมที่เดินทางมาหากินในจังหวัดภูเก็ตมีเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งทางตำรวจพระหรือพระวินยาธิการคอยสอดส่องดูแลอยู่ประจำ โดยแบ่งการทำงานอำเภอละ 3 รูป ประกอบด้วยอำเภอเมืองภูเก็ต อำเภอกะทู้และอำเภอถลาง นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ของสำนักงานฯ ร่วมด้วย โดยจะกระจายไปตามแหล่งท่องเที่ยวชายทะเลที่มีนักท่องเที่ยวอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ป่าตอง กะตะกรน เป็นต้น แต่ก็ยังไม่ทั่วถึงเนื่องจากจำนวนเจ้าหน้าที่มีจำกัด ซึ่งก็ได้ขอความร่วมมือไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจในแต่ละพื้นที่ช่วยอีกทางหนึ่งด้วย

การตรวจสอบเบื้องต้น ด้วยการขอดูเอกสารรับรองการเป็นพระซึ่งหากมีพระจริงจะต้องพกติดตัว รวมถึงการประพฤติปฏิบัติตน เพราะหากเป็นพระภิกษุจริงต้องมีความสำรวมไม่ไปเที่ยวเดินอยู่ริมชายหาดหรือมีการบิณฑบาตในช่วงกลางวัน หากทางเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่ามีการแต่งกายเลียนแบบพระสามารถดำเนินการจับกุมดำเนินคดีได้เลย โดยมีความผิดตามกฎหมายอาญา ปรับไม่เกิน 3,000 บาท จำคุกไม่เกิน 3 เดือน ส่วนกรณีพระจริงแต่ประพฤติปฏิบัติตนไม่เหมาะสมจะต้องแจ้งมายังสำนักงานพระพุทธศาสนา เพื่อประสานไปยังตำรวจพระในการสอบสวนข้อเท็จจริงก่อนที่จะมีการลงโทษต่อไปนายฉัฏฐ์ปวิชญ์กล่าว

เจ้าของรถวิทาร่าขอความเป็นธรรม


เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2555 ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดภูเก็ต น.ส.จารุวรรณ วัฒนพุ่มชู เจ้าของบริษัท เอซี คอนซัลติ้ง กรุ๊ป และบริษัทเอซี ลีกัลป์ แอดไวเซอร์ จำกัด พร้อมด้วยนายประสิทธิ์ วัฒนพุ่มชู พี่ชาย ได้ออกมาแถลงข่าวขอความเป็นธรรม กรณีที่ทางกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้มีการพาดพิง เกี่ยวกับกรณีที่มีการฆ่าและเผาช้าง ที่ อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เพียงเพราะเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่ามีรถป้ายทะเบียนภูเก็ตเข้า-ออกในพื้นที่ในช่วงเกิดเหตุ และระบุว่าอาจมีส่วนรู้เห็นในการล่าช้างดังกล่าว ซึ่งได้สร้างความเสียหายและลดทอนความน่าเชื่อถือให้กับตนเองและบริษัทฯ ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาด้านบัญชีและกฎหมาย
โดย น.ส.จารุวรรณ กล่าวว่า พื้นเพเดิมเป็นคน จ.สุราษฎร์ธานี และย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่ภูเก็ตนานแล้วโดยสำเร็จการศึกษาด้านกฎหมาย และเปิดบริษัทให้คำปรึกษาด้านบัญชีและกฎหมายมาเป็นเวลากว่า 10 ปี ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทมีความมั่นคงและน่าเชื่อถือ มีลูกค้าให้ความไว้วางใจใช้บริการเป็นจำนวนมาก แต่ไม่เคยทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับร้านอาหารแต่อย่างใด จึงไม่เข้าใจว่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการฆ่าช้างได้อย่างไร ดังนั้นจึงอยากขอวิงวอนและขอความเป็นธรรมไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายให้หยุดการให้ข่าวที่พาดพิงถึงตนและบริษัทฯ ด้วยเหตุผลเพียงรถมีป้ายทะเบียนภูเก็ตและมีการเข้าออกพื้นที่ดังกล่าว แล้วนำมาเชื่อมโยงกับกระบวนการฆ่าช้างอย่างเลื่อนลอย จนทำให้ได้รับความเสียหาย ซึ่งขณะนี้ก็อยู่ระหว่างให้ฝ่ายกฎหมายของบริษัทรวบรวมข้อมูลจากข่าวต่างๆ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายที่สามารถจะทำได้
“เนื่องจากที่ผ่านมาทางครอบครัวได้ไปทำสวนยางพาราอยู่ที่ ต.ป่าเด็ง อ.แก่งกระจาน โดยพี่ชายจะไปคนดูแล ส่วนตัวเองก็จะประกอบธุรกิจอยู่ที่ภูเก็ต โดยบริษัทมีรถป้ายทะเบียน 191 สามคัน และรถยนต์ซูซูกิ รุ่นวิทาร่า สีดำ เป็นหนึ่งใน 3 คันดังกล่าว และในช่วงที่เกิดเหตุรถยนต์วิทาร่า ทะเบียน 191 ภูเก็ตไปปรากฏในช่วงที่มีการตรวจพบซากช้างถูกเผา เนื่องจากก่อนที่จะเกิดเหตุพี่ชายได้เดินทางกลับมาที่ภูเก็ต เนื่องจากตนได้ขอให้ช่วยขับรถยนต์เล็กซัส 191 กทม.มาส่งให้ และในระหว่างนั้นก้อยู่ที่ภูเก็ตตลอด โดยใช้รถวิทาร่าในการพาพนักงานไปเลี้ยงปีใหม่ พาคุณแม่ไปหาหมอและไปธนาคาร และเนื่องจากพี่ชายต้องเดินทางกลับไปที่ป่าเด็งในช่วงก่อนปีใหม่ แต่ปรากฏว่าตั๋วโดยสารรถเต็ม จึงขอนำรถวิทาร่าคันดังกล่าวไป โดยออกเดินทางจากภูเก็ตตอนเวลาสามนาฬิกาของวันที่ 30 ธันวาคม และไปถึงในช่วงเย็นของวันเดียวกัน โดยขอยืนยันว่าในช่วงนั้นรถก็อยู่ที่สวนตลอดเวลาไม่เคยเข้าป่า และมีพยานยืนยันได้ ประกอบกับใบบันทึกการตรวจสอบรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ อ.แก่งกระจานเมื่อวันที่ 7 มกราคม ที่ผ่านมา”
น.ส.จารุวรรณ กล่าวด้วยว่า เหตุที่มีสวนอยู่ที่นั่นเนื่องจากชื่นชอบความเป็นธรรมชาติของที่นั่นมากจึงได้ไปซื้อที่ดินและปลูกยางพาราโดยมีพี่ชายเป็นคนดูแล และสามารถอยู่ร่วมกับช้างได้ไม่มีปัญหา เราไม่เคยใช้ประทัดไล่ช้าง แต่ใช้วิธีการป้องกันโดยขุดคูรอบสวน และติดตั้งไฟส่องสว่างรอบสวนตลอดคืน เนื่องจากช้างไม่ชอบเสียงไฟ นอกจากนั้นก็ได้มีการเข้าไปช่วยเหลือโยร่วมกับเพื่อนนิสิตจุฬา ให้ความรู้กับชุมชนในด้านการทำเกษตร จนทำให้เขาสามารถจดทะเบียนสิทธิบัตรทางภูมิศาสตร์ทุเรียนป่าละอู ซึ่งเป็นการเสริมรายได้ให้กับชาวบ้าน โดยไม่ต้องเสียจ่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม น.ส.จารุวรรณ กล่าวย้ำด้วยว่า อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งมีการระบุว่ามีร้านอาหารที่ขายเนื้อช้างตามที่เป็นข่าวในสื่อต่างๆ นั้น ให้ออกมาระบุให้ชัดเจนว่าชื่ออะไร ไม่ใช่พูดลอยๆ กว้างๆ เพราะส่งผลให้จังหวัดภูเก็ตเสียชื่อเสียง
ขณะที่นายประสิทธิ์ ยืนยันว่า ตนไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการฆ่าช้างอย่างแน่นอน และปกติตนก็อาศัยอยู่ที่ ต.ป่าเด็ง อ.แก่งกระจาน มากกว่าอยู่ที่ภูเก็ต และรู้จักชาวบ้านในพื้นที่เป็นอย่างดี ไม่ทราบว่าทำไมจึงมีการนำไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของช้างดังกล่าว ซึ่งตนก็ขอประณามผู้ที่ฆ่าช้าง เนื่องจากช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของเรามานาน และขอร้องผู้เกี่ยวข้องว่าอย่าให้ข่าวด้วยการเชื่อมโยงโดยไม่มีหลักฐาน เพราะได้สร้างความเสียหายอย่างมาก 
 


วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

งาน “ของดีเมืองตรัง...ดังที่ภูเก็ต” ครั้งที่ 3



เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 27 มกราคม 2555 ที่ห้างสรรพสินค้าเทสโก้ โลตัส สาขาภูเก็ต นายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เป็นประธานเปิดงาน “ของดีเมืองตรัง.. ดังที่ภูเก็ต” ครั้งที่ 3 ซึ่งทางสำนักงานพาณิชย์จังหวัดตรังในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการ ได้นำผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ของดีเมืองตรัง จำนวน 16 ราย มาจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จำนวน 9 ชนิด ประกอบด้วย หมูย่างเมืองตรัง ขนมเค้กตรัง ขนมเปี๊ยะตรัง ผลิตภัณฑ์แกะสลักไม้เทพธาโร ผ้าทอนาหมื่นศรี ผลิตภัณฑ์สละ ผลิตภัณฑ์ลำไย ผักปลอดสารพิษ และปุ้มปุ้ยปลายิ้ม โดยงานจะจัดไปจนถึงวันที่ 31 มกราคมนี้
นายสุรัชธาดา พิชญาภรณ์ พาณิชย์ จ.ตรัง กล่าวว่า ด้วยกระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดให้การส่งเสริมการค้าสินค้าอินทรีย์เป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของยุทธศาสตร์การค้าไทย โดยมีกลยุทธ์ในการพัฒนาผู้ผลิตและผู้ประกอบการด้านการตลาดสินค้าอินทรีย์ การขยายตลาดและส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าอินทรีย์ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ การสร้างมูลค่าและผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของตลาด และการสนับสนุนการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้า ซึ่งจังหวัดตรังได้เล็งเห็นความสำคัญในการผลิตสินค้าอินทรีย์ โดยในระยะที่ผ่านมา เกษตรกรในบางพื้นที่ได้หันไปเพาะปลุกพืชที่ปราศจากมลพิษมากขึ้น แต่ประสบปัญหาไม่มีตลาดรองรับเท่าที่ควร สำนักงานพาณิชย์จังหวัดตรัง จึงได้จัดทำโครงการส่งเสริมตลาดสินค้าอินทรีย์จังหวัดตรังขึ้น เพื่อส่งเสริมพัฒนาให้มีมูลค่าเพิ่มและมีการขยายตลาด อันเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร และผู้ประกอบการต่อไป
นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์ยังได้กำหนดภารกิจหลักของพาณิชย์จังหวัด เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานในการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าจังหวัดให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น โดยมีภารกิจหลักประการหนึ่ง คือ การส่งเสริมและพัฒนาการตลาดสินค้าและบริการของจังหวัด ซึ่งให้แต่ละจังหวัดพิจารณาคัดเลือกสินค้าที่โดดเด่นจังหวัดละ 1 สินค้า โดยระยะที่ผ่านมาจังหวัดตรังได้พิจารณาคัดเลือกหมูย่างเมืองตรัง เป็นสินค้าโดดเด่นของจังหวัด ในการขยายตลาดเชิงพาณิชย์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ตามวัตถุประสงค์ที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของจังหวัดตรังที่มีเป้าประสงค์ในการพัฒนาศักยภาพผลิตภัณฑ์สินค้าที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงของจังหวัด อันเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถจำหน่ายเป็นของขวัญของฝากได้เป็นอย่างดี ซึ่งได้แก่ หมูย่างเมืองตรัง ขนมเค้กตรัง ขนมเปี๊ยะตรัง ผลิตภัณฑ์แกะสลักไม้เทพธาโร ผ้าทอนาหมื่นศรี ผลิตภัณฑ์สละ ผลิตภัณฑ์ลำไย ผักปลอดสารพิษ และปุ้มปุ้ยปลายิ้ม นายสุรัชธาดากล่าว
นายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง กล่าวว่า เนื่องจากที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์สินค้าที่โดดเด่นของจังหวัดตรังมีแหล่งจำหน่ายเฉพาะภายในจังหวัด ยังไม่มีการขยายตลาดในระดับจังหวัดและระดับประเทศเท่าที่ควร จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องส่งเสริม และพัฒนาให้ผู้ประกอบการสามารถขยายตลาดเชิงพาณิชย์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น อันจะเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการ และเหตุที่เลือกจังหวัดภูเก็ตเป็นสถานที่ในการจัดงานต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวและตลาดสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวจึงได้จัดงานดังกล่าวขึ้น ทั้งนี้คาดว่าผลิตภัณฑ์สินค้าของดีเมืองตรัง จะได้รับการตอบรับและสนับสนุนจากข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน และนักท่องเที่ยวเลือกซื้อไปเป็นของขวัญของฝาก หรือซื้อไปบริโภคเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ผลิตภัณฑ์สินค้าดังกล่าวเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายและมีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถขยายตลาดเชิงพาณิชย์ได้อย่างแท้จริง

กรรมการบริหารเอฟซี ภูเก็ตประกาศลาออก



เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2555 ที่ร้านอาหารไม้หมอน อ.เมือง ภูเก็ต นายนฤเบศร์ อายุรพงศ์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท เอฟซี ภูเก็ต 1688 จำกัด ประกอบด้วย พร้อมด้วย จ่าเอกสรนันท์ เสน่ห์ กรรมการและนายอาซีส อร่ามเมธาพงษา ผู้จัดการทั่วไปของทีมสโมสรเอฟซีภูเก็ต ได้ร่วมกันแถลงข่าวพร้อมทั้งประกาศลาออกจากการทำทีมเอฟซี ภูเก็ต
ทั้งนี้นายนฤเบศ ได้กล่าวว่า จากเหตุการณ์เมื่อ 2 – 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา มีคำถามเกิดขึ้นเยอะมาก ว่า "ทำไมเมืองทองฯถึงไม่เข้ามาช่วย" และ " คณะบริหารชุดนี้ทำงานไม่โปร่งใส" ซึ่งตนนั้น ติดใจมาก กับคำถามท้ายนี้ โดยตนจะขอแจ้งรายละเอียด ว่า งบประมาณค่าใช่จ่ายในปีนี้ทั้งหมด อยู่ที่ 34,611,097 บาท ทาง อบจ.ภูเก็ต รวมไปถึงนายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ ได้ควักเงินส่วนตัวให้ด้วย รวม 17,148,600 บาท ยังขาดทุน ในปีนี้ กว่า 5 ล้านบาท ตนเองขอบอกว่า ได้เริ่มทำฟุตบอล ตั้งแต่ดิวิชั่น 2 โดยตอนนั้น ยังเป็น มังกรทะเล ต่อมาก็มาเป็น เอฟซีภูเก็ต ทาง อบจ.ภูเก็ต สนับสนุนงบประมาณมาให้ และมีค่าใช้จ่ายไปทั้งหมด 16 ล้านกว่า โดยตอนที่ตนทำดิวิชั่น 2 ต้องขายบ้าน ไป 1 หลัง รถยนต์ 1 คัน
ต่อมาขึ้นเป็นดิวิชั่น 1 ก็มีสปอนเซอร์ เข้ามาช่วยบ้าง และค่าขายบัตรเข้าชม ทั้งปีจบฤดูกาล ได้เงิน 2,447,923 บาท ค่าขายของที่ระลึก 1,796,000 กว่าบาท สปอนเซอร์ที่ได้รับมา มี ยามาฮ่า ให้ 1 ล้านบาท ไอโมบาย 1 ล้านบาท ลีโอเบียร์ ตกลงว่าจะให้ 3 ล้าน แต่จ่ายมาจริง เพียง 1.5 ล้านบาท ค่าถ่ายทอดสดทางเคเบิล ทีวี ให้มา 2 แสนบาท ค่าถ่ายทอดสดทางสยามทีวี ให้มา 4 แสนบาท ป้ายในสนามทั้งหมด เก็บได้ 8 แสนบาท ซึ่งเราจะต้องมีค่าใช่จ่ายเฉพาะ เงินเดือนเบี้ยเลี้ยงนักกีฬา ทั้งสิ้น 19 ล้านกว่าบาท อบจ. ให้มา เพียง 17 ล้านกว่าบาท ซึ่งมันก็ยังไม่พอเพียง ต่อการจ่ายเงินเดือนเบี้ยเลี้ยงให้นักกีฬา ยังติดลบ ส่วนค่าใช้จ่ายอย่างอื่นอีกไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง ไปแข่งขัน หรือระหว่างการแข่งขัน ทุกอย่าง และ ค่าใช้ให้ กามาร่า อัลเม็ด นักเตะที่ช๊อคกลางสนามระหว่างการแข่งขัน ต้องควักเงินจ่ายเดือนละ 1 แสนบาท ซึ่งทางสโมสร ต้องเลี้ยงดูอยู่ จนปัจจุบันเป็นเวลา 1 ปีแล้ว สรุปว่า อบจ.ให้เงินมานั้น ทั้งปีก็ไม่พออยู่แล้ว แล้วว่าตนทำงานไม่โปร่งใส หรือ ทั้งๆที่ต้องขายบ้าน ขายรถแล้วยังหาว่าบริหารไม่โปร่งใส
ด้านจ่าเอกสรนันท์ ระบุว่า ที่ผ่านมาจากการทำทีมในดิวิชั่น 2 ได้รับการสนับสนุนจากทีมเมืองทอง หนองจอก ยูไนเต็ด ไม่ว่าจะเป็นโค๊ช หรือตัวผู้เล่นบางคน จนกระทั่งทีมได้เลือนชั้นจะดิวิชั่น 2 ขึ้งไปแข่งขันในดิวิชั่น 1 ทางทีมก็ยังได้รับการสนับสนุนด้วยดีตลอดมา จนทีมอยู่ในอันดับต้นๆ ตลอดมา จนกระทั่งในช่วงก่อนจะจบฤดูกาล2554 ที่ผ่านมา ทางทีมได้ประสบปัญหาทางด้านการเงิน จนกระทั่งนายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ ได้ลาออกจากการเป็นประธานสโมสร ทำให้นักแตะระสำระส่ายจนกระทั่งจบฤดูกาล ทีมเอฟซีภูเก็ตตกมาอยู่ในอันดับที่ 9 ของตาราง ประกอบกับไม่มีผู้บริหารสโมสร ทำให้ได้มีการพูดคุยกับผู้บริหารทีมสโมสรเมืองทอง หนองจอก ยูไนเต็ด ซึ่งทางผู้บริหารมีความสนใจ พร้อมทั้งตั้งงบประมาณเอาไว้ในการบริหารทีมประมาณ 36 ล้าน แต่สุดท้ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการใช้สนามสุระกุล ซึ่งทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ตเป็นผู้ดูแลอยู่ จึงทำให้ทางเมืองทองจึงถอนตัวไป
ก่อนที่จะสิ้นสุดการแถลงข่าว ประธานกรรมการบริหารบริษัท เอฟซี ภูเก็ต 1688 จำกัด ได้ประกาศลาออก พร้อมทั้งประกาศว่าจะวางมือจากทีมสโมสรเอฟซี ภูเก็ต หากมีผู้ที่มีใจรักฟุตบอลจริงๆ ที่สนใจที่จะทำทีมสโมสรเอฟซีภูเก็ต โดยให้นำเงินมาวางไว้จำนวน 15 ล้าน เพื่อให้เกิดความมั่นใจที่จะบริหารสโมสรเอฟซีภูเก็ตได้ ก็ขอให้นำแผนการทำทีมมาคุยกับกรรมการบริหารบริษัท เอฟซี ภูเก็ต 1688 จำกัด ภายในวันจันทร์ ที่ 30มกราคมนี้ เพื่อจะได้จัดทำข้อตกลง พร้อมทั้งส่งรายชื่อผู้บริหารและทีมเข้าร่วมการแข่งขันดิวิชั่น 1 ในฤดูกาลที่จะมาถึงภายในวันที่ 31 มกราคม 2555 ต่อไป

ทีมรักษ์พลังงานคว้าแชมป์วาดภาพพลังงาน



เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2555 ในการประชุมกรมการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดภูเก็ต ประจำเดือนมกราคม 2555 ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวด โครงการประกวดวาดภาพพลังงานทดแทนลดภาวะโลกร้อน ในหัวข้อภูเก็ตเมืองแห่งพลังงานทดแทน ครั้งที่ 2 ซึ่งทางสำนักงานพลังงานจังหวัดภูเก็ต จัดขึ้นเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2554
นายจิรศักดิ์ ธรรมเวช พลังงานจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จากการที่ทางสำนักงานพลังงานจังหวัดภูเก็ต ได้จัดโครงการประกวดวาดภาพพลังงานทดแทนลดภาวะโลกร้อน ในหัวข้อภูเก็ตเมืองแห่งพลังงานทดแทน ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2554 ที่ผ่านมา ที่บริเวณกำแพงรั้ว สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ภายใต้โครงการภูเก็ตเขียว
ซึ่งผลการประกวดปรากฏว่า ผู้ชนะเลิศ ได้แก่ ทีมรักษ์พลังงาน ประกอบด้วยนายไกรวุธ สงวนสินธ์ ,น.ส.วริศรา ขนานแก้ว และ น.ส.สุภาวดี เต่าทอง ได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศ อันดับที่ 1 ได้แก่ ทีมอนุรักษ์ภูเก็ต ประกอบด้วยนายพลกฤชณ์ ถวิลการ,นายภราดร สังข์แก้ว และนายปฎิภาณ แสงจันทร์ ได้รับเงินรางวัล 8,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศ อันดับที่ 2 ได้แก่ ทีมเมืองพลังงานสีเขียว ประกอบด้วย ด.ช.โกศล แซ่อึ้ง, ด.ช.สุภวัฒน์ แก้วลอยและ ด.ช.อิทธิ กลิ่นศรีสุข ได้รับเงินรางวัล 7,000 บาท และรางวัลดีเด่น 3 ทีม ได้แก่ทีมรักษ์ภูเก็ต ประกอบด้วย ด.ญ.พรเบญญา ศิริชัยวัจนเดชา, ด.ญ.อรกัญญา อุ่นจิต และ ด.ญ.แพรวา แซ่ลิ้ม ทีมภูเก็ตเขียว ประกอบด้วย นายจิราวัฒน์ จำปาทอง, นายอภิมุข ปะจันทบุตรและนายพีรพล ตันชัยสิริมณีกุล และทีมราไวย์รักษ์ภูเก็ต ประกอบด้วย ด.ญ.ปฐิมา กาญจนอักษร, ด.ญ.สุทธิดา สมหวัง และ ด.ญ.พวงรัตน์ เมธา ซึ่งทั้ง ได้รับเงินรางวัลทีมละ 5,000 บาท



อบจ.ภูเก็ต MOUสปสช. ดำเนินงานกองทุนฟื้นฟู



เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2555 ที่ห้องประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต (อบจ.ภูเก็ต) ได้มีการประชุมการชี้แจงการดำเนินงานและลงนามข้อตกลงดำเนินงานกองทุนฟื้นฟูระดับจังหวัด ระหว่างสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเขต 11 โดยนายภูมิวัชญ์ ขวัญเมือง ผู้อำนวยการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเขต 11 สุราษฎร์ธานี และ อบจ.ภูเก็ต โดยนายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายก อบจ.ภูเก็ต เพื่อขยายการดำเนินการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แก่ผู้พิการและผู้ป่วยที่มีความจำเป็นให้สามารถเข้าถึงบริการและได้รับการสนับสนุนการดำเนินการฟื้นฟู
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 มาตรา 5 กำหนดให้บุคคลมีสิทธิ์ได้รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องตามประกาศ คณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เรื่อง กำหนดอำนาจและหน้าที่ในการจัดระเบียบบริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ข้อ 2(3) ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดมีหน้าที่จัดการศึกษา สาธารณสุข การสังเคราะห์ การพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนในจังหวัด ประกอบกับนโยบายการสาธารณสุขเชิงรุกของผู้บริหาร อบจ.ภูเก็ต ซึ่งได้จัดทำโครงการ Phuket Care “ หรือโครงการสุขภาพพอเพียงกับโรงพยาบาลหมื่นเตียงในภูเก็ต”
“จากการดำเนินงานโครงการภูเก็ตแคร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายได้แก่ ผู้ป่วยเรื้อรังและผู้พิการในชุมชนสามารถได้รับการดูแลอย่างดี ต่อเนื่องเป็นระบบ โดยทีมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ส่งผลให้ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายบางส่วนของครอบครัว อีกทั้งเกิดเครือข่ายในการดูแลผู้ป่วยเรื้อรังและผู้พิการในระดับชุมชนซึ่งทำให้ผู้ป่วยเหล่านี้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”
อย่างไรก็ตามนายไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า จากการสำรวจและค้นหาพบว่ามีผู้ป่วยโรคเรื้อรังและผู้พิการในจังหวัดภูเก็ตเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับการดำเนินงานโครงการภูเก็ตแคร์ได้มุ่งขยายขอบข่ายการบริการฟื้นฟูสมรรถภาพเพิ่มเติมให้ครอบคลุมการบริการฟื้นฟูสมรรถภาพด้านการแพทย์และพัฒนาด้านคุณภาพชีวิตให้ครอบคลุมทุกประเภท ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูหลังการเจ็บป่วยเฉียบพลัน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการบริการกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพด้านการแพทย์ของ สปสช. ที่มุ่งเน้นให้เกิดการบูรณาการการดำเนินงาน และงบประมาณร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับท้องถิ่นจังหวัด ในลักษณะกองทุนร่วมระดับจังหวัด
“ อบจ.ภูเก็ต ได้ตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าว จึงมีความประสงค์เข้าร่วมจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพที่จำเป็นต่อสุขภาพระดับจังหวัด ซึ่งทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 11 สุราษฎร์ธานี โดยมติเห็นชอบที่ประชุมคณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพ (อปสช.) เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2554 ได้พิจารณาคัดเลือกพื้นที่นำร่องที่ภูเก็ต เพื่อขยายการดำเนินการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แก่ผู้พิการและผู้ป่วยที่มีความจำเป็นให้สามารถเข้าถึงบริการและได้รับการสนับสนุนการดำเนินการฟื้นฟูจากสำนักงานหลักประกัน สุขภาพแห่งชาติและองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ร่วมสบทบอีกเท่ากัน จำนวนไม่น้อยกว่า 1,418,404 บาท” 





ดึงเครือข่ายถอดบทเรียนรับมือจัดการพิบัติภัย



นพ.วิวัฒน์ ศีตมโนชญ์ นายแพทย์เชี่ยวชาญ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ตามที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ในการดำเนินโครงการ การสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในการรับมือพิบัติภัย เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนพื้นที่จังหวัดสงขลา นครศรีธรรมราชและภูเก็ตในการพัฒนาระบบบริหารจัดการภัยพิบัติในอนาคต โดยที่ผ่านมาได้มีการจัดประชุมภาคีเครือข่ายจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน ตลอดจนองค์การสาธารณกุศลต่างๆ เพื่อถอดบทเรียนการจัดการภัยพิบัติมาแล้ว 3-4 ครั้ง ทั้งบทเรียนจากประสบการณ์การจัดการภัยพิบัติของจังหวัดภูเก็ตที่ผ่านมา วางแผนพัฒนาการเตรียมความพร้อม และร่วมกันสร้างเครือข่ายความเข้มแข็งของชุมชนในการรับมือภัยพิบัติ
 
“การถอดบทเรียนดังกล่าว เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับเหตุการณ์ภัยพิบัติที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นเพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภัยน้ำท่วม ดินถล่ม และอื่นๆ ซึ่งภูเก็ตเป็นจังหวัดหนึ่งที่เสี่ยงจะเกิดภัยพิบัติเหล่านี้ โดยเฉพาะภัยพิบัติจากเหตุการณ์ดินถล่ม การเกิดอุบัติเหตุหมู่ และสึนามิถล่มแม้ว่าโอกาสจะเกิดขึ้นน้อยก็ตาม ดังนั้นการที่หน่วยงานต่างๆ ที่เป็นภาคีเครือข่ายได้มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกันจะทำให้มีการเตรียมความพร้อมและสามารถรับมือโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในระดับพื้นที่หรือท้องถิ่นได้อย่างทันท่วงที”
 
นพ.วิวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า จากการประชุมร่วมกันของภาคีเครือข่ายที่ผ่านมา พบว่าจังหวัดภูเก็ตมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน และสามารถระดมทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อช่วยเหลือตัวเองในเบื้องต้นกรณีที่เกิดเหตุภัยพิบัติขึ้น ทั้งการปรุงอาหารแจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัยของทางศาลเจ้าต่างๆ ที่สามารถผลิตได้วันละไม่ต่ำกว่า 20,000 กล่อง การระดมน้ำดื่ม การสื่อสาร การคมนาคมและการขนส่งทั้งทางบกและทางน้ำ เนื่องจากภูเก็ตมีเกาะบริวารถึง 32 เกาะ รวมถึงความพร้อมอื่นๆ
 
อย่างไรก็ตาม นพ.วิวัฒน์ กล่าวด้วยว่า เนื่องจากภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยว และมีชาวต่างชาติทั้งที่มาท่องเที่ยวและประกอบอาชีพจำนวนหลายเชื้อชาติ ซึ่งในส่วนนี้เราก็มีอาสาสมัครแปลภาษาจำนวนกว่า 21 ภาษา ดังนั้นหากเกิดภัยพิบัติขึ้นเราก็จะสามารถช่วยเหลือและดูแลตัวเองได้ในระดับหนึ่ง เพราะแต่ละหน่วยงานที่เป็นภาคีก็จะมีความพร้อมที่แตกต่างกัน เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพก็ต้องมาหารือและร่วมกันอย่างเป็นระบบ รวมถึงการฝึกซ้อมแผนกรณีที่เกิดเหตุด้วย