จำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ธปท.เดินสายให้ความรู้การคุ้มครองเงินฝาก


วันนี้ (23 มิ.ย.54) ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมรอยัล ภูเก็ต ซิตี้ อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาเรื่อง “การกำกับดูแลสถาบันการเงินกับการคุ้มครองเงินฝากและการให้ความรู้เกี่ยวกับเครดิตบูโร ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดขึ้น เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อย เกี่ยวกับการกำกับดูแลและความมั่นคงของสถาบันการเงิน การคุ้มครองเงินฝาก โดยเฉพาะการทยอยลดวงเงินคุ้มครองเป็น 50 ล้านบาท ในวันที่ 11 สิงหาคม 2554 และเป็น 1 ล้านบาทในวันที่ 11 สิงหาคม 2555 รวมถึง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิตพ.ศ. 2545 โดยมีภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปในภูเก็ตเข้าร่วม
นายสิงหะ นิกรพันธุ์ ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก กล่าวว่า เนื่องจากกฎหมายคุ้มครองเงินฝากจะมีผลบังคับใช้ในเดือนสิงหาคม 2554 เป็นต้นไป โดยจะเริ่มปรับลดการคุ้มครองเงินฝากลงเหลือ 50 ล้านบาทต่อสถาบันการเงิน และปรับลดเหลือ 1 ล้านบาทต่อสถาบันการเงินในเดือนสิงหาคม 2555 ที่จะถึงนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องมีการชี้แจงทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง และเตรียมความพร้อมในการรับการเปลี่ยนที่จะเกิดขึ้น รวมถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว ทั้งนี้จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องทั่วทั้งประเทศ
“จำเป็นที่ประชาชนผู้มีเงินฝากอยู่กับสถาบันการเงินต่างๆ จะต้องเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่กฎหมายดังกล่าว และรับทราบว่าหากสถาบันการเงินที่มีเงินฝากอยู่นั้นเกิดความเสียหายจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง เพื่อขอรับการชดเชยเงินฝากจากรัฐบาล และข้อมูลเกี่ยวกับระบบคุ้มครองเงินฝากดังกล่าวซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ใช้กันทั่วโลก เพราะในการคุ้มครองนั้นจะมีวงจำกัดที่ชัดเจน ซึ่งจะเป็นการสร้างวินัยทางการเงิน โดยในส่วนของผู้มีเงินฝากจำนวนสูงจะให้ความสำคัญในการติดตามฐานะผลการดำเนินงานของสถาบันการเงิน ขณะที่สถาบันการเงินจะมีวินัย และพัฒนาศักยภาพในการแข่งขัน ไม่สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยในการแข่งขันได้อีกต่อไป แต่จะเป็นการแข่งขันกันในรูปแบบของบริการและประเภทของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งจะดำเนินธุรกิจอย่างมืออาชีพและมีความระมัดระวังมากขึ้น”
นายสิงหะ กล่าวว่า การคุ้มครองเงินฝากให้เหลือ 1 ล้านบาทต่อสถาบันการเงินนั้น มีกลุ่มเป้าหมายคุ้มครองประชาชนรายย่อย และเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ 98.5% ซึ่งเป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากทั้งระบบที่มีเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาท ในขณะที่ผู้มีบัญชีเงินฝากเกิน 1 ล้านบาทมีเพียง 1.5% ของบัญชีเงินฝากทั้งหมด ดังนั้นการคุ้มครองดังกล่าวก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้มีเงินฝากส่วนใหญ่ โดยขณะนี้ได้ประสานกับทางธนาคารต่างๆ ทั้งของไทยซึ่งมีประมาณ 17 แห่ง ธนาคารต่างประเทศประมาณ 15 แห่ง ไฟแนนท์ 3 แห่ง เครดิตฟองซิเอร์จำนวน 3 แห่ง ให้มีการประชาสัมพันธ์การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว โดยการติดตราสัญลักษณ์คุ้มครองเงินฝากให้ประชาชนรับทราบ และผลิตภัณฑ์ของธนาคารที่มีผลบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองเงินฝากนั้นจะต้องมีตราสัญลักษณ์ติดอยู่ในผลิตภัณฑ์นั้นๆ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความสับสน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น