จำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ

วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553

สมาพันธ์ อบต.ฯ ติวเข้มราชการท้องถิ่น


เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 17 มีนาคม 2553 ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมรอยัลภูเก็ต ซิตี้ อ.เมือง จ.ภูเก็ต สมาพันธ์ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย ร่วมกับมูลนิธิปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล จัดการอบรมและสัมมนาการปรับปรุงระบบจำแนกตำแหน่งและค่าตอบแทนของข้าราชการส่วนท้องถิ่น โดยมีน.ส.สมใจ สุวรรณศุภพนา นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต และนายอำนาจ แดงกุล ผู้ก่อตั้งและอดีตประธานสมาพันธ์ฯ เป็นประธานตีฆ้องเปิดการอบรมฯ นอกจากนี้ยังมีนายสถิตย์ ฉัตรแก้วชูไทย อดีตประธานสมาพันธ์ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย นายทวีศักดิ์ ศรีทองกิติกูล ประธานสมาพันธ์ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย และประธานกรรมการมูลนิธิปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล ตลอดจนปลัดและรองปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล หรือบุคคลที่เคยดำรงตำแหน่งปลัด/รองปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้สนใจ เข้าร่วมจำนวนประมาณ 2,000 คน ในโอกาสเดียวกันนี้ยังได้มีการมอบโล่เกียรติยศแก่คณะกรรมการฯ ซึ่งหมดวาระทำงาน และมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวของปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลที่เสียชีวิตในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ จำนวน 2 ราย

การจัดการอบรมและสัมมนาการปรับปรุงระบบจำแนกตำแหน่งและค่าตอบแทนของข้าราชการส่วนท้องถิ่น เกิดขึ้นโดย สมาพันธ์ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทยและมูลนิธิปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล ได้เล็งเห็นความสำคัญในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเป็นการให้ความรู้ความเข้าใจในการปรับปรุงระบบจำแนกตำแหน่ง และค่าตอบแทนของข้าราชการส่วนท้องถิ่น ตลอดจนเป็นการระดมความคิดเห็นของข้าราชการส่วนท้องถิ่นเพื่อนำเสนอคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ก.ถ.)

ทั้งนี้ นายสถิตย์ ฉัตรแก้วชูไทย อดีตประธานสมาพันธ์ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย ได้กล่าวบรรยายพิเศษ เรื่อง ข้าราชการท้องถิ่นใสสะอาด ตามแนวพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ สรุปได้ว่า จากปัญหาวิกฤติของโลกไม่ว่าจะเป็นเรื่องของน้ำ อาหาร พลังงาน สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ โรคระบาด สังคมและการเมือง ซึ่งวิธีการแก้ไขปัญหาวิกฤติของไทยและวิกฤติโลก เป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนจะต้องช่วยกัน โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไทย “แนวทางในการที่จะแก้ไขวิกฤตินั้นจะต้องมีหลักยึด ซึ่งหลักยึดที่ประเสริฐที่สุดในโลก คือ การน้อมนำหลักที่ในหลวงพระราชทานให้พสกนิกรไทย มาเป็นแนวปฏิบัติ ซึ่งหลักการทรงงาน หลักปรัชญาของในหลวง ประกอบด้วย จะต้องมีการศึกษาข้อมูลอย่างเป็นระบบ แก้ปัญหาจากจุดเล็กๆ โดยดำเนินการไปตามลำดับขั้น ทั้งนี้จะต้อง คำนึงถึงภูมิสังคม มีการมององค์รวม ไม่ยึดติดกับตำรา ดำเนินการอย่างประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุด เน้นการมีส่วนร่วม คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม และบริการที่จุดเดียว ในการพัฒนานั้นจะต้องใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ ใช้อธรรมปราบอธรรม จะต้องปลูกป่าในใจคน ขาดทุนคือกำไร มีการพึ่งตนเอง พออยู่พอกิน เพื่อให้เกิดเป็นเศรษฐกิจพอเพียง ภายใต้ความซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจต่อกัน และจะต้องทำงานอย่างมีความสุข”

ขณะที่ท่าน ว.วชิรเมธี ได้ปาฐกธรรม พิเศษ เรื่อง พุทธวจนะกับการครองตนของข้าราชการในยุคโลกไร้พรมแดน (Globalization) กล่าวว่า ข้าราชการ คือ ผู้ทำงานถวายพระราชา ฉะนั้นจะต้องปฏิบัติตนเป็นคนดี เพื่อให้ประชาชนหมดจากความทุกข์ และข้าราชการถือว่าเป็นผู้ที่ได้รับเกียรติสูงสุด และจะต้องเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบสูงตามไปด้วย ดังนั้นจะต้องมีความตระหนักรู้และมีความภาคภูมิใจในอาชีพ และจะต้องไม่ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม เพราะไม่เช่นนั้นแล้วก็จะทำให้เสียถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย
“ข้าราชการที่ดีในยุคโลกไร้พรมแดน ซึ่งมีสิ่งยั่วยุมากมายและหลากหลายที่มากับโลกาภิวัฒน์ ดังนั้นข้าราชการจะต้องเป็นมืออาชีพทั้งตัวและหัวใจ ดังนั้นข้าราชการที่ดีจะต้องเป็นผู้ให้ ไม่ใช่ผู้กอบโกย ดังเช่นตัวอย่างของพระเวสสันดร ซึ่งเป็นแบบอย่างของผู้ให้ที่แท้จริง, จะต้องเป็นผู้มีศีลหรือจริยธรรมในการดำรงชีวิต เบื้องต้นขอแค่เพียงศีล 5, เป็นผู้เสียสละเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน, มีความซื่อสัตย์โปร่งใสไม่คอรัปชั่น, มีความอ่อนน้อมถ่อมตน, มีศักดิ์ศรี สง่างาม, ไม่ลุแก่โทสะ ต้องระมัดระวังในการใช้จุดอ่อนจุดแข็งในการปฏิบัติตน, มีเมตตาธรรมไม่แบ่งชนชั้น ไม่ใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ, มีความอดทนต่อสิ่งยั่วยุหรือกิเลสทั้งหลายและมีความยุติธรรม”

อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญข้าราชการไทยที่ดีนั้นอุดมคติ นอกจากการยึดหลักการปฏิบัติดังกล่าวข้างต้นแล้ว สำคัญสุดท้าย คือ การตัดสินใจซึ่งจะต้องนำธรรมาธิปไตยมาใช้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย รวมทั้งจะถูกต้องตามหลักกฎหมายด้วย” ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าว


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น