เมื่อเวลา 15.30 น.ของวันที่ 16 เมษายน 53 ที่บริเวณด้านหน้าทัพเรือภาคที่ 3 บ้านแหลมพันวา ม.8 ต.วิชิต อ.เมือง ภูเก็ต กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จังหวัดภูเก็ตและประชาชนชาวภูเก็ตกว่า 200 คน พร้อมด้วยป้ายข้อความต่างๆ เช่น “ที่พึ่งหนึ่งเดียวของไทย ตอนนี้คือทหารเท่านั้น” “ประเทศชาติจะพึ่งใคร ถ้าไม่ใช้ทหารปราบ” “การปราบกบฏ บ้าน กบฏเมือง ต้องใช้ทหารใช้หรือไม่” หลับเถิดทหารเสือราชินี ปวงชนจะสดุดี ชั่วนิรันดร์” เป็นต้น โดยมีนางสาวอาภารัตน์ ชาติชุติกำจร แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จังหวัดภูเก็ต เป็นแกนนำมายื่นหนังสื่อแถลงการณ์และดอกไม้ให้กำลังใจทหารและประชาชน ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา โดยมีนาวาเอก พุทธิพร สวาดสุด รองผอ.กิจการพลเรือน ทัพเรือภาคเรือภาคที่ 3 ตัวแทนผบ.กองเรือภาคที่ 3 พร้อมทหารประจำการอยู่ที่กองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 ให้การต้อนรับและรับมอบ
ทั้งนี้นางสาวอาภารัตน์ ได้อ่านแถลงการณ์ โดยมีใจความว่า แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จังหวัดภูเก็ต และประชาชนชาวภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต มีความรู้สึกเสียใจ ต่อกรณีการสูญเสียกำลังพลของเจ้าหน้าที่ทหารหาญ ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัย รักษาความสงบเรียบร้อยให้ชาติบ้านเมือง ระหว่างการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงหรือนปช.ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จนเจ้าหน้าที่ทหารระดับผู้บัญชาการ ผู้ใต้บังคับบัญชา ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายนาย เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา
กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จังหวัดภูเก็ต และประชาชนชาวภูเก็ต ขอแสดงความเสียใจและไว้อาลัยต่อการสูญเสียรั้วของชาติครั้งนี้อย่างสุดซึ้ง จะขอเป็นกำลังใจให้ทหารที่ได้รับบาดเจ็บและทหารที่ปฏิบัติงานในวันที่เกิดเหตุทุกท่าน รวมไปถึงพลเรือนกลุ่มมวลชนเสื้อแดง ที่เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บร่วม 859 ราย ให้เหตุการณ์เดียวกันด้วย
การชุมนุมของคนเสื้อแดงไม่น่าจะมีเหตุการณ์สูญเสียร้ายแรงต่อประเทศเช่นนี้ หากผู้ชุมนุม ชุมนุมอย่างสันติ อหิงสา และปราศจากอาวุธจริงอย่างที่กล่าวอ้าง แต่กลับพบว่ากลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนเป็นกองกำลังติดอาวุธ ผ่านการฝึกมาอย่างดี เพื่อสังหาร เข่นฆ่าทหาร ด้วยอาวุธสงครามอย่างไม่ปราณี และไร้ซึ่งมนุษยธรรม เพราะการมีไว้ซึ่งอาวุธสงครามนาครอบครอง
พฤติกรรมแกนนำปลุกระดมสร้างความรุนแรง ข่มขู่ ก้าวร้าว และบิดเบือนความจริง เข้าข่ายเป็นกบฏภายในราชอาณาจักร ซึ่งฝ่ายการเมืองคงจะแก้ปัญหาฝ่ายเดียวไม่ได้แล้ว จำเป็นต้องให้กองทัพบูรณาการมีส่วนร่วมแก้ปัญหาด้วย โดยขอเป็นกำลังใจให้กองทัพเดินหน้าทำงานต่อไปอย่างเสียสละ มีชาติ และสถานบันเป็นที่ตั้ง ดังนี้
1.ทหารต้องซื่อสัตย์ต่อคำปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพลทุกข้อ โดยเฉพาะจะเชิดชู และรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า
2.ตั้งแต่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 ควบคุมสถานการณ์ที่ไม่ปกติของการชุมนุม แต่ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ หรือนำพาประเทศสู่ความสงบได้ กลับทำให้สถานการณ์รุนแรง และเลวร้ายขึ้นถึงเวลาที่รัฐบาลควรปล่อยทหารเข้าควบคุมสถานการณ์ โดยประกาศใช้ “กฎ อัยการศึก” ทันที ก่อนที่สถานการณ์จะรุนแรงและเลวร้ายมากไปกว่านี้และหาวิธีแยกผู้ชุมนุมบริสุทธิ์ออกจาก “กลุ่มกบฏ” ไม่ปราบ ไม่ฆ่าประชาชนที่มาชุมนุมโดยบริสุทธิ์อย่างเด็ดขาดและ
3.ฝากถึงทุกฝ่ายที่หน้าที่ดูแลสถานการณ์ขณะนี้ ต้องช่วยกันนำพาประเทศให้ผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ โดยประชาชนทั้งประเทศที่ไม่มีโอกาสต่อรองหรือเจรจา จะร่วมเป็น “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” รับรองความชอบธรรมที่ทุกฝ่ายเข้ามาช่วยแก้ปัญหา เพื่อปกป้องสถาบันหลักของชาติ ระบบการปกครองประเทศ ที่เป็นประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและปกป้องปวงชนชาวไทยทั้งประเทศอย่างแน่นอน
จากนั้นนาวาเอกพุทธิพร ได้กล่าวต่อผู้ที่เดินทางมาร่วมการชุมนุมในครั้งนี้ว่า ตนในฐานะตัวแทน ผบ.กองเรือภาคที่ 3 ก็ขอขอบคุณที่ทุกท่านได้เดินทางมาให้กำลังใจกับทหารในครั้งนี้ หลังจากนี้จะได้นำแถลงการณ์พร้อมด้วยดอกไม้ที่ได้รับมอบในครั้งนี้ ไปมอบให้กับผบ.ทัพเรือภาคที่ 3 เพื่อนำส่งต่อไปยังทหารและชาชนที่ที่ได้รับบาดเจ็บที่นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลที่กรุงเทพต่อไป
ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับ ทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้ร่วมร้องเพลง เราสู้ และเพลงสรรเสริญพระบารมี จากนั้นก็ได้แยกย้ายกันกลับเพื่อไปรวมตัวกันต่อที่บริเวณปลายแหลมสะพานหิน อ.เมือง ภูเก็ตต่อ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น