เมื่อวันที่ 14 มกราคม 53 ที่ห้องประชุมร้านอาหารกันเอง 1 อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายพิเชษฐ สถิรชวาล รองประธานคณะกรรมการภาคใต้ พรรคเพื่อไทย กล่าวในโอกาสเดินทางมาประชุมร่วมกับคณะกรรมการพรรคเพื่อไทยในฝั่งอันดามัน (ภูเก็ต กระบี่ พังงา ตรัง ระนอง) เพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดการเลือกตั้งที่จะเกิดภายในปีนี้ทั้งเรื่องของการจัดทำป้ายประชาสัมพันธ์นโยบายของพรรค และการคัดสรรรายชื่อผู้ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ว่า เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์การเมืองของเรามีความไม่แน่นอนด้วยปัจจัยที่เป็นสิ่งบอกเหตุหลายประการไม่ว่าจะเป็นปัญหาความมั่นคง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ รวมถึงปัญหาอื่นๆ จึงต้องมีการเตรียมความพร้อมตลอดเวลา แม้ว่าวาวะของสภาฯ จะหมดในเดือนธันวาคมก็ตาม
“ภาพรวมการคัดเลือกผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ ขณะนี้ถือว่าค่อนข้างความชัดค่อนข้างมากสำหรับรายชื่อของผู้ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งซึ่งมีการกำหนดไว้ได้เกินกว่าครึ่งแล้ว และคาดว่าจะสามารถคัดสรร รวมทั้งการประกาศรายชื่อทั้งหมดได้ไม่เกินเดือนมีนาคมนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นมีความพร้อมเต็มที่แล้ว ส่วนที่เหลือทั้งจังหวัดฝั่งอันดามัน และฝั่งอ่าวไทย อยู่ระหว่างการคัดเลือกบุคคลที่มีความเหมาะสม ซึ่งในบางจังหวัดมีการเสนอรายชื่อเข้ามาค่อนข้างมากทั้งคนเก่าและคนใหม่”
นายพิเชษฐ กล่าวด้วยว่า สำหรับพื้นที่จังหวัดอันดามันซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของตนนั้น การคัดเลือกผู้สมัครได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยเกือบทั้งหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นกระบี่ พังงา ระนอง และตรัง โดยแต่ละจังหวัดก็มีความชัดเจนอย่างน้อยจังหวัดละ 1 เขต ยกเว้นจังหวัดภูเก็ตเนื่องจากมีผู้สนใจจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นจำนวนมาก จึงจะต้องมีการพิจารณากันเป็นพิเศษ เนื่องจากภูเก็ตเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ดังนั้นผู้ที่จะลงสมัครก็จะต้องมีความรู้ทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวควบคู่กันไปด้วย เพราะนโยบายที่จะนำเสนอกับพี่น้องประชาชนนั้นจะเน้นการให้ภูเก็ตเป็นเมืองพิเศษ ซึ่งอาจจะมีการทำให้เป็นเมืองปลอดภาษี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องเชื่อมโยงกับจังหวัดใกล้เคียงได้ด้วย และคงจะปล่อยให้ภูเก็ตเติบโตเพียงลำพังไม่ได้จะต้องกระจายไปยังพื้นที่อื่นๆ ด้วย
อย่างไรก็ตามนายพิเชษฐ ยังกล่าวแสดงความมั่นใจด้วยว่า สำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้พื้นที่ภาคใต้ทางพรรคเพื่อไทยจะได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน แต่ไม่สามารถที่จะระบุจำนวนได้ เพราะจากการลงพื้นที่พบว่าประชาชนยังพอใจนโยบายที่มีการดำเนินการมาในอดีต และนโยบายใหม่ๆ ที่จะเป็นการสานต่อ ดังนั้นการจะวัดความศรัทธาของประชาชนที่สำคัญ คือ การจัดการเลือกตั้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น