นายธนันท์ ตัณฑ์ไพบูลย์ นายกสมาคมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตอยู่ในภาวะซบเซา โดยเฉพาะตลาดบนซึ่งเน้นตลาดต่างประเทศเป็นหลักไม่มีการเคลื่อนไหวทั้งในส่วนของนักลงทุนและกลุ่มผู้ซื้อ จะมีเพียงกลุ่มจากประเทศรัสเซียที่มีการเคลื่อนไหวทั้งการลงทุนและซื้อขายอสังหาริมทรัพย์บ้าง โดยส่วนหนึ่งย้ายการลงทุนมาจากเมืองพัทยา จ.ชลบุรี หลังจากกลุ่มนักท่องเที่ยวดังกล่าวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในภูเก็ตเพิ่มมากขึ้น ส่วนตลาดอื่นๆ ที่เข้ามาลงทุนก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นยุโรป อังกฤษ เยอรมัน หรือออสเตรเลียจะมีการเคลื่อนไหวน้อยมาก เป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่แข็งตัว ทำให้กำลังซื้อจากต่างประเทศลดลงประมาณ 20-30% จึงทำให้นักลงทุนชะลอการตัดสินใจ
“ตลาดต่างชาติระดับบนที่มีการสร้างบ้านหรูสำหรับระดับมหาเศรษฐียังสามารถขายได้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่มีผลแต่จะขึ้นอยู่กับความพึงพอใจมากกว่า โดยจะต่างจากตลาดคนไทยซึ่งยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ตลอดเวลา แต่ละโครงการก็สามารถขายได้หมดในเวลาอันรวดเร็ว โดยเฉพาะโครงการของนักลงทุนพัฒนาอสังหาฯ จากส่วนกลางที่เป็นบริษัทมหาชน และมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ รวมทั้งสามารถที่จะก่อสร้างบ้านได้ตามที่ตกลงกับไว้ลูกค้า ในขณะที่บริษัทพัฒนาอสังหาฯ ที่เป็นทุนท้องถิ่นและเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของลูกค้า ก็ยังได้รับการตอบรับที่ดีเช่นกัน แต่หากจะให้ทำตลาดได้ดีก็จะต้องสร้างความแตกต่างๆ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับบริษัทส่วนกลางได้”
นายธนันท์ กล่าวด้วยว่า บ้านทาวน์เฮ้าส์หรือบ้านแฝดที่มีระดับราคาตั้งแต่ 1 ล้านบาท จนถึง 2 ล้านบาทต้นๆ ยังคงสามารถทำตลาดได้ดีในกลุ่มคนไทย โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิลำเนาต่างจังหวัดและมาประกอบอาชีพซึ่งจะเลือกซื้อบ้านอยู่อาศัยแทนการเช่า จึงทำให้ตลาดกลุ่มนี้ยังเติบโตต่อเนื่อง จากความต้องการที่อยู่อาศัยมีเพิ่มขึ้นตลอด ส่วนบ้านระดับราคาตั้งแต่ 4-5 ล้านบาทขึ้นไป แม้จะยังคงสามารถทำตลาดได้ แต่ก็ไม่ดีเท่ากับบ้านราคาระดับ 1 ล้านบาทเศษๆ
ขณะนี้การลงทุนอสังหาฯ ได้มีการกระจายตัวไปตามชานเมืองของภูเก็ตมากขึ้น เพราะเป็นทำเลที่เหมาะในการอยู่อาศัย โดยพื้นที่ที่ได้รับความสนใจค่อนข้างมากจะเป็นบริเวณทางตอนเหนือของเกาะภูเก็ต ตั้งแต่พื้นที่ ต. เชิงทะเลไปจนถึง ต.ไม้ขาว อ.ถลาง และต่อเนื่องไปจนถึงบ้านท่านุ่น ต.โคกกลอย จ.พังงา ซึ่งมีการกว้านซื้อที่ดินเพื่อลงทุนโรงแรม ที่พักอาศัย คอนโดมิเนียม รวมไปถึงที่พักตากอากาศ เพื่อรองรับการก่อสร้างโครงการศูนย์ประชุมและแสดงนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ซึ่งจะแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2556 เนื่องจากขณะนี้ราคาที่ดินบริเวณดังกล่าวไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นๆ โดยมีระดับราคาตั้งแต่ไร่ละ 4 – 5 แสนบาท ไปจนถึงไร่ละหลายสิบล้านบาททั้งนี้ขึ้นอยู่กับทำเล นายธนันท์ กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น