เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2555 ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดภูเก็ต น.ส.จารุวรรณ วัฒนพุ่มชู เจ้าของบริษัท เอซี คอนซัลติ้ง กรุ๊ป และบริษัทเอซี ลีกัลป์ แอดไวเซอร์ จำกัด พร้อมด้วยนายประสิทธิ์ วัฒนพุ่มชู พี่ชาย ได้ออกมาแถลงข่าวขอความเป็นธรรม กรณีที่ทางกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้มีการพาดพิง เกี่ยวกับกรณีที่มีการฆ่าและเผาช้าง ที่ อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เพียงเพราะเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่ามีรถป้ายทะเบียนภูเก็ตเข้า-ออกในพื้นที่ในช่วงเกิดเหตุ และระบุว่าอาจมีส่วนรู้เห็นในการล่าช้างดังกล่าว ซึ่งได้สร้างความเสียหายและลดทอนความน่าเชื่อถือให้กับตนเองและบริษัทฯ ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาด้านบัญชีและกฎหมาย
โดย น.ส.จารุวรรณ กล่าวว่า พื้นเพเดิมเป็นคน จ.สุราษฎร์ธานี และย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่ภูเก็ตนานแล้วโดยสำเร็จการศึกษาด้านกฎหมาย และเปิดบริษัทให้คำปรึกษาด้านบัญชีและกฎหมายมาเป็นเวลากว่า 10 ปี ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทมีความมั่นคงและน่าเชื่อถือ มีลูกค้าให้ความไว้วางใจใช้บริการเป็นจำนวนมาก แต่ไม่เคยทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับร้านอาหารแต่อย่างใด จึงไม่เข้าใจว่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการฆ่าช้างได้อย่างไร ดังนั้นจึงอยากขอวิงวอนและขอความเป็นธรรมไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายให้หยุดการให้ข่าวที่พาดพิงถึงตนและบริษัทฯ ด้วยเหตุผลเพียงรถมีป้ายทะเบียนภูเก็ตและมีการเข้าออกพื้นที่ดังกล่าว แล้วนำมาเชื่อมโยงกับกระบวนการฆ่าช้างอย่างเลื่อนลอย จนทำให้ได้รับความเสียหาย ซึ่งขณะนี้ก็อยู่ระหว่างให้ฝ่ายกฎหมายของบริษัทรวบรวมข้อมูลจากข่าวต่างๆ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายที่สามารถจะทำได้
“เนื่องจากที่ผ่านมาทางครอบครัวได้ไปทำสวนยางพาราอยู่ที่ ต.ป่าเด็ง อ.แก่งกระจาน โดยพี่ชายจะไปคนดูแล ส่วนตัวเองก็จะประกอบธุรกิจอยู่ที่ภูเก็ต โดยบริษัทมีรถป้ายทะเบียน 191 สามคัน และรถยนต์ซูซูกิ รุ่นวิทาร่า สีดำ เป็นหนึ่งใน 3 คันดังกล่าว และในช่วงที่เกิดเหตุรถยนต์วิทาร่า ทะเบียน 191 ภูเก็ตไปปรากฏในช่วงที่มีการตรวจพบซากช้างถูกเผา เนื่องจากก่อนที่จะเกิดเหตุพี่ชายได้เดินทางกลับมาที่ภูเก็ต เนื่องจากตนได้ขอให้ช่วยขับรถยนต์เล็กซัส 191 กทม.มาส่งให้ และในระหว่างนั้นก้อยู่ที่ภูเก็ตตลอด โดยใช้รถวิทาร่าในการพาพนักงานไปเลี้ยงปีใหม่ พาคุณแม่ไปหาหมอและไปธนาคาร และเนื่องจากพี่ชายต้องเดินทางกลับไปที่ป่าเด็งในช่วงก่อนปีใหม่ แต่ปรากฏว่าตั๋วโดยสารรถเต็ม จึงขอนำรถวิทาร่าคันดังกล่าวไป โดยออกเดินทางจากภูเก็ตตอนเวลาสามนาฬิกาของวันที่ 30 ธันวาคม และไปถึงในช่วงเย็นของวันเดียวกัน โดยขอยืนยันว่าในช่วงนั้นรถก็อยู่ที่สวนตลอดเวลาไม่เคยเข้าป่า และมีพยานยืนยันได้ ประกอบกับใบบันทึกการตรวจสอบรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ อ.แก่งกระจานเมื่อวันที่ 7 มกราคม ที่ผ่านมา”
น.ส.จารุวรรณ กล่าวด้วยว่า เหตุที่มีสวนอยู่ที่นั่นเนื่องจากชื่นชอบความเป็นธรรมชาติของที่นั่นมากจึงได้ไปซื้อที่ดินและปลูกยางพาราโดยมีพี่ชายเป็นคนดูแล และสามารถอยู่ร่วมกับช้างได้ไม่มีปัญหา เราไม่เคยใช้ประทัดไล่ช้าง แต่ใช้วิธีการป้องกันโดยขุดคูรอบสวน และติดตั้งไฟส่องสว่างรอบสวนตลอดคืน เนื่องจากช้างไม่ชอบเสียงไฟ นอกจากนั้นก็ได้มีการเข้าไปช่วยเหลือโยร่วมกับเพื่อนนิสิตจุฬา ให้ความรู้กับชุมชนในด้านการทำเกษตร จนทำให้เขาสามารถจดทะเบียนสิทธิบัตรทางภูมิศาสตร์ทุเรียนป่าละอู ซึ่งเป็นการเสริมรายได้ให้กับชาวบ้าน โดยไม่ต้องเสียจ่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม น.ส.จารุวรรณ กล่าวย้ำด้วยว่า อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งมีการระบุว่ามีร้านอาหารที่ขายเนื้อช้างตามที่เป็นข่าวในสื่อต่างๆ นั้น ให้ออกมาระบุให้ชัดเจนว่าชื่ออะไร ไม่ใช่พูดลอยๆ กว้างๆ เพราะส่งผลให้จังหวัดภูเก็ตเสียชื่อเสียง
ขณะที่นายประสิทธิ์ ยืนยันว่า ตนไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการฆ่าช้างอย่างแน่นอน และปกติตนก็อาศัยอยู่ที่ ต.ป่าเด็ง อ.แก่งกระจาน มากกว่าอยู่ที่ภูเก็ต และรู้จักชาวบ้านในพื้นที่เป็นอย่างดี ไม่ทราบว่าทำไมจึงมีการนำไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของช้างดังกล่าว ซึ่งตนก็ขอประณามผู้ที่ฆ่าช้าง เนื่องจากช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของเรามานาน และขอร้องผู้เกี่ยวข้องว่าอย่าให้ข่าวด้วยการเชื่อมโยงโดยไม่มีหลักฐาน เพราะได้สร้างความเสียหายอย่างมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น