เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดภูเก็ต กลุ่มมวลชนต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีทั้งนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปจำนวนมาก นำโดยนายบุญศุภภะ ตัณฑัยย์ ได้รวมตัวกันมายื่นหนังสือเรียกร้องให้รัฐบาลถอดถอน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ผ่านทางนายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เพื่อให้ส่งต่อไปยังรัฐบาล
ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกด้านการจราจรของเจ้าหน้าที่ตำรวจตลอดจน อส.ฝ่ายปกครองจังหวัดภูเก็ต ซึ่งในส่วนของมวลชนที่มาร่วมได้มีถือแผ่นป้ายข้อความต่างๆ ด้วย เช่น ขอคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม, ไม่เอานิรโทษยกเข่ง ขอเป็นเนรเทศ ยกโคตร, โกงเอง ฆ่าเอง เผาเอง นิรโทษตัวเอง เป็นต้น พร้อมกันนี้ยังได้มีการเป่านกหวีดเป็นระยะๆ ด้วย
โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งนี้ก่อนที่จะเดินทางมายังศาลากลางนั้นกลุ่มมวลชนดังกล่าวได้เดินรณรงค์รอบตัวเมืองภูเก็ตเป็นระยะทางร่วม 5 กิโลเมตร และเมื่อยื่นหนังสือเรียบร้อยแล้วทางกลุ่มมวลชนต่างๆ ได้เดินไปยังสวนเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษามหาราชินี (ลานมังกร) เพื่อร่วมเวทีปราศรัยอีกครั้ง
นายบุญศุภภะ ตัณฑัยย์ แกนนำประชาชนชาวจังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงเนื้อหาในหนังสือที่ยื่นคัดค้านฯ ว่า ตามที่สภาผู้แทนราษฎรภายใต้การสนับสนุนของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล ได้ผ่านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม แก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ.....(พ.ร.บ.นิรโทษกรรม) ในวาระที่สาม เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556
และมีมติเห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมความในร่างมาตรา 3 ความบางส่วนว่า “หรือที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง..”
ซึ่ง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมดังกล่าว แปลความหมายได้ว่ามีเจตนาและความมุ่งหมายที่จะลบล้างคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีทุจริตต่างๆ และให้คดีที่ยังค้างคาเป็นอันต้องยุติไป ให้ผู้กระทำความผิดในคดีทุจริต ทั้งในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ พ้นจากความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิงนั้น พวกเราในฐานะประชาชนชาวจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นพลเมืองของประเทศไทย
เห็นว่าการผ่าน พ.ร.บ.ดังกล่าวจะส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย และการต่อสู้คอร์รัปชั่นในประเทศไทย และการทำลายกระบวนการยุติธรรมและกฎหมายลงอย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1. ถ้อยคำในร่างมาตรา 3 เป็นการส่งเสริมการกระทำทุจริต ส่งผลให้ผู้มีส่วนสมรู้ร่วมคิด ทั้งตัวการ ผู้สนับสนุน และผู้ถูกใช้ให้กระทำ ไม่มีความเกรงกลัวต่อกฎหมาย ซึ่งจะทำให้คอร์รัปชั่นยิ่งทวีความรุ่นแรงมากขึ้น จนมิอาจประมาณความสูญเสียได้
2. การล้างผิดในคดีทุจริตเป็นการทำลายระบบคุณธรรมและจริยธรรมของสังคมอย่างร้ายแรง สังคมไทยและโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนชาติ จะมีค่านิยมใหม่ว่าโกงแล้วไม่มีความผิดโกงแล้วล้วนได้แต่ผลดี ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความล้มเหลวทางสังคมอย่างใหญ่หลวงเกินกว่าจะแก้ไขได้
3. ถ้อยคำในร่างกฎหมายดังกล่าวส่งผลเสียโดยตรงและอย่างรุนแรงต่อผู้ถูกกล่าวหา เนื่องจากถูกตัดโอกาสที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามกระบวนการยุติธรรมให้ถึงที่สุด หมดโอกาสที่จะได้ใช้ความจริงพิสูจน์ข้อกล่าวหาและลบล้างความระแวงแคลงใจของคนในสังคม ที่สำคัญกระบวนการยุติธรรมของประเทศก็จะหมดความศักดิ์สิทธิ์ เพราะไม่สามารถทำให้สังคมเชื่อในคำตัดสินและไม่สามารถนำตัวคนผิดมาลงโทษตามครรลองของกฎหมาย เพื่อชดใช้และรับผิดชอบต่ออาชญากรรมร้ายแรงที่กระทำต่อแผ่นดินและคนไทยทั้งประเทศได้
4. ถ้อยคำในร่างมาตรา 3 ดังกล่าว เกี่ยวพันกับประเด็นสาธารณะนำมาซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นล้างผิด ทำลายหลักสิทธิมนุษยชน และกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นประเด็นที่พวกเราล้วนยึดเป็นหลักในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ พวกเราในฐานะประชาชนชาวจังหวัดภูเก็ต พลเมืองประเทศไทย ได้สังเกตเห็นปรากฏการณ์ทางสังคมเหล่านี้มาระยะเวลาหนึ่ง
มองเห็นความสั่นคลอนทางสังคมในการอยู่ร่วมกันของคนในชาติ แม้จะมีความเห็นทางการเมืองต่างกันแต่ก็ลุกขึ้นมาต่อสู้คัดค้านประเด็นสาธารณะนี้ร่วมกันด้วยหัวใจบริสุทธิ์ พวกเราไม่สามารถปล่อยให้อนาคตของชาติเหล่านี้ต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวได้ เราเห็นควรแสดงจุดยืนและตอกย้ำน้ำหนักให้กับพลเมืองในจังหวัดภูเก็ตทุกภาคส่วนสามารถเชื่อมั่น ในหลักการเหล่านี้อย่างเต็มภาคภูมิ เชื่อมั่นว่าประเทศชาติจะยังคงเดินหน้าต่อไปได้ร่วมกัน
5. ถ้อยคำในร่างมาตรา 3 ดังกล่าว ไม่เคยปรากฏในหลักสากล ที่มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่การกระทำความผิดทางอาญา โดยเฉพาะคดีทุจริตคอร์รัปชั่น หากประเทศไทยมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่ผู้กระทำความผิดด้วยคดีดังกล่าว จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่อันเป็นการทำลายระบบกฎหมายไทย
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ประชาชนชาวจังหวัดภูเก็ต จึงขอยืนยัน คัดค้านการผ่านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม และเน้นย้ำจุดยืนว่าบรรดาคดีในฐานความผิดคอร์รัปชั่นและคดีอาญาทั้งหมดต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจนถึงที่สุด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย สร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องของกระบวนการยุติธรรมในสังคม
จึงขอเรียกร้องให้ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ยื่นหนังสือคัดค้านนิรโทษกรรม ของประชาชนชาวจังหวัดภูเก็ต แก่นายกรัฐมนตรี เพื่อระงับการพิจารณา พ.ร.บ.นิรโทษกรรมดังกล่าวในทันที
อย่างไรก็ตาม นายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวกับมวลชนที่มายื่นหนังสือ ว่า จะนำหนังสือและรายชื่อดังกล่าวส่งไปยังกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานหลัก ในช่วงบ่ายของวันนี้ (11 พ.ย.56) และต่อจากนี้ไปก็เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนตามระเบียบของราชการ และต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่มาร่วมชุมนุมด้วยความสงบเรียบร้อย เพราะจังหวัดภูเก็ตมีรายได้หลักมาจากการท่องเที่ยว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น