กกต.ติวเข้ม กตต.จังหวัดภาคใต้

เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2555 ที่ห้องประชุมภูเก็ต แกรนด์ บอลรูม โรงแรม รอยัล ภูเก็ตซิตี้ อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายสมชัย จึงประเสริฐ กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด เรื่อง การปฏิบัติตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนและการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2554
ซึ่ง สำนักสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 3 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดขึ้น โดยมีกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้เข้าร่วมจำนวน 75 คน จาก 15 จังหวัด ทั้งนี้เป้าหมายการจัดสัมมนาให้กับกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทั่วประเทศ 77 จังหวัด จำนวน 385 คน รวม 5 ครั้ง

น.ท.บูรฉัตร ภู่พลับ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 3 กกต. กล่าวว่า ตามมาตรา 19 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2550 กำหนดไว้ว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งอาจมอบหมายให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติงานอื่นตามที่กำหนด ซึ่งตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนและการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ.2554 ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดมีอำนาจพิจารณาคำร้องและปัญหาหรือข้อโต้แย้งจากการปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาและจัดทำความเห็นในสำนวนการสืบสวนสอบสวนเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง รวมทั้งหน้าที่อื่นที่กำหนดไว้

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จำเป็นอย่างยิ่งที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดจะต้องมีความเข้าใจร่วมกันในหลักคิดและแนวปฏิบัติในเรื่องที่เกี่ยวข้อง ด้านกิจการสืบสวนสอบสวน สำนักสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 3 จึงจัดสัมมนาดังกล่าวขึ้น เพื่อความเข้าใจร่วมกันในหลักคิดและแนวปฏิบัติที่กำหนดไว้ตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยสืบสวนสอบสวนและการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2554 รวมทั้งกฎหมาย และระเบียบอื่นที่เกี่ยวข้อง 

เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ข้อแนะนำ ข้อเสนอแนะต่าง ๆ ในการทำหน้าที่กรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด รวมทั้งเพื่อให้กรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดกับผู้บริหารของด้านกิจการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย มีโอกาสพบปะทำความรู้จัก ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อการติดต่อประสานความร่วมมือ น.ท.บูรฉัตร กล่าว และกล่าวด้วย สำหรับประโยชน์ที่จะได้ คือ ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจร่วมกันในการดำเนินงานเกี่ยวกับเรื่องคัดค้านการเลือกตั้ง ซึ่งจะทำให้การปฏิบัติงานในขอบเขตอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและได้มาตรฐานเดียวกันยิ่งขึ้น รวมทั้งการประสานความร่วมมือในเรื่องที่เกี่ยวข้องด้วย