เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2557 ที่ห้องประชุมชั้น 3 สถานีตำรวจท่องเที่ยวภูเก็ต อ.เมือง จ.ภูเก็ต พ.ต.อ.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย รองผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว พร้อมด้วย พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช ผู้กำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว, พ.ต.ท.นิคม เทียนห้าว สว.งานสืบสวน กก.5บก.ทท. ร.ต.อ.สมเดช สารบรรณ์ รอง สว.ส.ทท.2 ช่วยราชการงานสืบสวน กก.5บก.ทท. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ งานสืบสวน กองกำกับ 5 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว
แถลงข่าวจับผู้ต้องหาซึ่งเป็นชายไทย อายุ 39 ปี พร้อมของกลาง กระเป๋าเป้สะพายหลังขนาดกลาง สีน้ำตาล จำนวน 1 ใบ ถุงกระดาษสีแดง ขนาดเล็ก จำนวน 1 ใบ ธนบัตรสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาปลอม ฉบับละ 10,000 ดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา จำนวน 482 ฉบับ หรือ 4,820,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทย 144,600,000 บาท โดยได้ทำการยึดของกลางและตั้งข้อกล่าวหา ว่า มีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งธนบัตรรัฐบาลต่างประเทศ (ดอลล่าร์สหรัฐฯ) ออกให้ใช้โดยรู้ว่าเป็นของปลอม
ด้วยเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมา ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.อภิชัย ธิอามาตย์ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว กองบัญชาการสอบสวนกลาง พ.ต.อ.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย รองผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว และ พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช ผู้กำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ งานสืบสวน กองกำกับ 5 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว ตรวจสอบกรณีได้รับแจ้งจากสายลับ ว่า มีชายไทยไม่ทราบชื่อ จะเดินทางมาจากกรุงเทพมหานครนำธนบัตรสกุลดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาปลอม ฉบับละ 10,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ มาแลกเป็นเงินสกุลเงินบาทไทย กับผู้ประกอบการรับแลกเปลี่ยนเงินในจังหวัดภูเก็ต และได้มีการสืบสวนหาข่าวเพิ่มเติมจนกระทั่งทราบว่า ชายคนดังกล่าวมีการนัดตรวจสอบเงินกันภายในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัลภูเก็ต เวลาประมาณ 12.00 น. วันที่ 2 มีนาคม 2557
ต่อมาทางเจ้าหน้าที่งานสืบสวนฯ ได้เข้าตรวจสอบภายในร้านกาแฟแบล็คแคนย่อน ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เฟสติวัลภูเก็ต ตามที่ได้มีการสืบสวนมา พบผู้ถูกจับกุม กำลังนั่งตรวจสอบธนบัตรฉบับละ 10,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ อยู่ จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่และทำการตรวจสอบธนบัตรดังกล่าว พบว่า มีข้อผิดสังเกต คือ ที่ด้านหน้าธนบัตรบริเวณวงกลมด้านซ้ายมือรอบตัวหนังสือภาษาอังกฤษตัวแอล (L) ซึ่งหากเป็นธนบัตรสกุลดอลล่าร์สหรัฐฯ ฉบับที่แท้จริง จะต้องมีภาษาอังกฤษระบุว่า SANFRANCISCO แต่ปรากฏว่าธนบัตรที่มีการตรวจสอบแต่ละฉบับกลับมีภาษาอังกฤษระบุว่า NANPRANCISCO
จึงได้แจ้งแก่ผู้ถูกจับกุม ว่าธนบัตรดังกล่าวเป็นธนบัตรปลอม พร้อมเชิญตัวมาสอบสวนเพิ่มเติม พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาว่า มีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งธนบัตรรัฐบาลต่างประเทศ (ดอลล่าร์สหรัฐฯ )และยึดธนบัตรของกลางทั้งหมดมาตรวจนับอย่างละเอียดอีกครั้ง พร้อมประสานเจ้าหน้าที่ประจำสถานฑูตประเทศสหรัฐอเมริกา ร่วมตรวจสอบเพื่อยืนยันอีกครั้ง และได้รับว่าเป็นธนบัตรปลอม จึงได้นำตัวผู้ถูกจับกุมพร้อมข้อกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
พ.ต.อ.ศุภเศรษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การจับกุมดังกล่าวเนื่องจากได้รับแจ้งจากสายว่า จะมีผู้เดินทางมาจากกรุงเทพฯ นำธนบัตรต่างประเทศจำนวนมากมาแลกเป็นเงินสกุลไทย เนื่องจากเป็นเรื่องผิดปกติจึงสั่งการให้ชุดจับกุมออกทำการติดตามหาข่าวจนทราบว่าจะมีการนำธนบัตรมาแลกจริง จึงทำการล่อซื้อ และตรวจสอบพบว่าเป็นธนบัตรที่นำมาแลกนั้นเป็นธนบัตรฉบับละ 10,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ซึ่งไม่มีการใช้ในตลาด โดยยกเลิกการใช้และผลิตมานานแล้ว ในอดีตจะใช้ระหว่างธนาคารกับธนาคารเท่านั้น ส่วนธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐฯ ที่ใช้อยู่ในตลาด ได้แก่ ธนบัตรใบละ 100 , 50, 20, 10 ,2, 1 ดอลล่าร์สหรัฐฯ
“หากไม่ตรวจสอบอย่างละเอียดก็จะไม่พบความปกติ เพราะมีการปลอมแปลงที่ละเอียดมาก จากการสอบปากคำ ผู้ต้องหา บอกว่า เป็นคนกลางที่นำธนบัตรมาแลกเพื่อรับส่วนต่าง โดยอยู่ที่ฉบับละ 3 บาท ซึ่งผู้ติดต่อมานั้นเป็นคนไทยติดต่อมาทางโทรศัพท์ ไม่ทราบชื่อจริง และเมื่อปีที่ผ่านมาได้มีการนำไปแลกกับธนาคารกรุงไทย แต่ถูกตีกลับมาว่าเป็นธนบัตรปลอม จึงได้เดินทางมายังภูเก็ตซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว และเลือกที่จะนำธนบัตรไปแลกกับผู้ประกอบการให้แลกธนบัตรต่างประเทศ ซึ่งจะมีโอกาสมากกว่า โดยบอกด้วยว่าทำเป็นครั้งแรก ทั้งนี้จะได้มีการขยายผลเพิ่มเติมต่อไป” พ.ต.อ.ศุภเศรษฐ์ กล่าว
ขณะที่พ.ต.อ.จิรภพ ให้ข้อมูลด้วยว่า การปลอมแปลงเงินตราต่างประเทศที่ผ่านมาที่พบส่วนใหญ่ จะพบการปลอมเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ และยูโร โดยมีการจับกุมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่มีการจับกุมธนบัตรฉบับละ 10,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ปลอม ซึ่งสาเหตุที่นำธนบัตรเลือกมาแลกที่ภูเก็ต เพราะมีบูธรับแลกเงินเป็นจำนวนมาก และอาจจะผ่านได้ง่ายกว่าการไปแลกกับธนาคารซึ่งจะมีความเข้มงวดมาก และยอมที่จะแลกในราคาที่ต่ำกว่าปกติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น