เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2555 ที่ห้องประชุมโรงแรมเพิร์ล อ.เมือง จ.ภูเก็ต น.ส.สมหมาย ปรีชาศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดการอบรมโครงการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิแรงงานให้มีรายได้ไม่น้อยกว่าวันละ 300 บาท ซึ่งทางสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดภูเก็ตจัดขึ้น โดยมีการบรรยายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อเสริมสร้างแรงงานสัมพันธ์ในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจให้มีความรู้แก่นายจ้าง ลูกจ้างและผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมจำนวน 300 คน
นายกิตติพงษ์ เหล่านิพนธ์ สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ด้วยสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการคุ้มครองดูแลแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายและคุณภาพชีวิตที่ดี จึงได้ดำเนินการจัดทำโรงการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิแรงงานให้มีรายได้ไม่น้อยกว่าวันละ 300 บาทขึ้น เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่นายจ้าง ลูกจ้างและผู้ที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินการให้แรงงานทุกกลุ่มมีรายได้ไม่น้อยกว่าวันละ 300 บาท และเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ดีต่อนายจ้าง ลูกจ้างในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนให้ความสำคัญในการนำระบบแรงงานสัมพันธ์ไปใช้จัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น
ขณะที่ น.ส.สมหมาย ปรีชาศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่เริ่มดำเนินการในปีแรกที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้แรงงาน คือ ทำให้แรงงานมีรายได้วันละไม่น้อยกว่า 300 บาท ผู้จบปริญญาตรีมีรายได้เดือนละไม่น้อยกว่า 15,000 บาท มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ช่วยกันผลักดันเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ เห็นได้จากการที่กระทรวงแรงงานออกประกาศอัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาทในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาครและภูเก็ต โดยคาดหวังว่าการปรับฐานรายได้ให้แก่ผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นประชากรกลุ่มหนึ่งของประเทศในจังหวัดที่เป็นฐานทางเศรษฐกิจหลักซึ่งเป็นแหล่งอุตสาหกรรมการผลิต การก่อสร้าง พาณิชย์และการท่องเที่ยว ที่มีแรงงานเป้ฯจำนวนมาก เพื่อจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อขายภายในประเทศเพื่อกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับจังหวัดและภาพรวมของประเทศ
อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดภูเก็ตจากอัตราค่าจ้างเดิมเมื่อปี 2554 วันละ 221 บาท ปรับขึ้นเป็นวันละ 300 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555นี้ ย่อมจะต้องเกิดผลกระทบต่อสถานประกอบกิจการหลายแห่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นการจัดให้ความรู้ดังกล่าวจะช่วยสร้างมุมมองให้ทั้งสองฝ่ายสามารถนำระบบการบริหารแรงงานสัมพันธ์ที่ดีไปใช้เป็นกลไกในการป้องกันปัญหาความขัดแย้งด้านแรงงานที่อาจเกิดขึ้นในสถานประกอบกิจการ การยึดหลักจริยธรรมในการบริหารธุรกิจ
ซึ่งนอกจากจะต้องผลิตสินค้าและการให้บริการที่ได้มาตรฐานแล้ว ยังต้องให้ความสำคัญด้านสิทธิแรงงานและสิทธิมนุษยชนด้วย การจ้างงานที่เป็นธรรมลูกจ้างได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมตามศักยภาพ ย่อมสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตการทำงาน และสร้างขวัญกำลังใจให้ลูกจ้างในการสร้างผลผลิตการให้บริการที่มีประสิทธิภาพต่อสถานกิจการเช่นกัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตกล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น