เมื่อวันที่ 19 กรกฎคม 2555 ที่บริเวณโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ ภูเก็ต อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายบุญศุภภะ ตัณฑัยย์ ประธานชมรมรักษ์ภูเก็ต ได้ยื่นหนังร้องเรียนกรณีนางฐิตินันท์ แก้วจันทรานนท์ หมิ่นเบื้องสูง ถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ผ่านทางนายเรวัต อารีรอบ ส.ส.ภูเก็ต เขต 2 พรรคประชาธิปัตย์ โดยเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพฤติกรรมของผู้กระทำความผิดรายดังกล่าว ว่าเป็นบุคคลที่ควรรับความผิดตามกฎหมายหรือไม่
สำหรับหนังสือร้องเรียนดังกล่าว มีเนื้อหาว่า ตามที่ปรากฏข่าวทางสื่อมวลชนและทราบดีกันแล้วว่า เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2555 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กำหนดอ่านคำวินิจฉัย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณด้านหน้าศาลรัฐธรรมนูญ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เมื่อเวลา 09.30 น. ได้เกิดเหตุความวุ่นวายขึ้นในระหว่างที่กลุ่มกองทัพปลดแอกประชาชน เพื่อให้สื่อมวลชนบันทึกภาพ ซึ่งเป็นการอัญเชิญภาพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาร่วมในการบันทึกภาพด้วย จากนั้นได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อมีหญิงสูงอายุคนหนึ่ง ทราบชื่อ นางฐิตินันท์ แก้วจันทรานนท์ อายุ 63 ปี ได้เดินฝ่าฝูงชนเข้ามาตรงไปยังผู้ที่อัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ ก่อนที่จะแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ซึ่งผู้ถือชูอยู่เหนือหัว
จากการตรวจสอบพบว่านางฐิตินันท์ ไม่ส่าจะเป็นคนสติไม่ปกติ เพราะมีเฟชบุ๊คส่วนตัวซึ่งใช้ชื่อจริง นามสกุลจริง ซึ่งได้โพสต์ภาพตัวเองและครอบครัว ระบุสถานะว่า “ไม่เคยทำงาน เลี้ยงลูก เลี้ยงหลาน ดูแลสามี สามีเป็นนายจ้าง มีความสุขที่สุด” และใช้ชีวิตอยู่ที่ Christchurch New Zealand พร้อมกับระบุชื่อเดิมว่า “จินตหรา” เกิดที่ อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น
ในนามของชมรมรักษ์ภูเก็ต ขอแสดงความจงรักภักดีอันมีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 70 คือ บุคคลทีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญนี้ ด้วยเพราะเหตุการณ์กระทำอันมิบังควร หน้าศาลรัฐธรรมนูญของนางฐิตินันท์ แก้วจันทรานนท์ ต่อพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาต มาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกฯ” กล่าวคือ ผู้กระทำมีเจตนาในการกระทำความผิด คือ มีเจตนาดูหมิ่น เป็นการสบประมาทดูถูกเหยียดหยาม หรือแสดงอาการเหยียดหยามด้วยพฤติกรรมที่ไม่บังควรต่อภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ และผู้กระทำมีเจตนามุ่งต่อผล และย่อมเล็งเห็นผลในการกระทำ คือรู้ว่าผู้ที่ตัวเองแสดงกิริยาไม่เหมาะสมเป็นบุคคลตามมาตรา 112 คือ พระมหากษัตริย์ และพระมหากษัตริย์ในที่นี้คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช องค์ที่ทรงครองราชย์อยู่ในปัจจุบัน
ชมรมรักษ์ภูเก็ต เห็นพ้องว่า จากการกระทำดังกล่าว มีลักษณะละเมิดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และประมวลกฎหมายอาญา จึงพิจารณาเห็นควรนำเสนอเรื่องดังกล่าวให้นายกรัฐมนตรี (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) เพื่อรับทราบและพิจารณามอบหมายเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพฤติกรรมของผู้กระทำผิดรายดังกล่าว ว่าเป็นบุคคลที่ควรรับความผิดตามกฎหมายหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่บัญญัติว่า “รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณาภาพแห่งเขตอำนาจของรัฐ เพื่อพิทักษ์ รักษาเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
หลังจากนายเรวัต รับหนังสือร้องเรียนแล้ว ได้กล่าวว่า จะดำเนินการนำส่งให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เพื่อรับทราบและดำเนินการต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น