จำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

ตร.ยังมืดยิ่งสาวยิ่งลึกพบมีหลายประเด็น



เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2555 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบคดีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงนายวิสุทธิ์ ตั้งวิทยาภรณ์ อายุ 44 ปี เจ้าของและบรรณาธิการหนังสือพิมพ์อินไซด์ภูเก็ต และ นปช.ภูเก็ต เสียชีวิตเหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 มกราคม ที่ผ่านมา ที่บริเวณปากซอยทางเข้าหมู่บ้านศรี สุชาติ ถ.เทพกระษัตรี ฝั่งขาออกนอกเมืองภูเก็ต ตรงข้ามโชว์รูมนิสสันภูเก็ต ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต โดยพล.ต.ต.พิสัณห์ จุลดิลก รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวภายหลังการประชุมร่วมกับคณะทำงานติดตามหาคนร้ายและคลี่คลายคดีดังกล่าวว่า จากการ ประชุมและสรุปข้อมูลประเด็นรายละเอียดต่างๆ ที่น่าจะเป็นมูลเหตุของการสังหารนายวิสุทธิ์ พบว่าแต่ละประเด็นจะมีน้ำหนักที่ใกล้เคียงกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการนำเสนอข่าว เรื่องออกเอกสารสิทธิบริเวณหาดฟรีด้อม ต.กะรน อ.เมืองภูเก็ต การออกโฉนดที่ดินแปลงนาคาเล ต.กมลา อ.กะทู้ เรื่องการเมืองทั้งการเป็นเลขานุการ นปช.ภูเก็ต หรือลงสมัครรับเลือกตั้งท้องถิ่น คดีเกี่ยวกับการโจมตีและโยกย้ายข้าราชการหน่วยต่างๆ เนื่องจากผู้ตายได้เขียนระบุไว้ในบทความในหนังสือพิมพ์อินไซด์ภูเก็ตฉบับปักษ์หลังเดือนธันวาคมระบุว่ามีผู้ข่มขู่ทำร้ายตัวเองด้วย แต่ ประเด็นที่ตัดไปคือเรื่องชู้สาว
“ทุกประเด็นที่กล่าวมานั้นล้วนมีน้ำหนักที่ไม่แตกต่างกัน ในเรื่องของผลประโยชน์ ซึ่งขณะนี้คณะทำงานมุ่งเน้นการติดตามเกี่ยวกับพฤติกรรมของกลุ่มมือปืนว่ามีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับกลุ่มไหนบ้างอย่างไร โดยเฉพาะผู้ที่ อยู่เบื้องหลัง ส่วนของกล้องวงจรปิดที่ได้มาจากที่พื้นที่เกิดเหตุนั้นปรากฏว่าเมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วภาพ ไม่ชัดเจน จึงทำอะไรไม่ได้มากนัก ประกอบกับคนร้ายใส่หมวกกันน๊อค แต่จะใช้ประโยชน์ได้ก็ต่อเมื่อจับกุมคนร้ายได้แล้ว เช่นเดียวกับป้ายทะเบียนรถที่ก่อเหตุเพราะเมื่อตรวจสอบแล้วไม่พบว่ามีหมายเลขทะเบียนดังกล่าว จึงเชื่อได้ว่าน่าจะเป็นแผ่นป้ายทะเบียนปลอม เนื่องจากคนร้ายเป็นมืออาชีพและมีการวางแผนมาเป็นอย่างดี ดังนั้นจะต้องตั้งสมมติฐานให้ดี เพราะหากตั้งสมมุติฐานผิดตั้งแต่ต้นก็จะทำให้การติดตามคดีผิดพลาดไปด้วย”
พล.ต.ต.พิสัณห์ ยังกล่าวด้วยว่า สำหรับคดีนี้ผู้บังคับบัญชาให้ความสนใจมาก เนื่องจากเป็นคดีที่ถือว่าคุกคามสื่อขั้นสูงสุด ซึ่งในการติดตามคดีเพื่อนำคนร้ายมารับโทษนั้นก็จะทำงานร่วมกันระหว่างชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 8 ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตและตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต ซึ่งก็ไม่มีอะไรน่าหนักใจ เจ้าหน้าที่ก็ดำเนินอย่างเต็มที่ตามพยานหลักฐานต่างๆ และคงไม่ต้องใช้เจ้าหน้ากองปราบปรามหรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น