จำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

กมธ.พาณิชย์ฯ เสนอพัฒนาท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต


เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2553 ที่ห้องประชุมด่านศุลกากรภูเก็ต อ.เมือง จ.ภูเก็ตคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา สภาผู้แทนราษฎร นำโดยนายเรืองเดช สุพรรณฝ่าย ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการฯ ประชุมร่วมกับนายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายอนันต์ศรีประเสริฐ รักษาการหัวหน้าด่านศุลกากรภูเก็ต และผู้ที่เกี่ยวข้อง ในโอกาสเดินทางมาศึกษาดูงานเรื่อง แนวทางการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาใน จ.ภูเก็ต เพื่อรับฟังปัญหาและแนวทางการไขในการที่จะนำเสนอโครงการต่อรัฐบาลในการช่วยเหลือต่อไป

นายเรืองเดช สุพรรณฝ่าย ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า จากการรับฟังบรรยายสรุปพบว่า ในพื้นที่ภูเก็ตจะไม่มีเรื่องของการผลิตสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ แต่จะมีการนำเข้ามาจากพื้นที่อื่น โดยกลุ่มผู้สนใจซื้อสินค้าจะมีเพียงบางกลุ่ม แต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องมีการช่วยกันดูแลเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น ขณะเดียวกันได้รับทราบถึงปัญหาของท่าเทียบเรือน้ำลึกภูเก็ต เนื่องจากปัจจุบันยังใช้ประโยชน์ไม่เต็มที่ ดังนั้นจะได้มีการนำเสนอต่อรัฐบาลในการที่จะพัฒนาและปรับปรุงเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ให้เหมาะสมและศักยภาพของพื้นที่ โดยเฉพาะรองรับเรื่องของการท่องเที่ยว ตลอดจนการจัดทำเป็นดิวตี้ฟรีโซน ซึ่งคิดว่ามีความจำเป็นสำหรับการท่องเที่ยว

ขณะที่นายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า สำหรับภูเก็ตไม่มีปัญหาเรื่องของการผลิตสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ที่พบจะเป็นการนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านโดยทางบก ซึ่งจะไม่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรปซึ่งมีกำลังซื้อสูง ทั้งนี้จะมีความนิยมในกลุ่มของต่างชาติบางกลุ่มเท่านั้น อย่างไรก็ตามทางจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลย จะมีการจัดชุดกำลังเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา ส่วนของยาเสพติดที่จะเข้ามาทางเรือนั้นคิดว่าค่อนข้างน้อยมาก โดยเฉพาะในส่วนของเรือสำราญ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีเลย โดยอาจจะมีบ้างก็จะเป็นการใช้กันในกลุ่มของนักท่องเที่ยวและจำนวนไม่มาก เช่น ยาไอซ์ เป็นต้น

นายอนันต์ศรีประเสริฐ รักษาการหัวหน้าด่านศุลกากรภูเก็ต กล่าวว่า ในส่วนของการจับกุมการนำเข้าและจำหน่ายสินค่าละเมิดลิขสิทธิ์นั้น ทางศุลกากรจังหวัดภูเก็ตร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาได้มีการเผาทำลายสินค้าที่สามารถจับกุมได้จำนวนกว่า 47,000 ชิ้น ส่วนใหญ่พบว่าจะมีการลักลอบนำเข้าทางบก ส่วนของทางน้ำนั้นยังไม่พบ ซึ่งในการตรวจตราทางน้ำต้องยอมรับว่าทำได้ค่อนข้างยาก และจะต้องมีสายข่าวที่ชัดเจน ไม่เฉพาะในเรื่องของสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์เท่านั้น แต่รวมถึงปัญหายาเสพติดด้วย ส่วนของเรือยอช์ทนั้นแต่ละปีจะมีเรือที่แจ้งเข้าออกประมาณ 1,200 ลำ แต่ในความเป็นจริงจะมีมากกว่านี้ เพราะบางส่วนจะมีการแจ้งเข้าที่ จ.สตูล จ.กระบี่ หรือจังหวัดอื่นๆ ซึ่งได้เสนอไปยังกรมศุลกากรในการจัดทำระบบรวมรวบข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลในแต่ละด่านที่มีการแจ้งเข้าออกไปไว้ได้

อย่างไรก็ตามทางคณะกรรมาธิการฯ ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมไม่มีการจับกุมยาเสพติดทางเรือ เพราะคิดว่าน่าจะมีการลักลอบนำเข้ามา โดยเฉพาะเรื่อสำราญต่างๆ ที่นำนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งคิดว่าอาจจะมีลักษณะของประเภท ยาไอซ์ หรือโคเคน



ทม.กะทู้ จัดงานถนนสายวัฒนธรรมเมืองกะทู้ ครั้งที่ 2



เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 53 ที่ผ่านมาบริเวณตลาดกะทู้ อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รมว.กระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ถนนสายวัฒนธรรมเมืองกะทู้ ครั้งที่ 2 ซึ่งทางเทศบาลเมืองกะทู้ ร่วมกับจังหวัดภูเก็ต กระทรวงวัฒนธรรม โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดภูเก็ต การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานภูเก็ต และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ภูเก็ต จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 25-27 มิถุนายนนี้ โดยมี ศ.ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางธันยรัศมิ์ อัจฉริยะฉาย สว.ภูเก็ต นายเรวัต อารีรอบ นางเฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์ สส.จ.ภูเก็ต พรรคประชาธิปัติย์ นายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต นายศิริพัฒ พัฒกุล นายอำเภอกะทู้ นายชัยอนันท์ สุทธิกุล นายกเทศมนตรีเมืองกะทู้ ฝ่ายบริหาร สมาชิกสภาฯ ข้าราชการ พนักงานเทศบาลเมืองกะทู้ หน่วยงานรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานภาคเอกชน ส่วนราชการเกี่ยวข้อง และประชาชนในเขตเทศบาลเมืองกะทู้ ตลอดจนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ร่วมเป็นจำนวนมาก

ศ.ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม จังหวัดภูเก็ต และเทศบาลเมืองกะทู้ ได้สนองนโยบายของรัฐบาลในเรื่องแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยได้ร่วมกันจัดงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ถนนสายวัฒนธรรมเมืองกะทู้ ครั้งที่ 2 ขึ้น เพื่อสร้างความตระหนักให้คนในจังหวัดภูเก็ตได้เห็นคุณค่าของศิลปะและวัฒนธรรมของท้องถิ่น ซึ่งเป็นทุนทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นมาสร้างคุณค่าทางสังคม และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่จังหวัด ชุมชนและท้องถิ่น เพื่อที่จะขับเคลื่อนทุนทางวัฒนธรรมซึ่งเป็นต้นทุน นำไปสู่การสร้างสรรค์เศรษฐกิจ เป็นสินค้าและบริการอันจะนำมาซึ่งการบกระดับเศรษฐกิจของประเทศ และเกิดความเข้มแข็งและยั่งยืนของชุมชนในระยะยาว ทั้งในเรื่องประโยชน์เชิงพาณิชย์ คือ การพัฒนาสินค้า และบริการทางวัฒนธรรมให้เป็นรายได้ที่ยั่งยืน และการรักษาสืบทอด ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่ตลอดไป

นายชัยอนันท์ สุทธิกุล นายกเทศมนตรีเมืองกะทู้ กล่าวว่า การจัดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ถนนสายวัฒนธรรมเมืองกะทู้ ครั้งที่ 2 นี้ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์สืบสานศิลปะและวัฒนธรรมของท้องถิ่น เพิ่มคุณค่าทางเศรษฐกิจ และเพิ่มรายได้ทางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของประชาชนในท้องถิ่น เพื่อเปิดเวทีภูมิปัญญาท้องท้องถิ่นรวมทั้งสินค้าและบริการทางวัฒนธรรม ให้เผยแพร่ และเกิดการสร้างสรรค์ผลงานที่หลากหลายเพื่อสร้างฐานรายได้ใหม่ให้แก่ประเทศ ส่งเสริมให้มีการใช้ศิลปะร่วมสมัย โดยศิลปินร่วมกับภูมิปัญญาร่วมกันปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาของท้องถิ่น ให้เกิดมูลค่าเพิ่ม สร้างโอกาสทางธุรกิจ ตลอดจนเพื่อบูรณาการความร่วมมือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ในจังหวัดระหว่างภาครัฐ เอกชนและท้องถิ่นให้เกิดความสมดุลและยั่งยืนต่อไป


วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ส.ท่องเที่ยวอินเดียเลือกภูเก็ตจัดประชุมใหญ่ประจำปี


นางบังอรรัตน์ ชินะประยูร ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานภูเก็ต เปิดเผย ว่า ททท.ประสบความสำเร็จในการยื่นข้อเสนอให้ภูเก็ตเป็นสถานที่จัดการประชุมประจำปี ของสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวแห่งอินเดีย (Travel Agents Association of India - TAAI) ซึ่งทาง ททท.นิวเดลี ประเทศอินเดีย ได้มีการนำคณะมาสำรวจสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในพื้นที่ภูเก็ต พร้อมเข้าพบผู้บริหารระดับสูงของจังหวัดภูเก็ต เพื่อยืนยันความพร้อมและสร้างความมั่นใจ ในที่สุดทางคณะกรรมการผู้บริหารสมาคมฯ ตัดสินใจตอบรับเลือกจังหวัดภูเก็ตเป็นสถานที่การจัดประชุมประจำปีเรียบร้อยแล้ว โดยมีกำหนดจัดการประชุมฯ ขึ้นในระหว่างวันที่ 17 – 19 กันยายน 2553 ที่ Laguna Resorts and Hotels ซึ่งจะมีสมาชิกสมาคมฯ และผู้ติดตาม เข้าร่วมจำนวนประมาณ 2,000 คน


“ความสำเร็จดังกล่าวเป็นผลมาจากการประสานงานระหว่าง ททท.นิวเดลี ประเทศอินเดีย กับ ททท.ภูเก็ต ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากที่จะมีกลุ่มประชุมสัมมนาขนาดใหญ่เข้ามาในภูเก็ตในช่วงดังกล่าว เนื่องจากยังอยู่ในช่วงโลว์ซีชั่น และผู้ที่เข้ามาล้วนเป็นผู้บริหารบริษัทนำเที่ยวชั้นนำจากทั่วประเทศอินเดีย ซึ่งจะเป็นผลดีกับการท่องเที่ยวของภูเก็ต เพราะจะได้เห็นศักยภาพและความพร้อมของภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียง เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปจัดเป็นแพ็กเกจทัวร์สำหรับขายให้กับนักท่องเที่ยวกลุ่มอินเดียต่อไป”

นางบังอรรัตน์ กล่าวด้วยว่า การจัดประชุมในครั้งนี้สามารถสร้างโอกาสทางการท่องเที่ยวระยะยาวให้กับจังหวัดภูเก็ตก่อให้เกิดรายได้จากการเดินทางเข้ามาประชุมของสมาชิกและผู้ติดตามแล้ว ยังสามารถสร้างโอกาสในการเจรจาแลกเปลี่ยนทางธุรกิจกับผู้ประกอบการท้องถิ่นเพื่อขยายตลาดการท่องเที่ยวและการค้าในอนาคตอีกด้วย เนื่องจากปัจจุบันตลาดอินเดียถือเป็นตลาดใหม่ของภูเก็ตที่มีการเติบโตสูง และมีศักยภาพในการทำตลาด ทั้งที่มีกำลังซื้อสูงและระดับกลางๆ ซึ่งภูเก็ตสามารถที่จะรองรับได้ทั้งสองตลาด ด้วยความพร้อมเรื่องที่พักที่มีหลากหลายระดับ มีแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนและแหล่งช้อปปิ้งที่นักท่องเที่ยวกลุ่มอินเดียชื่นชอบ

นางบังอรรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 1 – 4 กรกฎาคม 2553 ทางสำนักงานยังได้รับการประสานงานจาก ททท. สำนักงาน นิวเดลี ที่ร่วมมือกับบริษัท Blue Moon Travel ซึ่งเป็นบริษัทรับจัดงานแต่งงานจากประเทศอินเดีย กำหนดจัดการแต่งงานให้ คู่แต่งงานและแขกเชิญ ณ โรงแรมเจดับบลิวแมริออท จังหวัดภูเก็ต โดยคณะจัดการเดินทางด้วยเครื่องบินเช่าส่วนตัวจากเมืองกัลกัตตา มีผู้ร่วมเดินทางมารวม 158 คน โดยทาง ททท.ภูเก็ต จะจัดเตรียมการแสดงด้านวัฒนธรรมไทย และพวงมาลัยที่งดงาม ต้อนรับคณะดังกล่าว

จะเห็นได้ว่าในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางเข้ามาภูเก็ตประมาณ 3 – 4 หมื่นคน มี 2 กลุ่ม คือ เดินทางเข้ามาเป็นครอบครัวเพื่อพักผ่อน ประชุมสัมมนา กับกลุ่มแต่งงานโดยเฉพาะซึ่งจะเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างใหญ่ ระหว่าง 100 – 500 คน เนื่องจากภูเก็ตเป็นแหล่งท่องเที่ยวหนึ่งที่คนอินเดียเลือกมาใช้เป็นสถานที่แต่งงานในลำดับต้นๆ แห่งหนึ่ง ดังนั้นการที่สมาคมผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวแห่งอินเดีย เลือกจังหวัดภูเก็ตเป็นสถานที่จัดประชุม ตอกย้ำถึงความพร้อมของจังหวัดภูเก็ต ในการเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่เติบโตสำหรับตลาดอินเดีย คาดว่าในอนาคตจังหวัดภูเก็ตจะมีนักท่องเที่ยวอินเดียเพิ่มมากขึ้น ทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไป กลุ่มแต่งงาน และกลุ่มการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล/ ประชุมสัมมนา



วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

โอทอปภูเก็ตส่งคัดสรรกว่า 530 ผลิตภัณฑ์

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2553 ที่ห้องประชุม 2 ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต หลังใหม่ นายไชยวัฒน์ เทพี ปลัดจังหวัดภูเก็ต ร่วมกับนายสมศักดิ์ สงนุ้ย พัฒนาการจังหวัดภูเก็ต และนางนภารัสมิ์ ละอองเพชร ประธานเครือข่ายโอทอปจังหวัดภูเก็ต แถลงข่าวการคัดสรรสุดยอดหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ จังหวัดภูเก็ต ปี 2553 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ ที่โรงแรมถาวรแกรนด์พลาซ่า อ.เมืองภูเก็ต

นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า จากนโยบายรัฐบาลซึ่งดำเนินโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์มาตั้งแต่ปี 2546 จนปัจจุบันรวมระยะเวลา 7 ปี สามารถสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ชุมชน โดยการส่งเสริมการนำทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่นมาสร้างมูลค่าเพิ่ม เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมชุมชน โดยกำหนดยุทธศาสตร์ดำเนินการ 4 ด้าน ได้แก่ เสริมสร้างศักยภาพและยกระดับกระบวนการผลิตให้ได้มาตรฐานและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมสนับสนุนด้านการตลาดเพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภคและกลุ่มเป้าหมายอย่างเป็นระบบ สนับสนุนและพัฒนาเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนให้เกิดความเชื่อมโยงกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนอย่างเป็นระบบและยั่งยืน รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการ

ทั้งนี้กิจกรรมในปี 2553 ประกอบด้วย การจัดฝึกอบรมเพิ่มประสิทธิภาพกลุ่มอาชีพด้านการบริหารจัดการ การผลิต การตลาดและการจัดการทุน พัฒนาศักยภาพกลุ่มผู้ผลิตชุมชนโอทอป โดยเครือข่ายองค์ความรู้ KBO จังหวัด สนับสนุนการลิตสินค้าโอทอปให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนด สนับสนุนช่องทางการตลาดโดยจัดวานมหกรรมสินค้า จัดตั้งศูนย์จำหน่ายสินค้า และรับลงทะเบียนผู้ผลิตผู้ประกอบการโอทอป นายไชยวัฒน์ กล่าว

ขณะที่นายสมศักดิ์ สงนุ้ย พัฒนาการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า การจัดคัดสรรสุดยอดหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์นั้น เพื่อเป็นการจัดระดับผลิตภัณฑ์ที่จะนำไปสู่การพัฒนา เสริมสร้างคุณค่าของผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับของบุคคลทั่วไป จนสามารถใช้เป็นแหล่งรายได้และความเข้มแข็งให้กับชุมชน และกระตุ้นให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของผลิต ผู้ประกอบการโอทอป และชุมชนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์

นางนภารัสมิ์ ละอองเพชร ประธานเครือข่ายโอทอปจังหวัดภูเก็ต สำหรับผลิตภัณฑ์ที่จะส่งเข้ารับการคัดสรรฯ จะต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้ผลิต ผู้ประกอบการโอทอปได้ลงทะเบียนไว้กับสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอในระหว่างวันที่ 14-20 มิถุนายน 2553 ซึ่งมีประกอบการลงทะเบียนไว้ 190 ราย ประกอบด้วย อำเภอเมือง 115 ราย อำเภอกะทู้ 21 ราย และอำเภอถลาง 54 ราย รวมจำนวน 536 ผลิตภัณฑ์ แบ่งเป็น อาหาร 184 ผลิตภัณฑ์ เครื่องดื่ม 19 ผลิตภัณฑ์ ผ้า เครื่องแต่งกาย 161 ผลิตภัณฑ์ ของใช้/ของตกแต่ง/ของที่ระลึก 119 ผลิตภัณฑ์ และสมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร 53 ผลิตภัณฑ์

“เพื่อไทย” อ้อนขอแบ่งพื้นที่


เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2553 ที่บ้านเลขที่ 74/186 ถนนร่วมพัฒนา (กู้กู) ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายพิเชษฐ์ สถิรชวาล รักษาการประธานภาคใต้ พรรคเพื่อไทย เป็นประธานเปิดที่ทำการศูนย์ประสานงานพรรคเพื่อไทย ฝั่งอันดามัน โดยมีนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต รมช.คลัง นายพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง อดีต รอง ผบช.ภ.8 ประธานที่ปรึกษา ศูนย์อำนวยการประสานงานภาคใต้ฝั่งอันดามัน จ.ภูเก็ต พรรคเพื่อไทย นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ กลุ่มแดงสยาม ตลอดจนสมาชิกและผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยใน จ.ภูเก็ต และใกล้เคียงเข้าร่วม โดยศูนย์ประสานงานดังกล่าว มีนายสรธัสส์ ธันยลาภพิทักษ์ เป็นผอ.ศูนย์ฯ เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการประสานงานและดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้สอดคล้องกับนโยบายของพรรคเพื่อไทยใน จ.ภูเก็ตและฝั่งอันดามัน ส่งเสริม สนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ส่งเสริมพัฒนาให้ภูเก็ตยิ่งใหญ่ เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษของประเทศ เขตปลอดภาษี และเป็นเมืองท่าที่สำคัญของโลก

นายพิเชษฐ์ สถิรชวาล รักษาการประธานภาคใต้ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การเปิดศูนย์ประสานงานฯ ตรงกับวันที่ 24 มิถุนายน มีนัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงการใช้รัฐธรรมนูญครั้งแรกของประเทศไทย แสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดมีจำนวน ส.ส.มากที่สุด ด้วยยึดมั่นนโยบายในการนำความเจริญสู่ประชาชนจากการกำหนดยุทธศาสตร์ที่ให้ความสำคัญกับประชาชนเป็นอันดับหนึ่ง โดยยึดเอาวิถีชีวิตของประชาชนในแต่ละพื้นที่กำหนดเป็นนโยบาย

“จาการที่ได้รับมอบหมายจากพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทยให้เป็นผู้สรรหาผู้สมัครและเปิดศูนย์ประสานงานในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ โดยได้กำหนดยุทธศาสตร์เป็น 3 แนวทางตามสภาพและวิถีชีวิตของแต่ละพื้นที่ คือ พื้นที่ฝั่งอันดามัน กำหนดยุทธศาสตร์ การผลักดันให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ และเขตปลอดภาษี เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูเก็ตและอันดามัน พื้นที่ชายแดนภาคใต้ กำหนดยุทธศาสตร์ทำให้เกิดความสงบสุขอย่างยั่งยืน ตามแนวคิดของพลเอกชวลิตที่จะผลักดันให้เป็นนครปัตตานี ซึ่งจากการที่ได้ลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นของประชาชนมา 2 ครั้ง ปรากฏว่าได้รับการตอบรับที่ดี เพราะเป็นการพัฒนาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนชายแดนภาคใต้ ขณะที่ฝั่งอ่าวไทย กำหนดยุทธศาสตร์เชื่อมโยงจังหวัดสงขลา นครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานีและชุมพร เข้าด้วยกัน ในการพัฒนาทะเลสาบสงขลาและโครงการพระราชดำริปากพนัง รวมทั้งส่งเสริมราคาพืชผลทางการเกษตรของภาคใต้ เช่น ปาล์มน้ำมัน ยางพารา กาแฟ เป็นต้น”

นายพิเชษฐ์ กล่าวถึงการสรรหาผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคสำหรับการเลือกตั้งของจังหวัดฝั่งอันดามัน ว่า อยู่ระหว่างการพิจารณาทั้งผู้สมัครเก่าและคนใหม่ๆ ที่มีการเสนอตัวแล้ว 4-5 คน เพราะมองว่าเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงจะต้องมีทางเลือก และเกิดการแข่งขัน แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการผูกขาดอยู่เพียงพรรคเดียว โดยเฉพาะภูเก็ต ซึ่งเป็นจังหวัดเศรษฐกิจและมีประชาชนเข้ามาอยู่อาศัยประกอบอาชีพจากหลายพื้นที่ ทั้งนี้ในส่วนของการเปิดศูนย์ประสานงานก็จะได้ทยอยจนครบทุกพื้นที่

ขณะที่นายพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การเปิดศูนย์ฯ เป็นการยืนยันความพร้อมในการจะสู้ศึกเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยการเปิดศูนย์แรกในพื้นที่อันดามัน ดูแลพื้นที่ภูเก็ต พังงา กระบี่ และระนอง ซึ่งจะเป็นศูนย์ในการรับเรื่องราวร้องทุกข์ของผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ที่ได้รับความเดือดร้อนจากนโยบายของรัฐบาล ชาวประมง เกษตรกร และประชาชน ผู้มีอิทธิพลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งการรับฟังความคิดเห็นต่างๆ เพื่อนำไปแก้ไขและใช้เป็นนโยบายต่อไป

“กลยุทธ์ที่ใช้นั้นจะเน้นการขอแบ่งพื้นที่ในอันดามันและภาคใต้จากพรรคประชาธิปัตย์ที่ครองพื้นที่ส.ส.ทุกจังหวัด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน รวมทั้งยังเป็นการคานอำนาจ ทำให้เกิดการตรวจสอบการทำงานไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทของฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน เหมือนกับการซื้อหวยอย่าซื้อตัวเต็งอย่างเดียวแต่ให้ซื้อโต๊ดด้วย และในครั้งนี้ก็มีความมั่นใจค่อนข้างมาก เพราะขณะนี้ผลการสำรวจคะแนนเสียงของรัฐบาลจากการบริหารประเทศมาได้ปีเศษพบว่าสอบตก รวมถึงในส่วนของตัวนายกรัฐมนตรีด้วย” นายพร้อมพงษ์กล่าว



ตร.ภูเก็ตรวบผู้ค้ายาบ้า กว่า 5,900 เม็ด


เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 54 ที่ห้องประชุมชั้น 2 สถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พร้อมด้วย พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต พ.ต.ท.ชัยวัฒน์ อุ้ยคำ รอง ผกก.ปป.สภ.เมืองภูเก็ต และชุดจับกุม สภ.เมืองภูเก็ต ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาในคดีมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) คดีมีอาวุธปืนและมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง รวม 3 ราย ผู้ต้องหา 7 คน ยาบ้าจำนวน 5,984 เม็ด


สำหรับคดีแรกมีผู้ต้องหา 2 คน ประกอบด้วยนายวิสัน ดำขำ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 235 หมู่ 3 ต.ท่าคอย อ.ท่ายาง จ. เพชรบุรี กับ น.ส.จิราภรณ์ กลิ่นเจริญ อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 75/3 หมู่ 6 ต.วังกระแจะ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี พร้อมด้วยของกลางยาบ้าจำนวน 5,800 เม็ด อาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ขนาด 9 มม. 1 กระบอก เครื่องกระสุนปืน ขนาด 9 มม.จำนวน 58 นัด และเอกสารเกี่ยวกับบัญชีต่างๆ และใบรายชื่อลูกค้า จำนวนมาก โดยกล่าวหานายวิสัน ว่า มีอาวุธปืนไว้และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนติดตัว และโดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ และร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย และ น.ส.จิราภรณ์ กล่าวหาว่า ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย ซึ่งการจับกุมดังกล่าวสืบเนื่องจากการจับกุมนายชัยศักดิ์ หรือติ๊ก ใจมั่น พร้อมของกลางยาบ้า จำนวน 600 เม็ด และได้มีการขยายผลจนทราบว่ารับซื้อมาจากนายวิสัน จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ทำการล่อซื้อและควบคุมตัวไว้ได้ นำไปตรวจค้นบ้านพักพบยาบ้าซุกซ่อนอยู่จำนวน 5,800 เม็ด

คดีที่ 2 เป็นการจับกุมผู้ครอบครองยาบ้ารายย่อย มีผู้ต้องหาจำนวน 4 ราย ประกอบด้วย น.ส.ดวงเดือน หอมอบ อายุ 24 ปี บ้านเลขที่ 59 หมู่ 2 ต.ขุนช่อง อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี มียาบ้า 7 เม็ด นายณัฐพล ครามพุ่ม อายุ 19 ปี บ้านเลขที่ 196 หมู่ 1 ต.ดอนขุนห้วย อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี มียาบ้า 3 เม็ด น.ส.ประภาภรณ์ ชะลำนัย อายุ 29 บ้านเลขที่ 7 ต.ฉนาก อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี มียาบ้า 2 เม็ด และ น.ส.มณฑา เกตุกร อายุ 24 ปี บ้านเลขที่ 43 หมู่ 4 ต.ยางหย่อง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี มียาบ้า 2 เม็ด โดยกล่าวหาทั้ง 4 รายว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
และคดี 3 เป็นการขยายผลเครือข่ายของนายเบียร์ โดยจับกุม นายศุภชัย เพชรทอง อายุ 22 ปี บ้านเลขที่ 87/1 หมู่ 7 ต.ทุ่งกระบือ อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง พร้อมด้วยยาบ้าจำนวน 170 เม็ด โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย

ฆ่ายัดกระเป๋าแล้วนำไปทิ้งข้างถนน


เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 53 ร.ต.ท.สมชาย หนูบุญ ร้อยเวร สภ.เมืองภูเก็ต ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบศพคนถูกฆ่าตายยัดใส่กระเป๋าเดินทางทิ้งไว้ริม ถ.เจ้าฟ้าตะวันตก ตัดใหม่ทางไปมหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์ (มอ.กะทู้) ม.4 ต.วิชิต อ.เมือง ภูเก็ต ขอให้เดินทางมาตรวจสอบด้วย หลังรับแจ้งก็ได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นก็ได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก. พ.ต.ท.จำรูญ พลายด้วง รอง.ผกก.สส. พ.ต.ท.เศียร แก้วทอง สว.สส พ.ต.ท.สมคิด บุญรัตน์ รอง.ผกก.สส.ภ.จ.ภูเก็ต พ.ต.ท.วิจักษณ์ ตารมย์ สว.สส.สภ.เมืองภูเก็ต พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ หนูผึ้ง นวท.(สบ 2) พฐ.จ.ภูเก็ตนำกำลังชุดสืบสวนและเจ้าหน้าที่มูลนิธิภูเก็ตร่วมใจกู้ภัย

ที่เกิดเหตุเป็นถนนตัดใหม่ผ่านขุมเหมืองเก่าเลี่ยงเข้าตัวเมืองภูเก็ตออกข้างมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ตมุ่งหน้าไปยัง อ.กะทู้ ห่างจากบริษัท อนุภาษวิวิธการ จำกัด โชว์รูมขายรถยนต์ฮอนด้าราว 1.5 กม.โดยมีชาวบ้านที่ขับรถผ่านจอดรถดูเหตุการณ์เป็นจำนวนมาก ที่บริเวณคูระบายน้ำข้างทางพบกระเป๋าเดินทางสีน้ำเงินกว้าง 50 ซม.ยาว 75 ซม.หนา 25 ซม.ยี่ห้อ Samsonlta ปริเปิดอ้าออก โดยมีถุงพลาสติกสีดำถูกฉีกขาดจนเห็นเนื้อบริเวณก้นของซากศพที่ยื่นออกมาจากตัวกระเป๋ากำลังเน่าและส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว จากนั้นเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯได้นำร่างขึ้นมาบนถนนเพื่อชันสูตร พบศพหญิงสาวชาวเอเซียสูงราว 150 – 155 ซม.อายุราว 20 – 25 ปี น้ำหนักประมาณ 45 – 50 กก.ผมดำยาวปะบ่าสภาพเปลือยล่อนจ้อนถูกจับโกงโค้งอยู่ในถุงพลาสติกสีดำอีกชั้นก่อนยัดลงกระเป๋าเดินทางใบดังกล่าว จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็ได้เอาร่างดังกล่าวออกมาจากกระเป๋า เพื่อทำการตรวจสอบ จากการตรวจสอบพบบาดแผลคล้ายถูกของมีคมแทงที่กลางร่องอกจำนวน 1 แผล และที่ท้ายทอยอีก 1 แผล บริเวณหน้าท้องโตยื่นออกมาคล้ายหญิงสาวที่กำลังตั้งครรภ์ นิ้วขวาสวมแหวนเงินรูปหัวใจ 1 วง โดยไม่พบรอยสักหรือหลักฐานว่าผู้ตายเป็นใคร มาจากที่ใด เสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 วัน จึงมอบศพให้มูลนิธิฯนำส่ง รพ.วชิระภูเก็ตเพื่อให้แพทย์ผ่าชันสูตรอย่างละเอียดหาสาเหตุการตายที่แน่ชัดอีกครั้ง

ทั้งนี้จากการสอบถามนายประสิทธิ์ ไกรเกตุ อายุ 35 ปี รปภ.บริษัท วีเอสเอ็นเซอร์วิส จำกัดซึ่งดูแลความปลอดภัยให้กับโชว์รูมบริษัท อนุภาษวิวิธการ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ฮอนด้าภูเก็ตทราบว่า ก่อนพบศพหลังเลิกงาน ได้ขี่รถ จยย.ออกมาจากบริษัทเพื่อกลับบ้านหลังมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต แต่เมื่อขี่รถมาถึงบริเวณดังกล่าวได้กลิ่นเหม็นเน่าคล้ายซากศพถูกทิ้งไว้ริมถนน จากนั้นได้จอดรถลงไปดูแล้วใช้ไม้เขี่ยกระเป๋า จนซิปแตกและเห็นเนื้อคนคล้ายบริเวณสะโพกหรือก้นยื่นออกมาจากถุงดำ จึงรีบโทรแจ้งตำรวจ

ส่วนด้านการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าเหยื่ออาจถูกฆ่าแล้วยัดลงกระเป๋าเดินทางใบดังกล่าวมาจากที่อื่น โดยคนร้ายอาจมีไม่ต่ำกว่า 2 คนเพื่อช่วยกันยกกระเป๋าจากจุดที่ใช้สังหารเหยื่อขึ้นรถ โดยยานพาหนะอาจเป็นรถเก๋งหรือรถกระบะ เมื่อมาถึงบริเวณถนนสายดังกล่าว ซึ่งเหมาะแก่การทิ้งหรืออำพรางศพ เนื่องจากเป็นขุมเหมืองเก่าและมีต้นไม้ขึ้นหนาทึบโดยรอบ ไม่มีบ้านเรือนตลอดแนวและเปลี่ยว จึงเหมาะแก่การใช้ทิ้งศพ จนกระทั่งมี รปภ.มาพบ ส่วนสาเหตุการฆ่าโหดสาวเปลือยรายนี้ตำรวจยังคงพุ่งประเด็นหลักๆไปที่เรื่องชู้สาวและฆ่าปิดปาก เนื่องจากสภาพศพเบื้องต้นคาดว่าผู้ตายอาจกำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากพบว่าหน้าท้องโตผิดปกติ แม้ว่าสภาพศพภายนอกเน่าแล้วก็ตาม จึงอาจเป็นชนวนเหตุของการสังหารเหยื่อ โดยคนร้ายอาจเป็นสามีหรือแฟนหนุ่มจับได้ว่าผู้ตายคบชู้หรือมีกิ๊กจนตั้งท้อง จึงฆ่าทิ้งหรือผู้ตายอาจไปรู้เรื่องบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้คนร้ายอาจจะเดือดร้อนหรือถูกจับ ทำให้คนร้ายจำเป็นต้องฆ่าปิดปาก เพื่อป้องกันความลับรั่วไหล ส่วนกรณีข่มขืนแล้วฆ่าเปลือยเหยื่อยัดใส่กระเป๋าเดินทางนั้น ตำรวจยังไม่ได้ตัดทิ้ง แต่ต้องรอผลการตรวจหาอสุจิจากแพทย์ก่อน

พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ตกล่าวว่า จากสภาพที่เกิดเหตุเชื่อได้ว่าคนร้ายได้ลงมือฆ่าผู้ตายมาจากที่อื่น ซึ่งไม่ได้ลงมือฆ่าบริเวณจุดที่พบศพอย่างแน่นอน โดยคนร้ายได้ใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะบรรทุกกระเป๋าใบดังกล่าวมาโยนทิ้งในช่วงกลางคืน เนื่องจากจุดที่พบศพเป็นที่เปลี่ยว มีป่าล้อมรอบไปทั่วบริเวณ ประกอบกับช่วงกลางคืนจะมืดสนิท ขณะนี้ได้สั่งให้ชุดสืบสวนออกสืบหาแหล่งที่มาของกระเป๋าเดินทางที่ใช้ใส่ศพตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าชั้นนำ เพราะกระเป๋าเดินทางใบดังกล่าวเป็นยี่ห้อที่ค่อยข้างมีชื่อเสียงและราคาแพง โดยได้มีการตรวจสอบไปตาม สภ.ต่างๆ ในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อตรวจสอบบุคคลสูญหาย ส่วนสาเหตุตั้งประเด็นไว้ 2 เรื่องหลักๆ คือ ชู้สาวและฆ่าปิดปากหรือชำระแค้น ซึ่งคงต้องขอเวลาในการสืบสวนสอบสวนสักระยะถึงจะสามารถคลายปมสังหารดังกล่าวได้ เบื้องต้นต้องสืบให้ได้ว่าผู้ตายเป็นใคร เพื่อเชื่อมโยงกับบุคคลหรือคาดว่าอาจเป็นคนร้ายได้เสียก่อน จากนั้นจะได้รวบรวมหลักฐานสู่การจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายในที่สุด


ช่วยเหลือผู้ถูกกระทำรุนแรงในครอบครัว


เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 53 ที่ห้องอ่าวมะขาม โรงแรมคาทีน่าภูเก็ต บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดภูเก็ต จัดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการกำหนดแนวทางในการทำงานช่วยเหลือคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวระดับพื้นที่ เพื่อให้ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวได้รับความช่วยเหลืออย่างมีประสิทธิภาพโดยสามารถเชื่อมโยงการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสอดคล้องกับสภาพปัญหาของแต่ละบุคคล รวมทั้งเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชนและภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่มีแนวทางการปฏิบัติงานช่วยเหลือคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว โดยมีผู้เข้าร่วมประกอบด้วย ผู้ปฏิบัติงานตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 ผู้นำชุมชน ผู้แทนสถานศึกษา ผู้แทนด้านสาธารณสุข ผู้แทนด้านศาสนา อาสาสมัครองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรพัฒนาเอกชน มูลนิธิและผู้แทนองค์กรที่สนับสนุนการคุ้มครองหรือป้องกันการกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว

นางจิรนันท์ เจียมเจริญ หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า บุคคลในครอบครัวควรมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงที่ดีต่อกัน ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ แต่สภาพความเป็นจริงในสังคมมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะความสัมพันธ์มักเกี่ยวโยงและแอบแฝงไปด้วยความรุนแรงที่ซ่อนเร้นอยู่ในสถาบันที่สำคัญที่สุดของสังคม ทำให้พื้นฐานบุคลิกภาพของบุคคล ซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัวถ่ายทอดเอาเจตคติและเกิดการเลียนแบบพฤติกรรม หากบุคคลอยู่ในสถานะที่ร่างกายและความคิดถูกกดดัน จะระบายออกมาด้วยการกระทำรุนแรงกับสมาชิกในครอบครัว ทำให้ครอบครัวเกิดความอ่อนแอในด้านความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และเกิดปัญหาสังคมตามมา ซึ่งสามารถเห็นได้จากภาพข่าวที่นำเสนอผ่านสื่อแขนงต่างๆ นอกจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นในครอบครัวอย่างต่อเนื่องแล้ว ระดับความรุนแรงยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ จากเดิมอาจจะเป็นเพียงแค่การทำร้ายร่างกายให้ได้รับบาดเจ็บ แต่ปัจจุบันมีการใช้อาวุธประกอบการกระทำความรุนแรง จนทำให้บุคคลในครอบครัวได้รับบาดเจ็บถึงขั้นพิการและเสียชีวิตทั้งยังขยายวงทำอันตรายไปสู่บุคคลรอบข้างมากขึ้นด้วย
จากสถานการณ์ดังกล่าว พบว่าผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวยังไม่ได้รับความช่วยเหลือคุ้มครองที่เหมาะสมและทันท่วงที ทั้งที่ภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม มีหน่วยงานจำนวนมากที่ทำหน้าที่และมีบทบาทในการช่วยเหลือผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ประกอบกับแต่ละพื้นที่มีสภาพปัญหาสังคม สภาพแวดล้อมและภูมิประเทศที่แตกต่างกัน ทำให้การป้องกัน แก้ไข เยียวยาและช่วยเหลือในแต่ละพื้นที่จะมีวิธีการที่แตกต่างกัน ดังนั้นการได้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกัน จะทำให้การช่วยเหลือคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวแต่ละพื้นที่ มีกลไกการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ อันจะทำให้เกิดระบบการช่วยเหลือคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาของแต่ละพื้นที่ต่อไป นางจิรนันท์กล่าว


กาชาดภูเก็ตรวมพลคนพันธุ์ Rh-

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2553 ที่โรงแรมคาทีน่าภูเก็ต นางไทศิกา ไพรสงบ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดงานรวมพลคนพันธุ์ Rh- จังหวัดภูเก็ต ซึ่งทางชมรมผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ร่วมกับคณะกรรมการจัดหาและส่งเสริมผู้ให้โลหิตแห่งสภาการชาดไทย จัดขึ้น เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้สมาชิกได้มีโอกาสพบปะสังสรรค์ ทำความรู้จักและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับสมาชิกด้วยกัน เป็นการส่งเสริมความสามัคคีและมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับโลหิตหมู่พิเศษเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งเพื่อรณรงค์ให้ผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษบริจาคโลหิตอย่างสม่ำเสมอปีละ 4 ครั้ง ในโอกาสเดียวกันนี้ยังได้มีการมอบเหรียญ Rh-Champions for life แก่ผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษที่บริจาคโลหิตสม่ำเสมอทุก 3 เดือน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2551-2552 จำนวน 18 ราย

นางไทศิกา ไพรสงบ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ด้วยโลหิตหมู่พิเศษ (Rh negative) ยังคงเป็นปัญหาสำหรับงานบริการโลหิตในประเทศไทย ทั้งในเรื่องของความรู้และการเชิญชวนให้มาบริจาค เนื่องจากพบน้อยมากในคนไทย คือ ประมาณ 0.3% หรือ 1,000 คน พบเพียง 3 คนเท่านั้น เมื่อผู้ป่วยที่มีโลหิตหมู่พิเศษมีความจำเป็นต้องรับโลหิตเพื่อช่วยในการรักษาพยาบาล จึงมักประสบปัญหาในการจัดหาโลหิตให้เพียงพอและทันเวลาต่อความต้องการใช้ของผู้ป่วย ดังนั้นศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติสภากาชาดไทย จึงได้จัดตั้งชมรมผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษ (Rh negative Club) ขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2532 โดยถือว่าผู้บริจาคโลหิตที่มีโลหิตหมู่พิเศษทุกคนเป็นสมาชิกของชมรมฯ ซึ่งนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งชมรมผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษจนถึงปัจจุบันมีสมาชิกชมรมกว่า 5,000 คน

ตลอดจนระยะเวลาการดำเนินงานของชมรมผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษกว่า 20 ปี ที่ผ่านมา ได้มีการจัดกิจกรรมหลากหลายรูปแบบซึ่งเป็นกิจกรรมสนับสนุนการจัดหาผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการเผยแพร่ข่าวสารผ่านสารชมรมฯ แผ่นพับ โปสเตอร์ นิทรรศการ การบรรยายให้ความรู้ตามสถาบันการศึกษา และหน่วยงานต่างๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด แต่การที่จะทำให้สมาชิกผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษรวมตัวกันเป็นปึกแผ่นได้นั้น ศูนย์บริจาคโลหิตแห่งชาติ มองว่าจะต้องจัดให้ผู้บริจาคฯ มีโอกาสพบปะสังสรรค์ ทำความรู้จัก แลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นซึ่งกันและกัน พร้อมทั้งปลูกฝังแนวความคิดผู้บริจาคโลหิตให้มาบริจาคอย่างสม่ำเสมอ แต่การจัดกิจกรรมให้สมาชิกส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเท่านั้น ดังนั้นในปีนี้จึงมีแนวคิดที่จะดำเนินการขยายการจัดตั้งชมรมผู้บริจาคฯออกมายังส่วนภูมิภาค โดยเริ่มจากภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่มีการจัดกิจกรรมบริจาคโลหิต ได้แก่ ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ จ.ชลบุรี จ.อุบลราชธานี จ.ภูเก็ต และจ.สงขลา เพื่อไม่ให้สมาชิกขาดการติดต่อ และสามารถติดตามมาบริจาคโลหิตได้ในกรณีฉุกเฉิน นางไทศิกากล่าว

ไฟไหม้ร้านสามกองวีซีดีวอด


เมื่อคืนของวันที่ 22 มิถุนายน 53 เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เมืองภูเก็ต ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีเหตุเพลิงไหม้ที่ร้านสามกอง วีซีดี เลขที่ 2/20 ถนนเยาวราช ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ขอให้เดินทางไปตรวจสอบด้วยหลังจากได้รับแจ้งจึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ พร้อมทั้งได้ประสานไปยังหน่วยบรรเทาสาธารรภัยเทศบาลนครภูเก็ต และเจ้าหน้าที่ดับเพลิง จากนั้นก็ได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย รถดับเพลิง จำนวน 3 คัน

ที่เกิดเหตุ อยู่ใกล้ไฟแดงสามกอง ทางไปมหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต เมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางถึงก้พบว่าเพลิงกำลังลุกไหม้ ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ระดมฉีดน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้เพลิงลุกลามไปยังห้องข้างเคียง เจ้าหน้าที่ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เพลิงก็ได้สงบลง เอาไว้ได้จากนั้นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายในพบทรัพย์สินเช่นแผนซีดี พัดลม ทีวี ตู้เย็น ถูกเผาวอดทั้งร้าน เจ้าหน้าที่จึงได้ใช้เชือกกั้นไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปภายในสถานที่เกิดเหตุ ก่อนที่เจ้าหน้าที่วิทยาการเขต 44 ภูเก็ต ได้ตรวจสอบที่เกิดเหตุเพื่อหาสาเหตุอย่างละเอียดต่อไป

จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุขณะที่ร้านดังกล่าวปิดแล้ว โดยไม่ใครอยู่ภายในร้าน จากนั้นชาวบ้านได้ได้เห็นควันไฟลอยออกมาจากภายในร้าน ชาวบ้านก็ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ จากนั้นไฟก็ได้โหมลุกขึ้นมา ก่อนที่เจ้าหน้าที่เดินทางมาถึง จากนั้นเพลิงได้โหมไหม้อย่างรวดเร็ว เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงก็ได้ฉีดน้ำสกัดเพลิงจนกระทั่งดับลง เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาดว่าสาเหตุครั้งนี้น่าจะเกิดมาจากสาเหตุไฟฟ้าลัดวงจร ส่วนสาเหตุที่แท้จริงเจ้าหน้าที่จะได้สอบสวนต่อไป


วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ตร.ท่าฉัตรไชย รวบเจ้าหน้าที่ขนสัมภาระสนามบิน

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2553 มี่ห้องประชุม สภ.ท่าฉัตรไชย ต.ไม้ขาว อ.ถลาง ภูเก็ต พ.ต.อ.ศักดิ์ชัย ลิ้มเจริญ ผกก.สภ.ท่าฉัตรไชย พร้อมด้วยร.ต.อ.สราวุธ ชูประสิทธิ์ สวป.สภ.ท่าฉัตรไชย และชุดจับกุม ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมนายฮาเส็ม ขะมิโดย อายุ 18 ปี อยู่ที่ 20 ม. 6 ต.ท่าประดู่ อ.นาทวี จ.สงขลา และนายสันติ โต๊ะหล้าหวี อายุ 24 ปี อยู่ที่ 224/3 ม. 4 ต.ท่าศาลา อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช พร้อมด้วยของกลาง โทรศัพท์มือถือจำนวน 8 เครื่อง ฮาร์ดิสนอก 1 ตัว แว่นตา 1 อัน นาฬิกา 3 เรือน กล่องถ่ายรูป 1 เครื่อง โดยสามารถจับกุมได้ในขณะที่ทำงานอยู่ในสนามบิน โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันลักทรัพย์ในเขตท่าอากาศยาน หรือรับของโจร

ทั้งนี้พ.ต.อ.ศักดิ์ชัย ลิ้มเจริญ ได้กล่าวว่า ด้วยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ของสายการบินไทย ว่าผู้โดยสารซึ่งเป็นชาวออสเตรเลีย ชื่อนายเบร็ท ดริ๊งวอเตอร์ ที่โดยสารเครื่องบินเที่ยวบินที่ 216 เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 53 จากจังหวัดภูเก็ต ไปลงที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อไปถึงสุวรรณภูมิ ได้ตรวจสอบกระเป๋าเดินทางที่โหลดมาใต้ท้องเครื่อง พบว่าโทรศัพท์ไอโพนและโทรศัพท์โนเกียได้หายไป ขอให้ติดตามตรวจสอบผู้กระทำความผิดมาลงโทษด้วย จากนั้นก็ได้สั่งการณ์ให้เจ้าหน้าที่ชุมสืบสวน พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ก็ได้ตรวจสอบตารางการปฏิบัติหน้าที่ ทราบว่าในวันดังกล่าว มีนายฮาเส็ม ขะมิโดย อายุ 18 ปี และนายสันติ โต๊ะหล้าหวี อายุ 24 ปี เป็นผู้รับผิดชอบขนถ่ายสัมภาระ จึงได้เรียกตัวบุคคลทั้ง 2 มาสอบถาม

และจากการสอบสวนก็ได้ให้การรับสารภาพว่า เป็นเจ้าหน้าที่ขนถ่ายสัมภาระของผู้โดยสาร จากสายพานเคาร์เตอร์เช็คอิน เพื่อใส่ตู้ก่อนที่จะนำขึ้นเครื่อง และในระหว่างนั้นก็ได้มองหากระเป๋าที่พอจะปิดออกโดยที่กระเป๋าไม่ได้เสีย พร้อมทั้งให้มือคลำกระเป๋าของผู้เสียหาย เมื่อพบว่ามีสิ่งของภายในกระเป๋าก็จะเปิดดู ว่าเป็นทรัพย์สินมีค่าหรือไม่ เมื่อพบเห็นสิ่งของมีค่า ก็จะหยิบออกมา ก่อนที่จะนำกระเป๋าขึ้นเครื่องต่อไป ส่วนของผู้เสียหายรายนี้ ได้หยิบโทรศัพท์มือถือจำนวน 2 เครื่อง โดยแบ่งกันคนละเครื่อง

จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ไปตรวจค้นภายในห้องพัก ซึ่งเป็นห้องเช่านายฮาเส็ม เจ้าหน้าที่พบโทรศัพท์ไอโพน 3 จี ที่เก็บซุกซ่อนไว้ในกางเกงยีนส์ที่แขวนภายในบ้านของนายฮาเล็ม จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ไปตรวจค้นห้องพักของนายสันติ เจ้าหน้าที่พบโทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกียอีกจำนวน 1 เครื่องที่เตียงนอนของนายสันติฯ ตรงตามที่ผู้เสียหายแจ้งไว้ นอกจากนี้ภายในบ้านเจ้าหน้าที่ตำรวจยังพบโทรศัพท์มือถือ ฮาร์ดิสก์แบบพกพา แว่นตาแบรนด์เนม นาฬิกาและโทรศัพท์มือถืออีกหลายรายการ ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ตรวจยึดไว้ทำการตรวจสอบและนำตัวผู้ต้องหาทั้งสองส่งพนักงานสอบส่วนเพื่อดำเนินคดีตากฎหมายต่อไป


วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ศาลเด็กจัดโครงการร่วมใจไกล่เกลี่ยประจำปี 2553

เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 53 ที่ห้องประชุมศาลจังหวัดภูเก็ตแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว นางเมธินี ทิพย์มณเฑียร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดภูเก็ตแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว พร้อมด้วยคณะผู้ไกล่เกลี่ยประจำศาลฯ ร่วมแถลงข่าวเปิดโครงการ “ร่วมใจไกล่เกลี่ย” ประจำปี 2553 ว่า ในปีนี้สำนักงานศาลยุติธรรมโดยสำนักระงับข้อพิพาทร่วมกับศาลยุติธรรมทั่วประเทศจัดโครงการ “ร่วมใจไกล่เกลี่ย” ประจำปี 2553 ขึ้นเช่นเดียวกับทุกปีที่ผ่านมา ดังนั้นศาลจังหวัดภูเก็ตแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวร่วมกับคณะผู้ไกล่เกลี่ยซึ่งได้รับการรับรองจากสำนักงานศาลยุติธรรมให้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประนีประนอมประจำศาล รวม 18 คน จึงได้กำหนดให้เดือนมิถุนายน – เดือนกรกฎาคม 2553 เป็นเดือนแห่งการร่วมใจไกล่เกลี่ยขึ้น ตามโครงการดังกล่าว โดยในช่วงของเดือนแห่งการร่วมใจไกล่เกลี่ย ได้ตั้งเป้าหมายที่จะทำการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ของอัตราเฉลี่ยต่อเดือน และมีผลการไกล่เกลี่ยสำเร็จไม่น้อยกว่าร้อยละ 80

สำหรับกิจกรรม ที่จะดำเนินการนั้น จะมีการเชิญคู่ความทั้งคดีครอบครัวและคดีอาญาเข้าสู่ระบบไกล่เกลี่ย ซึ่งการจัดกิจกรรมในครั้งนี้จะมีคดีครอบครัว และคดีอาญาเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยจำนวน 10 เรื่อง และคาดว่า การไกล่เกลี่ยในครั้งนี้ จะทำได้สำเร็จทั้งหมด นอกจากนั้น ยังมีการจัดกิจกรรมนิทรรศการเพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบถึงกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท และการบรรยายให้ความรู้ด้านการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและด้านกฎหมาย เกี่ยวกับเด็กและครอบครัวแก่ผู้นำชุมชน ผู้นำองค์กรท้องถิ่นต่างๆ ครู ผู้ปกครองและนักเรียน ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 13 ก.ค.53 ที่โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ ภูเก็ต

นางเมธินี กล่าวต่อไปอีกว่า กิจกรรมด้านการเชิญคู่ความเข้าสู่ระบบไกล่เกลี่ยคดีในโครงการ “ร่วมใจไกล่เกลี่ย” นี้ สำหรับคดีครอบครัวเรื่องการหย่าร้าง ซึ่งเป็นสถิติที่สูงสุดของศาลนี้ ผู้ไกล่เกลี่ยซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษา และผู้ประนีประนอมประจำศาล ต้องใช้ความละเอียดอ่อนอย่างยิ่งในการไกล่เกลี่ยคู่ความ ซึ่งที่ผ่านมามักจะประสบผลสำเร็จสูง ทำให้ยุติข้อพิพาทลงได้ด้วยความเข้าใจและมีไมตรีที่ดีต่อกันต่อไป โดยเฉพาะการคำนึงถึงความรู้สึกของบุตรผู้เยาว์ที่จะต้องไม่เกิดผลกระทบใดๆ ตามมา
อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีครอบครัวถือว่าเป็นคดีที่ต้องมีการตัดสินด้วยความรวดเร็วกว่าคดีทั่วไป ซึ่งหากตัดสินช้าผลกระทบที่ตามมาทั้งทางด้านร่างการและจิตใจจะเกิดแก่ครอบครัวคู่ความนั้นๆ โดยเฉพาะหากมีเด็กและเยาวชนเข้าไปเกี่ยวข้องในคดีด้วย ซึ่งในปี 2552 ที่ผ่านมาคดีครอบครัวที่ขึ้นสู่ศาลจังหวัดภูเก็ตแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวจำนวน 24 คดีที่นำเข้าสู่ระบบไกล่เกลี่ย และสามารถไกล่เกลี่ยได้สำเร็จ 10 คดี คิดเป็นทุนทรัพย์ 16,239,250 บาท ส่วนในปี 2553 ตั้งแต่เดือน ม.ค.-พ.ค.มีคดีเข้าสู่กระบวนการ 8 เรื่อง และไกล่เกลี่ยสำเร็จไปแล้ว 4 เรื่อง ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการดำเนินการ



ปชส.ภูเก็ตติวเข้มเครือข่ายสื่อมวลชน


เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2553 ที่ห้องจามจุรี 2 โรงแรมภูเก็ตเมอร์ลิน นายธีรยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดการสัมมนาเครือข่ายประชาสัมพันธ์การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งทางสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดภูเก็ต จัดขึ้น เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของยาเสพติด ในการนำไปใช้เป็นข้อมูลในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชนต่อไป โดยมีสื่อมวลชนจากสถานีวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

นายวีระพงษ์ ไวทยวงศ์สกุล ประชาสัมพันธ์จังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า สืบเนื่องจากสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดภูเก็ต ได้รับการจัดสรรงบพัฒนาจังหวัด ประจำปี 2553 (โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555) ชื่อโครงการประชาสัมพันธ์ยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด เพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข่าวสารในทุกรูปแบบในการรณรงค์ป้องกันปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ตามยุทธศาสตร์ 5 รั้วของรัฐบาล ซึ่งได้ดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามลำดับ และอีกกิจกรรมสำคัญ คือ การสร้างเครือข่ายด้านการประชาสัมพันธ์การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในระดับพื้นที่ ต่อกลุ่มเป้าหมายสื่อมวลชนทุกแขนง ทั้งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหายาเสพติด และสร้างกระบวนการทำงานกับทุกภาคส่วนตามยุทธศาสตร์ 5 รั้ว ได้แก่ รั้วชายแดน รั้วชุมชน รั้วสังคม รั้วโรงเรียนและรั้วครอบครัว เพื่อป้องกันปัญหายาเสพติดให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ


ขณะที่นายธีรยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ในส่วนของจังหวัดภูเก็ต เห็นความสำคัญในเรื่องของการแก้ปัญหายาเสพติด เนื่องจากภูเก็ตเป็นแหล่งรวมของบุคคลจากหลากหลายพื้นที่ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งในการแก้ไขปัญหายาเสพติดนั้นจะต้องบูรณาการความร่วมมือของทุกฝ่าย ทั้งในด้านการป้องกัน ปราบปรามและบำบัดรักษา เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นระบบ เพื่อลดปัญหายาเสพติดที่เกิดขึ้นในสังคมให้ได้อย่างแท้จริง รวมถึงการสร้างเครือข่ายประชาสัมพันธ์การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในระดับพื้นที่ เพื่อร่วมเป็นเครือข่ายรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหาในกลุ่มเยาวชนและประชาชนทั่วไปอย่างเป็นระบบ สนับสนุนสร้างภูมิคุ้มกัน และสร้างกระบวนการทำงานกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อันจะเป็นการลดปัญหายาเสพติดที่มีความรุนแรงให้น้อยลงและหมดไปในที่สุด



เผยภูเก็ตรับงบไทยเข้มแข็งร่วมหมื่นล้าน


นางอัญชลี วานิช เทพบุตร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า งบประมาณไทยเข้มแข็งซึ่งทางรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีได้วางเป้าหมายว่าจะเป็นการลงทุนพัฒนาประเทศครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในฝั่งอันดามันถูกหยิบยกมาเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในการสร้างพื้นฐานรองรับการเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับนานาชาติต่อไปในอนาคต ซึ่งในส่วนของจังหวัดภูเก็ตสำหรับเริ่มด้วยงบประมาณจำนวน 154 ล้านบาทในการก่อสร้างอาคารยิมเนเซี่ยม 4,000 ที่นั่ง ซึ่งได้มีความคืบหน้าโดยได้มีการทำพิธียกเสาเอกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็จะเป็นการลงมือก่อนสร้างซึ่งจะแล้วเสร็จตามปฎิทินงบประมาณที่กำหนดไว้

ส่วนของงบประมาณอื่นๆ เช่น งบประมาณในการขยายท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต จำนวนประมาณ 5,700 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในแผนพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ตอยู่แล้ว เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางกลับเข้ามาในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่จะถึงนี้ นอกจากนี้ยังมีศูนย์ประชุมและแสดงนิทรรศการนานาชาติ บริเวณที่ราชพัสดุท่าฉัตรไชย อ.ถลาง จากการสอบถามไปยังกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ทราบว่ามีความคืบหน้าไปพอสมควร โดยได้มีการเปิดประมูลออกแบบก่อสร้างไปเรียบร้อยแล้ว และได้มหาวิทยาลัยลาดกระบังเป็นผู้ดำเนินการ ทั้งจะต้องดำเนินการในส่วนของการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรืออีไอเอก็จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ เพราะไม่เช่นนั้นก็จะตกปีงบประมาณไป เนื่องจากทางคณะรัฐมนตรีได้มีการขยายเวลาให้เซ็นสัญญาดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคมนี้ แต่คิดว่าน่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย

อย่างไรก็ตามโครงการที่น่าเป็นห่วง คือ การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำคลองกระทะ ต.ฉลอง อ.เมืองภูเก็ต ซึ่งได้รับงบประมาณแล้วจำนวน 600 กว่าล้านบาท ซึ่งได้รับแจ้งจากกรมชลประทานว่าการเตรียมการต่างๆ พร้อมแล้ว เหลือเฉพาะความเห็นชอบจากทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หากได้รับการอนุมัติก็สามารถลงมือก่อสร้างได้ทันที และจะดำเนินการได้แล้วเสร็จทันภายในปี 2555

ส่วนการจัดสรรงบประมาณดำเนินการโครงการอื่นๆ ที่ยังขาดเหลืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นโครงการถนนไร้ฝุ่น กระทรวงคมนาคม โครงการพัฒนาด้านการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงโครงการของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งรอการพิจารณาจากทางคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง นางอัญชลีกล่าว และว่า โครงการแก้ปัญหาด้านการจราจรโดยเฉพาะบริเวณสี่แยกอุทยานไทนานและสี่แยกโลตัส คาดว่าจะบรรจุในงบประมาณปี 2554

นางอัญชลี กล่าวด้วยว่า สำหรับงบไทยเข้มแข็งที่ จ.ภูเก็ตได้รับในโครงการต่างๆ รวมแล้วประมาณ 10,000 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจากจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดชายฝั่งอันดามันทำรายได้ให้กับประเทศปีละจำนวนมากรวมแล้วไม่นับกว่าหนึ่งแสนล้านบาทต่อปี ดังนั้นการจัดสรรงบประมาณลงมาให้จังหวัดแถบนี้โดยองค์รวมจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ขณะเดียวกันในส่วนของจังหวัดภูเก็ตก็จะต้องช่วยวางระบบในการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการเป็นเมืองท่องเที่ยวนานาชาติให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น

ส่วนการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวนั้น นางอัญชลี กล่าวว่า รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณให้กับทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาไปแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้จำนวน 360 ล้านบาท เพื่อเป็นการทำตลาดภายในประเทศ ขณะเดียวกันรัฐบาลได้รณรงค์ให้ส่วนราชการต่างๆ เดินทางดูงานภายในประเทศ เพื่อร่วมฟื้นการท่องเที่ยว ส่วนของงบประมาณในการทำตลาดต่างประเทศนั้น ทางท่านนายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงว่าจะต้องทำความสงบให้เกิดขึ้นภายในประเทศก่อน เพราะไทยเราเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว ทั้งนี้ได้เน้นย้ำ ททท.ในการคำนวณว่าเมื่อใช้งบประมาณไปแล้วจะสามารถทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางกลับเข้ามาได้มากน้อยเพียงใด ดังนั้นการทำตลาดในระยะนี้จึงเน้นตลาดใกล้บ้านซึ่งใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 6 ชั่วโมง เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย เป็นต้น หลังจากนั้นก็จะเป็นตลาดระยะใกล้ ซึ่งจะดูผลในการจัดงานไอทีบีที่จะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ ซึ่งคิดว่าน่าจะดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวนี้ได้



ลงเสาเอกโรงยิมเนเซี่ยม 4,000 ที่นั่ง

เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2553 ที่บริเวณสถานที่ก่อสร้างอาคารยิมเนเซี่ยม ศูนย์กีฬาสะพานหิน อ.เมือง จ.ภูเก็ต นางอัญชลี วานิช เทพบุตร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธียกเสาเอกอาคารยิมเนเซี่ยม 4,000 ที่นั่งภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 โดยมีนายทศพร เทพบุตร นายเรวัติ อารีรอบ ส.ส.ภูเก็ต พรรคประชาธิปัตย์ นายธีรยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต หน่วยงานราชการและประชาชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

นางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต กล่าวว่า ปัจจุบันเทศบาลนครภูเก็ตมีอาคารโรงยิมเนเซี่ยมขนาด 500 ที่นั่ง ซึ่งได้ก่อสร้างในพื้นที่ปลายแหลมสะพานหิน ในพื้นที่ประมาณ 207 ไร่ เมื่อครั้งที่จังหวัดภูเก็ตเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาแห่งประเทศไทยครั้งที่ 16 เมื่อปี พ.ศ. 2525 และจากการที่ภูเก็ตเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับโลก แต่ในด้านกิจกรรมจัดการแข่งขันกีฬา ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จังหวัดภูเก็ตต้องอาศัยสนามแข่งขันในลักษณะอาคารยิมเนเซี่ยมที่ได้มาตรฐาน รองรับการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬานานาชาติที่จะเกิดขึ้นในภูมิภาค ประกอบกับรัฐบาลโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้สนับสนุนงบประมาณตามยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวและกีฬา ภายใต้โครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง พ.ศ. 2555 จำนวน 154 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างอาคารยิมเนเซี่ยม 4,000 ที่นั่ง ให้เป็นสนามกีฬาที่ได้มาตรฐานในระดับนานาชาติ เพื่อใช้ในการจัดการแข่งขันกีฬา

ทั้งนี้เทศบาลนครภูเก็ตได้ดำเนินการจัดหาผู้รับจ้างก่อสร้างอาคารตามแบบมาตรฐาน กกท.จังหวัดภูเก็ตโดยทำสัญญาว่าจ้างบริษัท พระราม 2 การโยธา จำกัด ดำเนินการก่อสร้าง ในวงเงิน 152 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 720 วัน โดยจะแล้วเสร็จในวันที่ 19 พฤษภาคม 2554 ซึ่งเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะทำให้จังหวัดภูเก็ตมีโรงยิมเนเซี่ยม 4,000 ที่นั่ง ที่ทันสมัยได้มาตรฐาน สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวและนักกีฬาในระดับนานาชาติ สามารถรองรับการจัดกิจกรรมทางกีฬาระดับนานาชาติที่จะเกิดขึ้นในจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดในกลุ่มอันดามัน ทำให้เกิดการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว จากการจัดการแข่งขันกีฬาในระดับนานาชาติ และระดับประเทศ นางสาวสมใจกล่าว

ขณะที่นางอัญชลี วานิช เทพบุตร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย นับตั้งแต่ปลายปี 2551 ทำให้พี่น้องประชาชนได้รับผลกระทบในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงได้เร่งฟื้นฟูสภาวะเศรษฐกิจไทยให้มีรากฐานที่แข็งแรง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ถือเป็นการลงทุนที่ทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลกอย่างมั่นคง และเพื่อให้สังคมไทยมีความก้าวหน้า โดยหวังให้เศรษฐกิจของไทยกลับมาขยายตัว ประกอบกับจังหวัดภูเก็ตซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการท่องเที่ยวระดับโลก จึงได้พิจารณางบประมาณในการก่อสร้างอาคารยิมเนเซี่ยม 4,000 ที่นั่ง ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 เพื่อให้ได้สร้างสนามกีฬาที่ได้มาตรฐาน รองรับการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬานานาชาติที่จะเกิดขึ้นในภูมิภาคได้ และยังจะก่อให้เกิดการจ้างงานและรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ด้วย



วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เจริญโภคภัณฑ์ส่งเสริมเยาวชนไทยทำดี

เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2553 ที่โรงแรมภูเก็ตเมอร์ลิน นายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดการอบรม “เยาวชนไทยทำดี...ไม่มียั้ง” ด้วยการบริจาคโลหิต โครงการเครือเจริญโภคภัณฑ์สนับสนับสนุนเยาวชนไทยให้โลหิต ประจำปีการศึกษา 2553 ซึ่งทางสำนักบริหารโครงการพิเศษ เครือเจริญโภคภัณฑ์ จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างเหล่ากาชาดจังหวัดภูเก็ตศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ จัดขึ้น โดยเป็นการบรรยายให้ความรู้และการปฏิบัติ มีเยาวชนจากสถานศึกษาต่างๆ ใน จ.ภูเก็ตเข้าร่วมกว่า 20 แห่ง รวมจำนวนประมาณ 270 คน

นางนุรนาถ วิวรรธน์หิรัญ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการทรัพยากรบุคคล เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า เนื่องในวโรกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมายุครบ 84 พรรษาในปี พ.ศ. 2554 เครือเจริญโภคภัณฑ์ขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและแสดงความจงรักภักดี ด้วยการจัดทำโครงการเครือเจริญโภคภัณฑ์สนับสนุนเยาวชนให้โลหิต ประจำปีการศึกษา 2553 ต่อเนื่อง


เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ 84 พรรษา ส่งเสริมให้นักเรียนนักศึกษา ตลอดจนบุคลากรในสถานศึกษาเป็นผู้บริจาคโลหิตที่มีคุณภาพ และบริจาคเป็นประจำทุก 3 เดือน ให้มีความรู้ความเข้าใจเรื่องโลหิตและการบริจาคโลหิต รวมทั้งการเป็นผู้นำประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความสู่ดังกล่าวสู่ชุมชน สร้างเสริมประสบการณ์ที่ดีในการเป็นผู้นำ และผู้ปฎิบัติการจัดกิจกรรมการบริจาคโลหิตให้แก่นักเรียนนักศึกษา เพิ่มปริมาณโลหิตบริจาคจากสถานศึกษาให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และให้สถานศึกษาเป็นจุดศูนย์กลางในการจัดกิจกรรมบริจาคโลหิตในชุมชน รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถานศึกษา ชุมชน หน่วยงานใกล้เคียง และหน่วยงานที่รับบริจาคโลหิต

โครงการดังกล่าวได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2543 ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง โดยมีสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษา ระดับอาชีวศึกษาและพณิชยการ ให้ความร่วมมือสนับสนุนกิจกรรมของโครงการอย่างเต็มที่ โดยมุ่งหวังส่งเสริมให้เยาวชนมีคุณธรรมและรู้จักการเป็นผู้ให้ เริ่มต้นจากการเป็นผู้บริจาคโลหิต สนับสนุนให้เยาวชนมีบทบาทเป็นผู้นำในการประชาสัมพันธ์เผยแพร่การบริจาคโลหิตสู่สังคมใกล้ตัว และมีส่วนร่วมจัดกิจกรรมบริจาคโลหิตในสถานศึกษา เป็นการสร้างเสริมประสบการณ์ที่ดียิ่งแก่เยาวชน พร้อมทั้งมุ่งส่งเสริมให้สถานศึกษาเป็นศูนย์กลางในการจัดกิจกรรมบริจาคโลหิตของชุมชนด้วย

ทั้งนี้การส่งเสริมให้เยาวชนมีความศรัทธา มีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องในเรื่องของการบริจาคโลหิต เป็นกิจกรรมหลักของโครงการ เพราะเป็นแนวทางส่งเสริมให้การบริจาคโลหิตประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน และเป็นการนำเสนอกิจกรรมบริจาคโลหิตให้แก่เยาวชนเลือกปฏิบัติ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาเยาวชนใช้เวลาว่างไปในทางที่ไม่เหมาะสม โดยในปีการศึกษา 2553 มีเป้าหมายขยายไปยังภูมิภาคไม่น้อยกว่า 15 จังหวัดในการเข้าไปจัดกิจกรรม

อบรมลูกเสือ – เนตรนารีผู้ต้องขัง


เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2553 ที่เรือนจำจังหวัดภูเก็ต นายไชยวัฒน์ เทพี ปลัดจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมลูกเสือ-เนตรนารีวิสามัญสำหรับผู้ต้องขังวัยหนุ่มคดียาเสพติด ประจำปี 2553 ซึ่งเรือนจำจังหวัดภูเก็ต จัดขึ้นเพื่อให้ผู้ต้องขังมีสิ่งยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจ ได้ยึดมั่นในกฎ คำปฏิญาณตนของลูกเสือ เนตรนารีวิสามัญ และสามารถนำไปปฏิบัติตนในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เพื่อปลูกฝังกล่อมเกลาให้ผู้ต้องขังมีจิตใจเมตตา เสียสละ และมีสัมพันธภาพอันดีกับเพื่อนมนุษย์ทั่วไป รวมทั้งเปิดโอกาสให้หน่วยงานภายนอก ได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง โดยแบ่งการอบรมออกเป็น 2 รุ่นๆ ละ 60 คน รวมผู้ต้องขังเข้าร่วมจำนวน 120 คน ทั้งนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากศูนย์ต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดจังหวัดภูเก็ต จำนวน 120,000 บาท

นายไพศาล สุวรรณรักษา ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า กรมราชทัณฑ์มีภารกิจในการควบคุมบำบัด ฟื้นฟูและแก้ไขพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง เพื่อคืนคนดี มีคุณค่าสู่สังคม จึงได้จัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ 2552-2555 ในประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาพฤตินิสัย เพื่อคืนคนดีสู่สังคม ลดภาระภาครัฐ โดยกำหนดกลยุทธ์ว่า ผู้ต้องขังได้รับการแก้ไขพัฒนาพฤตินิสัย ผู้ต้องขังติดยาเสพติดได้รับการบำบัดฟื้นฟู จึงได้ดำเนินการให้มีการศึกษาทั้งวิชาสามัญ วิชาชีพ การศึกษาตามอัธยาศัย ตลอดจนอบรมในลักษณะต่างๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะด้านคุณธรรมและจริยธรรม ด้านการปลูกฝังให้ผู้ต้องขังเป็นผู้เสียสละ ทำตนให้เป็นประโยชน์ มีระเบียบวินัยในตนเอง ให้ผู้ต้องขังเห็นคุณค่าในตนเอง มีความรับผิดชอบ สามารถทำงานและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข อีกทั้งปลูกฝังให้มีความเคารพยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

เรือนจำจังหวัดภูเก็ต ได้ตระหนักและเล็งเห็นถึงความสำคัญ และประโยชน์ของกิจกรรมลูกเสือ-เนตรนารีวิสามัญ จึงได้จัดโครงการอบรมดังกล่าวขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการประเทศไทยเข้มแข็ง ชนะยาเสพติดยั่งยืน ภายใต้ยุทธศาสตร์ 5 รั้วป้องกันระยะที่ 2 ซึ่งเนื้อหากิจกรรมและการอบรม เป็นการให้ความรู้ด้านภูมิหลังลูกเสือไทยและลูกเสือโลก วินัย ความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสัญญาณ กฎและคำปฏิญาณของลูกเสือ ทักษะของลูกเสือ กิจกรรมผูกแน่น กิจกรรมรอบกองไฟ ลูกเสือกับชุมชน ลูกเสือกับคุณธรรม และความรู้ด้านการป้องกันชีวิตและสุขภาพ ตลอดจนความรู้ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน นายไพศาลกล่าว



อบจ.ภูเก็ตจับมือเครือเนชั่น จัดติวแกต-แพต


เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2553 ที่โรงแรมถาวรแกรนด์พลาซ่า อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต (อบจ.ภูเก็ต) เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเพิ่มศักยภาพการเรียนรู้ : แนะแนวเตรียมความพร้อมสู่มหาวิทยาลัย ครั้งที่ 3 ซึ่งทางอบจ.ภูเก็ต จัดขึ้นโดยร่วมมือกับเนชั่นกรุ๊ป โดยมีนายชวลิต ณ นคร รองนายก อบจ.ภูเก็ต นายมานพ ลีลาสุทธานนท์ ปลัด อบจ.ภูเก็ต นายอนุรักษ์ รุ่งเรือง รองผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาภูเก็ต น.ส.เบญจวรรณ ศรีสุทธิสอาด ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายจัดจำหน่าย บริษัทเนชั่นมัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด ตลอดจนผู้อำนวยการโรงเรียนต่าง สมาชิกและข้าราชการ อบจ.ภูเก็ต ร่วมเป็นเกียรติ และมีนักเรียนสายวิทย์-คณิต เข้าร่วมจำนวน 819 คน นอกจากนี้ยังได้มีการจัดที่หอประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต ในส่วนของสายศิลป์-คำนวณ และสายศิลป์-ภาษา อีกจำนวน 1,086 คน จากทั้งหมด 12 โรงเรียน ใช้เวลาอบรมไปจนถึงวันที่ 24 มิถุนายนนี้

สำหรับการอบรมฯ จะเป็นการบรรยายโดยอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิและเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ในเนื้อหารายวิชา GAT,PAT1, PAT2, PAT3, PAT5 เพื่อเสริมศักยภาพการเรียนรู้แนวทางใหม่ของการศึกษาไทย คือ เน้นการคิดวิเคราะห์เชื่อมโยง เป็นการปูพื้นฐานวิชา GAT-PAT ตามแนวทางข้อสอบรูปแบบใหม่ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนสอบ GAT-PAT ซึ่งกำหนดขึ้นในระหว่างวันที่ 3-4 และ 10-11 กรกฎาคมนี้

นายมานพ ลีลาสุทธานนท์ ปลัด อบจ.ภูเก็ต กล่าวว่า การจัดสัมมนาเพิ่มศักยภาพการเรียนรู้:แนะแนวเตรียมความพร้อมสู่มหาวิทยาลัยครั้งที่ 3 เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่นักเรียนมัธยมปลายในจังหวัดภูเก็ต สำหรับเตรียมตัวสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยในระบบแอดมิชชั่นกลางรูปแบบใหม่ โดยเน้นรูปแบบใหม่ของข้อสอบที่ปรับเป็นแนวทางการคิดวิเคราะห์โดยองค์รวมทุกวิชาตั้งแต่ต้นปี 2553 รวมทั้งเพื่อสร้างโอกาสและความเท่าเทียมทางการศึกษา ตลอดจนช่วยประเมินศักยภาพของนักเรียนมัธยมปลายในจังหวัดภูเก็ต

ทางด้านนายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายก อบจ.ภูเก็ต กล่าวว่า อบจ.ภูเก็ต มีนโยบายที่จะสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้กับนักเรียนทุกระดับชั้นของจังหวัดภูเก็ต เพื่อให้เยาวชนมีคุณภาพด้านการศึกษาเป็นที่ยอมรับของชุมชน และก้าวหน้าทันต่อการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งมีศักยภาพทัดเทียมและสามารถแข่งขันกับนักเรียนในจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ

“การจัดอบรมนั้นก็เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมปลายในการที่จะเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา เพื่อจะได้รู้จักตัวเองมากขึ้นในการที่จะตัดสินใจเลือกศึกษาต่อในสาขาวิชาที่เหมาะสมกับตัวเอง และ จากการจัดอบรมมาแล้ว 2 ครั้ง ปรากฏว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างวดี มีนักเรียนสามารถสอบเข้าศึกษาต่อตรงกับสาขาที่ต้องการ รวมทั้งยังได้มีการนำข้อบกพร่องต่างๆ มาปรับให้เกิดความเหมาะสมและตรงกับความต้องการของผู้เรียนมากที่สุด ทั้งนี้จะมีการจัดอบรมในลักษณะเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาให้เด็กภูเก็ตมีความรู้ที่เท่าเทียมกับนักเรียนในส่วนกลาง” นายไพบูลย์กล่าว

ขณะที่นางสาวภัสรานันท์ ทองประสาร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย กล่าวว่า เป็นโอกาสที่ดีในการที่จะได้ทบทวนบทเรียนที่ผ่านมา เพราะเหลือระยะเวลาอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสอบจริง รวมทั้งจะทำให้เกิดความมั่นใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังได้มีการปรับในส่วนของตารางการอ่านหนังสือให้เป็นระเบียบเพื่อให้ง่ายต่อการฝึกทบทวนและการเตรียมพร้อมในการทำข้อสอบต่อไป ซึ่งก็จะทำให้ดีที่สุด

“ทางออกวิกฤติการเมืองไทย ตามวิถีรัฐธรรมนูญ”


เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2553 ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษามหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต โปรแกรมวิชารัฐประศาสนศาสตร์ และโปรแกรมวิชานิติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต จัดโครงการสัปดาห์ส่งเสริมประชาธิปไตย วันเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจและตระหนักในความสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นพระประมุขของประเทศไทย และการเข้าใจในสิทธิ หน้าที่ เสรีภาพและการมีส่วนร่วมในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ตลอดจนให้ผู้เข้าร่วมเสวนาได้เห็นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครอง และการรู้เท่าทันสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน


สำหรับกิจกรรมดังกล่าวนี้ มีการจัดบอร์ดนิทรรศการ การแข่งขันตอบปัญหาส่งเสริมประชาธิปไตย รวมถึงการเสวนาและบรรยายทางวิชาการ ทั้งนี้ได้รับเกียรติจาก รศ. พรชัย สุนทรพันธุ์ ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับ “บนเส้นทางสู่ความสำเร็จของนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา” และ ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม มาถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับ “ทางออกวิกฤติการเมืองไทย ตามวิถีรัฐธรรมนูญ” ในการนี้มี ผศ.ดร.ประภา กาหยี อธิการบดี รศ.ดร.ชิรวัฒน์ นิจเนตร อดีตอธิการบดี คณะผู้บริหาร คณาจารย์ และนักศึกษาเข้าร่วมรับฟังการบรรยาย จำนวนกว่า 300 คน


ททท.ภูเก็ตปลื้มผนึกกำลังด้านท่องเที่ยวภูเก็ต-พังงา

นางบังอร รัตน์ ชินะประยูร ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานภูเก็ต กล่าวว่า จากการที่ทาง ททท.ภูเก็ต ร่วมกับสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว จ.ภูเก็ต และพังงา ภายใต้การสนับสนุนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ศูนย์การแสดงสินค้าและการจัดประชุมอิมแพ็คเมืองทอง ธานี จ.นนทบุรี เมื่อต้นเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลในการให้ภาคเอกชนนำรายจ่ายค่าสัมมนา ค่าห้องพักมาลดหย่อนภาษีได้ และให้ภาครัฐปรับแผนการฝึกอบรมประชุมสัมมนาและดูงานภายในประเทศแทนการเดินทางไปต่างประเทศ รวมทั้งในส่วนของภาคธุรกิจต่างๆ ที่นิยมใช้กิจกรรมการท่องเที่ยวเป็นรางวัลและสานสัมพันธ์กับลูกค้า ส่งผลให้การนำเสนอขายสินค้าด้านการท่องเที่ยวของภูเก็ตและพังงาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

“การผนึกกำลังระหว่าง ททท.กับสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวภูเก็ตและพังงา ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อเน้นย้ำภาพลักษณ์และศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวทั้งสองจังหวัด ให้ปรากฏแก่สายตาของตลาดองค์กรและนักท่องเที่ยวทั่วประเทศว่า สามารถเข้ามาทำกิจกรรมและท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนหรือ Green Season ด้วยข้อเสนอจูงใจพิเศษมากมาย ปรากฏว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไปที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ส่งผลให้บางบริษัทที่นำเสนอแพ็กเกจราคาพิเศษมียอดขายที่ดี ขณะที่ตลาดประชุมสัมมนาหรือตลาดให้การท่องเที่ยวเป็นรางวัล ก็มีบริษัทใหญ่ๆ สอบถามราคาและเพ็จเก็จที่นำเสนอเป็นจำนวนมาก เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีนักท่องเที่ยวคนไทยที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวทั้งตลาดทั่วไปตลาดประชุมสัมมนา และตลาดให้รางวัล จะเข้ามาเพิ่มมากขึ้น”

นางบังอรรัตน์ กล่าวด้วยว่า สำหรับมาตรการของรัฐบาลที่ออกมาเพื่อช่วยเหลือและส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยให้ภาคเอกชนและประชาชนนำรายจ่ายจากการสัมมนา ค่าห้องพักมาลดหย่อนภาษีได้ และให้หน่วยงานภาครัฐปรับแผนการฝึกอบรมประชุมสัมมนาและดูงานภายในประเทศแทนการเดินทางไปต่างประเทศนั้น จะเป็นการช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวให้คนไทยเที่ยวในประเทศได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังได้มีการสำรวจแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมท่องเที่ยวในพื้นที่ต่างๆ เพื่อเจาะตลาดของแต่ละภูมิภาค เป็นการส่งเสริมให้มีการเดินทางเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวระหว่างภูมิภาค โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับกลุ่มจังหวัดอันดามัน เนื่องจากปัจจุบันมีเที่ยวบินตรงเชื่อมโยงระหว่างท่าอากาศยานภูเก็ตกับท่าอากาศยานเชียงใหม่และท่าอากาศยานอุดรธานีซึ่งจะช่วยให้นักท่องเที่ยวเดินทางได้สะดวกยิ่งขึ้น


ประชุมสถานการณ์ปะการังเอเชีย-แปซิฟิก


เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2553 ที่โรงแรมรอยัลภูเก็ตซิตี้ อ.เมือง จ.ภูเก็ต มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมวิชาการนานาชาติแนวปะการังในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 2 (The 2nd Asia Pacific Coral Reef Symposium:2nd APCRS 2010) ภายใต้หัวข้อ “Collaboration for Coral Reef Conservation in a Changing Climate” เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ระดมความคิดเห็น และสร้างเครือข่ายของนักวิทยาศาสตร์ด้านแนวปะการังในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และเพื่อการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพในการลดภาวะคุกคามแนวปะการัง ตลอดจนการรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกต่อระบบนิเวศแนวปะการัง โดยมีผู้เข้าร่วมซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการด้านแนวปะการังจากประเทศต่างๆ จาก 35 ประเทศ เพื่อนำเสนอผลงานวิจัยมากกว่า 400 เรื่อง เช่น การเกิดโรคในแนวปะการัง วิธีการฟื้นฟูแนวปะการังด้วยเทคนิคต่างๆ องค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการพื้นที่อุทยานหรือนอกเขตอุทยาน ภาวะมลพิษในแนวปะการัง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ที่ลงลึกเพื่อให้เข้าใจกลไกการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมของปะการัง ทั้งนี้ได้รับเกียรติจากนายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวต้อนรับผู้ร่วมประชุม ซึ่งการประชุมดังกล่าวจะจัดไปจนถึงวันที่ 24 มิถุนายนนี้

ผศ.ดร.ธรรมศักดิ์ ยีมิน ประธานกรรมการดำเนินงานโครงการจัดการประชุมวิชาการนานาชาติแนวปะการังในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 2 กล่าวว่า แนวปะการังเป็นระบบนิเวศทางทะเลที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และเป็นแหล่งทรัพยากรที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชากรมากกว่า 500 ล้านคนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งทั่วโลก โดยเฉพาะแนวปะการังในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นแนวปะการังส่วนใหญ่ของโลก มีสำคัญทั้งในด้านการประมง การท่องเที่ยว และบทบาททางนิเวศวิทยา เช่น การป้องกันชายฝั่ง แหล่งที่อยู่อาศัยและเลี้ยงดูตัวอ่อนของสัตว์น้ำ ศักยภาพของการเป็นแหล่งที่มาของยารักษาโรค เป็นต้น แต่ปรากฏว่าแนวปะการังจำนวนมากมีความเสื่อมโทรมมาจากการทำประมงเกินขนาด และมลพิษจากการพัฒนาชายฝั่ง โดยเฉพาะปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกก็มีแนวโน้มที่จะทำให้แนวปะการังเสื่อมโทรมลง

“โดยเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมาทางมหาวิทยาลัยของฮ่องกงเป็นผู้ริเริ่มจัดการประชุมวิชาการดังกล่าวขึ้น และในปีนี้ทางมหาวิทยาลัยรามคำแหงก็ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพในการดำเนินการ โดยเชิญนักวิจัยที่ทำงานเกี่ยวกับแนวปะการังในภูมิภาคมาร่วมกันนำเสนอผลงานวิจัยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับแนวปะการังระหว่างกัน โดยเฉพาะแนวปะรังของประเทศไทยซึ่งประสบกับปัญหาวิกฤตพอสมควร เนื่องจากปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว ซึ่งอาจจะเชื่อมโยงกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงและปัจจัยอื่นๆ โดยมีนักวิจัยเข้าร่วมจากประเทศต่างๆ จำนวน 450 คน จาก 35 ประเทศ ซึ่งถือเป็นการจัดการประชุมเกี่ยวกับปะการังที่ใหญ่ที่สุดที่ประเทศไทยเคยจัดมา”

ผศ.ดร.ธรรมศักดิ์ กล่าวว่า สถานการณ์ปะการังฟอกขาวจะเป็นประเด็นใหญ่ที่มีการพูดคุยกัน ตั้งแต่เรื่องของพื้นที่ที่เกิดปัญหา ความทนทานหรือภูมิต้านทาน การปรับตัวหลังจากที่อุณหภูมิน้ำทะเลลดลง การฟื้นตัวของแนวปะการังในแต่ละพื้นที่ จำนวนมากน้อยเพียงใด รวมถึงองค์ประกอบหรือชนิดของปะการังที่มีชีวิตรอดและตายไป ซึ่งจะโยงไปถึงแนวทางการฟื้นฟูว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรในการลดผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบจากการเข้าไปเกี่ยวข้องของคน เช่น ตะกอนจากการพัฒนาชายฝั่ง น้ำเสีย เป็นต้น เพื่อจะหาวิธีการในการสร้างภูมิต้านทานให้กับปะการัง เพราะเราคงไม่สามารถที่จะไปควบคุมอุณหภูมิของน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นผิดปกติได้ เนื่องจากเป็นปรากฏการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ แต่สิ่งที่ทำได้ คือการพยายามรักษาคุณภาพน้ำให้เหมาะสม และมีสภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีเพื่อจะสามารถต่อสู้กับภาวการณ์ที่เกิดขึ้นได้