จำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทน.ภูเก็ตรับรางวัล คว้ารางวัลพระปกเกล้า


นางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต เปิดเผยถึง การที่ได้รับรางวัลพระปกเกล้า ว่า เทศบาลนครภูเก็ตได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความเป็นเลิศ ด้านการเสริมสร้างเครือข่าย รัฐ เอกชน และประชาสังคม ประจำปี 2553 โดยเทศบาลนครภูเก็ตได้เสนอ เครือข่ายที่มีความเข้มแข็ง และร่วมกับเทศบาลในการดำเนินโครงการ กิจกรรมจนประสบผลสำเร็จ และเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม จำนวน 4 เครือข่าย คือ เครือข่ายพัฒนาและอนุรักษ์ย่านการค้าเมืองเก่าภูเก็ต เครือข่ายชมรมเรือกอจ๊าน เครือข่ายศูนย์อปพร.เทศบาลนครภูเก็ต และเครือข่ายการบริหารจัดการขยะมูลฝอยจังหวัดภูเก็ต

สำหรับรางวัลพระปกเกล้า ทางสถาบันพระปกเกล้าฯ ได้แบ่งรางวัลออกเป็น 3 ประเภท คือประเภทที่ 1 ความเป็นเลิศด้านความโปร่งใสและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับการคัดเลือก 12 แห่ง ประเภทที่ 2 ความเป็นเลิศด้านการเสริมสร้างสันติสุขและความสมานฉันท์มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับการคัดเลือก 4 แห่ง และประเภทที่ 3 ความเป็นเลิศด้านการเสริมสร้างเครือข่าย รัฐ เอกชน และประชาสังคม มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับการคัดเลือก 8 แห่ง ซึ่งเทศบาลนครภูเก็ต เป็น 1 ใน 8 แห่ง ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาคร เทศบาลนครตรัง เทศบาลนครลำปาง เทศบาลเมืองทุ่งสง เทศบาลตำบลลวงเหนือ องค์การบริหารส่วนตำบลแม่ลาด และองค์การบริหารส่วนตำบลวังแสง โดยสถาบันพระปกเกล้าได้จัดให้มีพิธีมอบโล่รางวัล เมื่อวันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2553 ในงานประชุมวิชาการประจำปีสถาบันพระปกเกล้า ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร

นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต กล่าวอีกว่า ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วนที่มีส่วนทำให้เทศบาลได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ซึ่งรางวัลที่ได้รับนอกจากจะก่อให้เกิดความภาคภูมิใจแล้วยังจะเป็นแรงผลักดันให้เทศบาลฯมุ่งมั่นสร้างนครภูเก็ตให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ มีสังคม ชุมชนที่เข้มแข็ง และเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมพัฒนา นครภูเก็ตอย่างยั่งยืนต่อไป


ไทยหัวMOUด้านการศึกษากับม.หัวเฉียวจีน


เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 53 ที่โรงแรมเพิร์ลภูเก็ต นายชิวจิ้น อธิการบดีมหาวิทยาลัยหัวเฉียว และนายสมบัติ อติเศรษฐ์ ประธานมูลนิธิล้กเซี่ยนก๊ก ได้ร่วมกันลงนามความร่วมมือก่อตั้งและบริหารโรงเรียนนานาชาติระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ระหว่างมหาวิทยาลัยหัวเฉียว สาธารณรัฐประชาชนจีน และโรงเรียนภูเก็ตไทยหัว โดยมีนายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา นายกเทศมนตรีเทศบาลนครภูเก็ต และนายสุพาทน์ สุชาตานนท์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดภูเก็ตเข้าร่วม

ทั้งนี้นายสมบัติ กล่าวว่า การลงนามสัญญาความร่วมมือในครั้งนี้ เพื่อเป็นการยกระดับการศึกษาของจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียงไปสู่ความยั่งยืน ทั้งยังเป็นการเรียนการสอนภาษาจีนของโรงเรียนภูเก็ตไทยหัว เป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมเชื่อมความสัมพันธ์ไทย – จีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และยังเป็นการช่วยเหลือการสอนภาษาจีนให้แก่โรงเรียนต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ต เปิดโอกาสให้นักเรียนในจังหวัดภูเก็ตและต่างจังหวัดได้มีโอกาสไปศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยในประเทศจีน

สำหรับตัวโรงเรียนหลังใหม่นี้ จะก่อสร้างบริเวณด้านหลังโรงเรียนภูเก็ตไทยหัว ในเนื้อที่ประมาณ 13 ไร่ ได้รับการบริจาคจากตระกูลเอกวานิช ออกแบบโดยมหาวิทยาลัยหัวเฉียว สามารถรับนักเรียนได้ประมาณ 1,000 คน และนักเรียนต่างจังหวัด ทางโรงเรียนจะมีที่พักประมาณ กว่า 400 เตียง ที่พักครู กว่า 150 ห้อง

ด้านนายตรี กล่าวว่า ภาษาจีนถือว่าเป็นภาษาต่างประเทศที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าภาษาอังกฤษ เนื่องจากจีนได้มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจจนก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจโลก กอรปกับประชากรที่มีมากกว่าหนึ่งพันสามร้อยล้านคน ความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยกับคนจีนก็ถือว่ามีความใกล้ชิดมาเป็นเวลาช้านานเหมือนพี่น้องกัน

โรงเรียนสอนภาษาจีนของจังหวัดภูเก็ต ได้เริ่มก่อตั้งอายุกว่า 1 ศตวรรษ และมีการพัฒนาตลอดเวลา จนวันนี้สามารถร่วมมือกับมหาวิทยาลัยหัวเฉียว ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศจีน เพื่อยกระดับการเรียนการสอนภาษาจีนของจังหวัดภูเก็ต นับเป็นมิติใหม่ของการศึกษาในจังหวัดภูเก็ต กอรปกับภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวชาวจีนจะเข้ามาเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต ทวีเพิ่มขึ้นทุกปี ความร่วมมือของสถาบัน จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาล นอกจากภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแล้วยังมีภาคธุรกิจการค้า และภาคบริการอื่นๆ ซึ่งก็จะเจริญต่อไปด้วย และเชื่อว่าภูเก็ตจะเป็นศูนย์กลางการศึกษาภาษาจีนในภาคใต้เช่นกัน


ผู้ประกอบการภูเก็ตโอดเจอปัญหาแรงงานต่างด้าว


เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2553 ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายเรวัติ อารีรอบ ส.ส.ภูเก็ต พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการติดตามประเมินการณ์สถานการณ์และแก้ไขปัญหาแรงงานในคณะกรรมาธิการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานในการประชุมคณะอนุกรรมาธิการติดตามประเมินสถานการณ์และแก้ไขปัญหาแรงงาน ในคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร เรื่องปัญหาแรงงานต่างด้าวจังหวัดภูเก็ต โดยมีนายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายประวิทย์ เคียงผล รองอธิบดีกรมการจัดหางาน ส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานใน จ.ภูเก็ต ตัวแทนกลุ่มผู้ประกอบการใช้แรงงานต่างด้าว จ.ภูเก็ต ตลอดจนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

นายประศาสตร์ บุญตันตราภิวัฒน์ ประธานชมรมผู้ประกอบการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ตกำลังประสบกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก โดยเฉพาะภายหลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวเพื่อทำพาสปอร์ต ส่งผลให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานจากนายจ้างรายหนึ่งไปยังนายจ้างอีกรายหนึ่ง เพราะได้รับค่าจ้างที่สูงกว่า โดยเฉพาะการทำงานในห้างสรรพสินค้าหรือโรงแรมที่พัก ปัญหาแรงงานต่างด้าวตั้งตัวเป็นนายจ้างเอง เนื่องจากไม่มีการกำหนดกฎเกณฑ์การควบคุมดูแลที่ชัดเจน นอกจากนี้ยังมีปัญหาขั้นตอนการพิสูจน์สัญชาติที่มีความยุ่งยาก ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงเป็นช่องทางที่ทำให้เกิดการคอรัปชั่น รวมทั้งปัญหาการออกใบอนุญาตขับขี่ให้แรงงานต่างด้าว หวั่นสร้างปัญหาสังคมตามมา

เนื่องจากอีก 2 – 3 เดือนข้างหน้าจะมีการต่อทะเบียนแรงงานต่างด้าว จึงอยากเสนอทางออกในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยขอให้มีการกลับไปใช้ระบบการขึ้นทะเบียนเหมือนเดิม ควรมีข้อกำหนดว่าจะต้องทำงานกับนายจ้างให้ครบ 1 ปี จึงจะสามารถเปลี่ยนนายจ้างใหม่ได้ ในการจดทะเบียนควรทำในลักษณะวันสตีอบเซอร์วิสเพื่อป้องกันปัญหาการคอรัปชั่น รวมทั้งการหามาตรการควบคุมดูแลการตั้งครรภ์ของชาวต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันมีปัญหาค่อนข้างมาก เนื่องจากยังไม่มีมาตรการควบคุม นายประศาสตร์กล่าว

ขณะที่นายเรวัต กล่าวว่า จะรวบรวมข้อเสนอทั้งหมดไปเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหา เพราะทราบว่าขณะนี้แรงงานต่างด้าวในภูเก็ตทั้งที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องและเป็นแรงงานหลบหนีเข้าเมืองน่าจะมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 1 แสนคน และต้องยอมรับว่าจากการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจทำให้ความต้องการใช้แรงงานต่างด้าวมีค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในประเภทกิจการที่คนไทยไม่ทำ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องหามาตรการในการรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น และจะต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และหากจะให้ภูเก็ตเป็นต้นแบบในการนำร่องแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าว ก็พร้อมที่จะประสานกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง


ทูตออสเตรเลียพบพ่อเมืองภูเก็ต


เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2553 ที่ห้องทำงานผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายเจมส์ ไวน์ เอกอัครราชทูตออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย พร้อมด้วยนายลาลี่ คันนิ่งแฮง กงสุลกิตติมศักดิ์ ประเทศออสเตรเลีย ประจำจังหวัด ภูเก็ต พังงาและกระบี่ ได้เข้าพบนายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เพื่อเยี่ยมคารวะในโอกาสรับตำแหน่งและหารือมาตรการต่างๆ ในการดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ตลอดจนแนวทางการพัฒนาจังหวัดภูเก็ต

ทั้งนี้นายเจมส์ ไวน์ เอกอัครราชทูตออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย กล่าวว่า จากการที่ทางจังหวัดภูเก็ตจัดให้มีการร่วมพบปะหารือกระชับความสัมพันธ์กับกงสุลอาชีพและกงสุลกิตติมศักดิ์ของประเทศต่างๆ ที่มีสำนักงานตั้งอยู่ ณ จังหวัดภูเก็ตเป็นประจำทุก 3 เดือนนั้น ถือเป็นโครงการที่ดีมาก และฝากดูแลปัญหาการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นราคารถตุ๊กๆ การพูดจาและการแสดงพฤติกรรมที่หยาบคายต่อนักท่องเที่ยว เช่น การใช้อาวุธปืนข่มขู่ เป็นต้น ซึ่งพฤติกรรมเช่นนั้นถือเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีอย่างมากให้กับการท่องเที่ยวของภูเก็ต และเมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางกลับประเทศไปแล้วก็จะไปบอกต่อปากต่อปาก และต้องยอมนับว่าปัจจุบันภูเก็ตมีคู่แข่งทางด้านการท่องเที่ยวสูง เช่น บาหลี ฟิจิ เป็นต้น ซึ่งหากยังมีปัญหาดังกล่าวก็จะทำให้สูญเสียนักท่องเที่ยวได้ง่าย ขณะเดียวกันในส่วนของตัวนักท่องเที่ยวเองนั้นผู้ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมก็มีอยู่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งความเท็จต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกรณีสิ่งของเสียหายเพื่อที่จะกลับประเทศแล้วได้รับเงินค่าประกันคืน หรือกรณีอื่นๆ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ขอให้ดำเนินการลงโทษไปตามกฎหมายไทยได้เลย แต่ก็ขอความร่วมมือในการจัดทำรายงานเสนอต่อกงสุลหรือสถานทูตโดยตรงด้วย

ด้านนาย ลาลี่ คันนิ่งแฮม กงสุลกิตติมศักดิ์ ประเทศออสเตรเลีย ประจำจังหวัด ภูเก็ต พังงาและกระบี่ กล่าวเสริมว่า ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหรือไฮซีซันนี้ทราบว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น จึงอยากจะให้เพิ่มจำนวนช่องตรวจลงตราของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ที่ด่าน ตม.ท่าอากาศยานภูเก็ตให้มากกว่านี้ เนื่องจาก นักท่องเที่ยวเดินทางมาเป็นระยะไกล แต่ต้องมารอเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไข เพื่อลดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา โดยเฉพาะเรื่องของภาพลักษณ์ด้านการบริการ

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

มือปืนเคาะประตูเรียกจ่อยิงอกดับ


เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 53 พ.ต.ต.ประเทือง ผลมานะ สารวัตรเวร สภ.ถลาง จ.ภูเก็ตได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าเกิดเหตุฆ่ากันตายที่บ้านเลขที่ 85 หมู่ 5 ซ.นาสาด 1 ต.ศรีสุนทร อ.ถลาง ขอให้เดินทางมาตรวจสอบด้วย หลังรับแจ้งได้รายงานได้ให้ผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นก็ได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พ.ต.ท.พิศิษฐ์ ชื่นเพ็ชร รอง.ผกก.สส.เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนและเจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านชั้นเดียวอยู่ห่างจากถนนภายในซอยดังกล่าวเล็กน้อย ที่พื้นภายในบ้าน พบศพเป็นชาย ไม่สวมเสื้อ นุ่งกางเกงขา 3 ส่วน สีดำ ที่คอห้อยลูกปัดและตะกรุดนอนหงายจมกองเลือด ทราบชื่อคือ นายนิพน โลมะจันทร์ อายุ 35 ปี สภาพศพถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 9 มม.เข้าที่กลางอกจำนวน 1 นัด กระสุนทะลุหลัง จากการตรวจสอบบริเวณที่เกิดโดยรอบไม่พบหัวหรือปลอกกระสุนปืนแต่อย่างไร ทางเจ้าหน้าที่จึงได้จัดทำบันทึกสถานที่เกิดเหตุ ก่อนที่จะมอบศพให้มูลนิธินำส่ง รพ.ถลาง เพื่อให้แพทย์ได้ทำการชันสูตรโดยละเอียดอีกครั้ง

จากการสอบถามเบื้องต้นทราบว่า นายนิพนไม่มีอาชีพเป็นหลักเป็นแหล่ง อยู่บ้านเลี้ยงหลานให้กับญาติ ซึ่งพักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าวกับหลานเพียง 2 คน ก่อนเกิดเหตุนายนิพนได้พาหลานเข้านอนตามปกติ ก่อนเกิดเหตุก็ได้มีคนมาเคาะประตูบ้าน นายนิพนก็ได้เดินออกจากห้องมาเปิดประตู ทันใดนั้นคนร้ายก็ชักปืนพกสั้นออกจากเอวแล้วก็จ่อยิงเข้าที่หน้าอก 1 นัด ทำให้นายนิพนล้มลงไปกองกับพื้น จากนั้นคนร้ายได้วิ่งออกจากบ้านไปแล้วขึ้นซ้อนท้ายรถ จยย. หลบหนีไปกับความมืด

เบื้องต้น ตร.คาดว่ามือปืนต้องมีความชำนาญในการใช้อาวุธปืนเป็นอย่างดี โดยยิงเพียงนัดเดียวหวังผลถึงแก่ชีวิตโดยไม่ต้องยิงซ้ำ ขณะเดียวกันคนร้ายต้องรู้ความเคลื่อนไหวของนายนิพนเป็นอย่างดี จึงรู้ว่านายนิพนอยู่เพียงลำพังกับหลาน และเหมาะกับการลงมือสังหารในช่วงใดมากที่สุด ส่วนประเด็นการสังหารตำรวจให้น้ำหนักไปที่ 2 เรื่องหลักๆ คือ ขัดแย้งปัญหาส่วนตัวและหักหลังธุรกิจนอกระบบ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ขยายผลการสืบสวนสอบสวน เพื่อหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


ทัพภาค 4 ตั้งศูนย์สาธิตการสร้างฝายในหลวง

ทัพภาค 4 ตั้งศูนย์สาธิตการสร้างฝายในหลวง

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 53 ที่บริเวณศูนย์สาธิตการสร้างฝายในหลวงและการปลูกหญ้าแฝกอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ขุมเหมืองเจ้าฟ้า ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต พล.ต.จำลอง คุณสงค์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 และรองผู้อำนวยการความมั่นคงภายในภาค 4 (กอ.รมน.ภาค 4) เป็นประธานเปิดศูนย์สาธิตการสร้างฝายในหลวงและการปลูกหญ้าแฝกอันเนื่องมาจากพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โดยมีนายศุภชัย โพชนุกูล นายอำเภอเมืองภูเก็ต นายกรีฑา แซ่ตัน นายกเทศมนตรีตำบลวิชิต นายณรงค์ หงษ์หยก ประธานกรรมการบริษัทอนุภาษและบุตร จำกัด นพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต นักเรียน ประชาชนชาวภูเก็ต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมก่อสร้างฝายในหลวงและปลูกหญ้าแฝกจำนวน 40,000 ต้น

พล.ต.จำลอง กล่าวว่า การจัดตั้งศูนย์สาธิตการสร้างฝายในหลวงและการปลูกหญ้าแฝกอันเนื่องมาจากพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เกิดจากความร่วมมือระหว่างกองทัพภาคที่ 4 โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต และบริษัท อนุภาษและบุตร จำกัด ที่สนับสนุนพื้นที่จำนวน 25 ไร่ ในการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าว เพื่อใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ของคนในพื้นที่และจากจังหวัดใกล้เคียงในการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการสร้างฝายกั้นน้ำและการปลูกหญ้าแฝกเพื่อป้องกันหน้าดิน รวมทั้งเรียนรู้การแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำ ซึ่งภูเก็ตเป็นจังหวัดหนึ่งที่ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงหน้าแล้งและเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน การสร้างฝ่ายจะทำให้สามารถเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดีในช่วงหน้าแล้ง และในช่วงหน้าฝนฝายก็จะช่วยชะลอไม่ให้น้ำไหลลงที่ต่ำอย่างรวดเร็ว

ขณะที่ นพ.ก้องเกียรติ กล่าวว่า ภูเก็ตมักจะประสบกับปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงหน้าแล้งเป็นประจำทุกปี ทางโรงพยาบาลฯ จึงร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการที่จะนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาใช้ในการบริหารจัดการเรื่องน้ำ โดยเฉพาะเรื่องของการสร้างฝายในหลวงและการปลูกหญ้าแฝก เพราะจะช่วยลดการพังทลายของดินและลดความรุนแรงของกระแสน้ำ อีกทั้งฝายในหลวงยังสามารถกักเก็บน้ำดิบไว้ใช้ประโยชน์เพื่อการอุปโภคบริโภคแทนที่จะปล่อยให้ไหลลงทะเลแบบสูญเปล่า

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ทางกองทัพภาคที่ 4 ได้ร่วมกับโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต สร้างฝายในหลวงแห่งแรกที่บริเวณด้านหลังมหาวิทยาลัยฯ เพื่อเป็นตัวอย่างในการจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ทำให้มหาวิทยาลัยและชุมชนใกล้เคียงมีน้ำใช้ได้ตลอดทั้งปี ส่วนการจัดตั้งศูนย์สาธิตการสร้างฝายในหลวงและการปลูกหญ้าแฝกอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ นั้นก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ของหน่วยงานต่างทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้เกิดการร่วมแรงร่วมใจกันใช้แนวทางนี้แก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำของจังหวัดภูเก็ตในระยะยาวต่อไป นพ.ก้องเกียรติกล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แนะแนวการศึกษาต่อ สานสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีน



เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 53 อาคาร 6 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) วิทยาเขตภูเก็ต ได้มีการประชุมสัมมนาทางการศึกษา เพื่อให้ข้อมูลและแนะแนวการศึกษาต่อนครเทียนจิน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ตลอดจนเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทยจีนให้มีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น

โดยมีผู้บริหารระดับสูงของสถานบันการศึกษาของนครเทียนจินเข้าร่วม อาทิ นายอิน หง รองผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศสภาการศึกษานครเทียนจิน นายจาง ซู่ จวิ้น ผู้อำนวยการสำนักงานแลกเปลี่ยนการศึกษานานาชาติ มหาวิทยาลัยเทียนจิน นางสาวจง เจิ้ยน รองผู้อำนวยการสำนักงานแลกเปลี่ยนการศึกษานานาชาติ มหาวิทยาลัยหนานไค นายจง อิน หัว ผู้อำนวยการสำนักงานแลกเปลี่ยนการศึกษานานาชาติ นางสาวเหม่า เจิง หง สถาบันศิลปะนครเทียนจิน นายหลี่ ซู่ ปิน หัวหน้าหมวดนักศึกษาต่างชาติ รองผู้อำนวยการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองนครเทียนจิน เป็นต้น ขณะเดียวกันยังมีนายศุภชัย แสงปัญญา คณบดีคณะวิเทศศึกษา ตลอดจนนักเรียนและนักศึกษาให้ความสนใจร่วมรับฟังจำนวนมาก

สำหรับสาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศไทยมีความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนบ้านที่ดีต่อกันมาตลอดเป็นระยะเวลายาวนานและมีความพยายามที่จะพัฒนาเพิ่มความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในทุกๆ ด้าน รวมถึงด้านการศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากทั้งสองฝ่ายเพื่อเป็นการส่งเสริมการศึกษาและวัฒนธรรมของไทยและจีน

อย่างไรก็ตามสำหรับการสัมมนาในครั้งนี้ เพื่อจัดทำและเสนอแนะข้อมูลที่ถูกต้องให้แก่บุคคลทั่วไป และนักเรียนนักศึกษา ได้มีโอกาสพูดคุยและซักถามข้อมูลต่างๆ จากตัวแทนของมหาวิทยาลัยดังกล่าวโดยตรง รวมถึงเรื่องการศึกษาเฉพาะทาง นโยบายการศึกษาของประเทศจีน และการให้ทุนการศึกษาของนักเรียน นักศึกษา ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้ที่สนใจจะไปศึกษาต่อในประเทศจีน โดยเฉพาะที่เมืองเทียนจิน


วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ดมกาวแล้วหัวใจวายดับคากระป๋อง


เมื่อคืนของวันที่ 16 พฤศจิกายน 53 ร.ต.อ.สมชาย หนูบุญ ร้อยเวร สภ.เมืองภูเก็ต ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบศพผู้เสียชีวิตไม่ทราบสาเหตุภายในโรงภาพยนตร์นิมิตรเก่า ถ.ดิลกอุทิศ ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง หลังรับแจ้งก็ได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นก็ได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย เจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต

ที่เกิดเหตุเป็นโรงหนังนิมิตเก่า ที่ได้เลิกกิจการไปแล้ว บริเวณชั้นล่างภายในห้องน้ำพบศพชายสวมเสื้อยืดแขนยาวสีดำ ใส่เสื้อกั๊กวินมอเตอร์ไซด์สีดำทับ นุ่งกางเกงยีนส์ขายาวสีน้ำเงินเข้มนอนขุ้ดคู้ที่พื้น บริเวณตักมีกระป๋องกาวที่ไว้ใช้ทาเบาะถูกเปิดฝาออก โดยมีกาวปะปนกับคราบเลือดไหลกระจัดกระจายอยู่ที่พื้นเต็มไปหมด ทราบชื่อคือ นายเทียนชัย ควรชิวนิจ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 33/561 ถ.ขวางลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ สภาพศพพองขึ้นอืดส่งกลิ่นเน่าไปทั่ว จากการตรวจสอบไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยการถูกทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด เสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 วัน จึงมอบศพให้มูลนิธินำส่งชันสูตรอย่างละเอียดที่ รพ.วชิระภูเก็ตเพื่อหาสาเหตุการตายที่แน่ชัด จากการสอบสวนทราบว่านายเทียนชัยมีอาชีพขับรถ จยย.รับจ้าง แต่ไม่มีวินสังกัด มีนิสัยชอบดมกาว ก่อนเกิดเหตุคาดว่านายเทียนชัยอาจลอบเข้ามานั่งดมกาวภายในห้องน้ำที่โรงหนังร้างดังกล่าว แต่เกิดอาการน๊อค เนื่องจากเสพกาวเข้าไปเกิดขนาด ทำให้หัวใจวายเฉียบพลันเสียชีวิตดังกล่าว


ภูเก็ตเตรียมซ้อมอพยพผู้ป่วยภาวะวิกฤต


เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 53 ที่ห้องประชุม 2 ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต (หลังใหม่) นายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานการประชุมคณะทำงานการฝึกซ้อมแผนการช่วยเหลือและอพยพผู้ป่วยในภาวะวิกฤตทางทะเลและทางอากาศยานจากเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยสึนามิ ครั้งที่ 2/2554 เพื่อติดตามความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมของคณะทำงานชุดต่างๆ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะทำงานฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ฝึกซ้อม คณะทำงานฝ่ายรักษาพยาบาล คณะทำงานฝ่ายปฎิบัติการกู้ภัย คณะทำงานฝ่ายสื่อสาร คณะทำงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ เป็นต้น

นายนิวิทย์ กล่าวว่า ตามที่จังหวัดภูเก็ตได้กำหนดให้มีการดำเนินการตามโครงการการฝึกซ้อมแผนการช่วยเหลือและอพยพผู้ป่วยในภาวะวิกฤตทางทะเลและทางอากาศยาน จากเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยสึนามิ ในระหว่างวันที่ 22 – 24 ธันวาคม 2553 เพื่อให้บุคลากรด้านการแพทย์ฉุกเฉิน หน่วยกู้ชีพกู้ภัยของหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน สมาคม มูลนิธิ และผู้ประกอบการ มีความรู้ ทักษะ ความชำนาญในการให้ความช่วยเหลือและอพยพผู้ป่วยในภาวะวิกฤตทางทะเลและทางอากาศยาน ซึ่งได้มีการประชุมร่วมกันไปแล้ว 1 ครั้ง และครั้งนี้เป็นการติดตามความพร้อม และซักซ้อมในรายละเอียดการดำเนินการของฝ่ายต่างๆ

อย่างไรก็ตามการฝึกซ้อมในครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ในระหว่างวันที่ 22 – 23 ธันวาคม 2553 เป็นการฝึกอบรมภาควิชาการและการฝึกซ้อมในที่บังคับการ ที่วิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย วิทยาเขตภูเก็ต และวันที่ 24 ธันวาคม 2553 เป็นการฝึกซ้อมภาคสนามแบบเต็มรูปแบบ ที่บริเวณปลายแหลมสะพานหิน อ.เมืองภูเก็ต และการฝึกการส่งต่อผู้ป่วยที่ท่าอากาศยานภูเก็ต ซึ่งคณะนี้ฝ่ายต่างๆ ได้เตรียมความพร้อมไปได้แล้วระดับหนึ่ง ซึ่งหลังการฝึกซ้อมเสร็จแล้วจะทำให้การประสานงานขของหน่วยต่างๆ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นายนิวิทย์ กล่าว



ม.อ.จัดประชุมวิชาการ ม.อ.ภูเก็ตวิจัย



เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 53 ที่ห้องประชุมหลวงอนุภาษภูเก็ตการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) วิทยาเขตภูเก็ต รศ.ดร.บุญสม ศิริบำรุงสุข อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นประธานเปิดงานการประชุมวิชาการ ม.อ.ภูเก็ตวิจัย ครั้งที่ 3 สหวิทยาการเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งทางมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต ภูเก็ต จัดขึ้น โดยมีผู้เข้าร่วมประกอบด้วย ผู้บริหาร นักวิชาการ นักวิจัย นักศึกษาจากสถาบันการศึกษาต่างๆ รวมทั้งผู้สนใจทั่วไป

ซึ่งกิจกรรมหลักนอกจากจะเป็นการเสนอผลงานวิจัยแล้ว ยังมีการบรรยายพิเศษโดยองค์ปาฐกและวิทยากรรับเชิญ สัมมนาทางวิชาการและการอภิปรายกลุ่มย่อยในหัวข้อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาในระดับนานาชาติทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี เป็นต้น กิจกรรมฝึกอบรมด้านการบริการและการท่องเที่ยว กิจกรรมอบรมและแข่งขันตอบปัญหาทางวิชาการด้านไอซีที การฝึกอบรมอาชีพ นิทรรศการทางวิชาการ ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ การประกวดการอ่านกลอนภาษาจีน การแสดงโครงงานของนักศึกษา ตลอดจนการเผยแพร่ผลงานการวิจัยโดยโปรเตอร์ และการมอบรางวัลผลงานวิจัยดีเด่นในกลุ่มสาขาต่างๆ ซึ่งานจะจัดไปจนถึงวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้

รศ.ดร.ปรารถนา กาลเนาวกุล คณบดีคณะการบริการและการท่องเที่ยว ม.อ.ภูเก็ต กล่าวว่า การจัดงานดังกล่าว เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพันธกิจในอันที่จะผสมผสานและประยุกต์ความรู้ที่มีการวิจัยเป็นฐานไปสู่การสอนเพื่อสร้างปัญญา คุณธรรม สมรรถนะและโลกทัศน์สากลให้แก่บัณฑิต เป็นการกระตุ้น ส่งเสริมให้มีการผลิตงานวิจัยคุณภาพในหมู่นักศึกษา อาจารย์และบุคลากรของมหาวิทยาลัย โดยการจัดให้มีเวที เพื่อเผยแพร่งานวิจัย เป็นการเพิ่มโอกาสให้นักวิจัย นักศึกษา และประชาชนทั่วไปในพื้นที่ได้รับประโยชน์จากกิจกรรมทางวิชาการของมหาวิทยาลัยมากขึ้น รวมทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ในด้านงานวิจัยและพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน โดยมีการนำเสนองานวิจัยทั้งสิ้น 97 เรื่อง ใน 4 สาขาวิชา ได้แก่ สาขาการบริการและการท่องเที่ยว สาขามนุษยศาสตร์/สังคมศาสตร์/วิเทศศึกษา สาขาวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ และสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์

ทั้งนี้ ม.อ.กำหนดวิสัยทัศน์ที่จะเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในระดับภูมิภาคเอเชีย ทำหน้าที่ผลิตบัณฑิต บริการวิชาการ และทำนุบำรุงวัฒนธรรม โดยมีการวิจัยเป็นฐาน ในการดำเนินงานนั้น มหาวิทยาลัยมีเป้าประสงค์ที่สำคัญอยู่ในลำดับแรก คือเพื่อเสริมสร้างคุณค่างานวิจัยให้เป็นแก่นความรู้เฉพาะทางที่เป็นเลิศ และพัฒนาให้เกิดรูปธรรมของนวัตกรรม สำหรับขับเคลื่อนอนาคต และก้าวสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำ ตลอดจนเสาะหาวิชาอันก่อเกิดเป็นทุนวิชาการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนสู่มหาวิทยาลัยวิจัย สามารถถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีเพื่อยกระดับศักยภาพชุมชนเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระดับนานาชาติ รศ.ดร.ปรารถนากล่าว


วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สภ.กะทู้รณรงค์สวมหมวกนิรภัย 100%


เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 53 ที่บริเวณสนามฟุตบอลเทศบาลเมืองป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดโครงการรณรงค์สวมหมวกนิรภัย 100% ของสถานีตำรวจภูธรกะทู้ ตามโครงการรณรงค์สวมหมวกนิรภัยในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ต 100% ซึ่งทางสถานีตำรวจภูธรกะทู้ ร่วมกับเทศบาลเมืองป่าตองจัดขึ้น โดยมีพ.ต.อ.โกมล วัตรากรณ์ รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พ.ต.อ.อารยะพันธ์ พุกบัวขาว ผกก.สภ.กะทู้ นายศิริพัฒ พัฒกุล นายอำเภอกะทู้ นายเปี่ยน กี่สิ้น นายกเทศมนตรีเมืองป่าตอง นายประสาน ยอดต่อ นายชัยรัตน์ สุขบาล รองนายกเทศมนตรีเมืองป่าตอง เครือข่ายภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ เช่น เทศบาลเมืองป่าตอง โรงเรียนบ้านไสน้ำเย็น บริษัท พิโซน่ากรุ๊ป จำกัด ชมรมจักรยานยนต์รับจ้าง เป็นต้น เข้าร่วมจำนวนประมาณ 1,300 คน ทั้งนี้ก่อนพิธีเปิดได้ถานีตำรวจภูธรเมืองันที่ 16 พ.ับคำชื่นชมจัดให้มีเดินขบวนรณรงค์ซอยตัน ถนนผังเมืองสาย ก และสิ้นสุดที่บริเวณสนามฟุตบอลเทศบาลเมืองป่าตอง รวมระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร

พ.ต.อ.อารยะพันธ์ พุกบัวขาว ผกก.สภ.กะทู้ กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ตำบลป่าตองมีทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างประเทศ หลั่งไหลกันเข้ามาท่องเที่ยวในปีละหลายล้านคน ปัญหาการจราจรก็เพิ่มมากขึ้น การควบคุมดูแลแก้ไขปัญหาจราจรให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวให้เกิดความปลอดภัยในขณะใช้รถใช้ถนน ก็มีความยุ่งยากมากขึ้น จำนวนยานพาหนะที่มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่สมดุลกับผิวจราจร ปัจจุบันจังหวัดภูเก็ตมีรถรวมกันทุกประเภทประมาณ 297,645 คัน ในจำนวนนี้เป็นรถจักรยานยนต์ จำนวน 208,183 คัน เฉลี่ยประชาชน 1 คน ต่อรถ 1 คัน สูงสุดในประเทศไทย ส่งผลให้มีอัตราผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตติดอันดับ 1-5 ของประเทศมาเป็นเวลาติดต่อกันหลายปี ทั้งจังหวัดมีผู้บาดเจ็บ 33-35 คนต่อวัน เสียชีวิต 15-16 คนต่อเดือน

“สถานีตำรวจภูธรกะทู้ ได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับปัญหาดังกล่าวเป็นอย่างมาก จึงได้หารือร่วมกับคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ หรือ กต.ตร.สถานีตำรวจภูธรกะทู้ เพื่อแก้ไขปัญหาและลดอุบัติเหตุการจราจรบนท้องถนนในพื้นที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสูญเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ ซึ่งในแต่ละปีเกิดขึ้นสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้าย ก็มีอัตราเสี่ยงการสูญเสียพอๆ กัน และจากการวิเคราะห์พบว่าอุบัติเหตุจราจรในปัจจุบันเกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบสูงมาก อีกทั้งตามคำสั่งตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตให้ดำเนินการจัดทำโครงการรณรงค์สวมหมวกนิรภัยในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ต 100% ขึ้น”

พ.ต.อ.อารยะพันธ์ กล่าวด้วยว่า การจัดกิจกรรมเดินรณรงค์นั้น เพื่อปลูกฝังให้ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะในเขตพื้นที่รับผิดชอบของสถานีตำรวจภูธรกะทู้ ตระหนักถึงความปลอดภัยบนท้องถนน ตลอดจนเพื่อลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุจราจร โดยเฉพาะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากรถจักรยานยนต์ ปลูกฝังวินัยจราจร ปลุกจิตสำนึกและค่านิยมที่ถูกต้องแก่ผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ โดยเฉพาะเด็กนักเรียน นักศึกษา ครูอาจารย์และผู้ปกครอง กลุ่มผู้ประกอบอาชีพรถจักรยานยนต์สาธารณะ และผู้โดยสารซ้อนท้าย ตลอดรวมถึงนักท่องเที่ยวและประชาชนโดยทั่วไปที่ใช้รถจักรยานยนต์ ให้คำนึงถึงความปลอดภัยและปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด และเพื่อเป็นพื้นที่บังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการสวมหมวกนิรภัยของผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์

อย่างไรก็ตามเพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน ได้กำหนดมาตรการดำเนินการ 2 ระยะ คือ ระยะแรกเป็นมาตรการประชาสัมพันธ์ ระหว่างเดือนกันยายน-พฤศจิกายน 2553 ผ่านทางสื่อต่างๆ เช่น วิทยุ หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ การแจกจ่าย เอกสาร แผ่นปลิว แผ่นพับ การประกาศประชาสัมพันธ์ เป็นต้น นอกจากนั้นยังได้ส่งหนังสือถึงหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ หน่วยงาน องค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งการประชุมอบรมกลุ่มอาชีพหรือกลุ่มบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้รถจักรยานยนต์ เช่น กลุ่มนักเรียน-นักศึกษา และกลุ่มผู้ประกอบอาชีพรถจักรยานยนต์สาธารณะ ทั้งห้างสรรพสินค้า โรงแรม สถานบริการ เป็นต้น เพื่อให้รับทราบแนวทางการปฎิบัติ และมาตรการระยะที่ 2 เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน เป็นต้นไป จะเป็นมาตรการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยมุ่งเน้นบังคับใช้ทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ให้สวมหมวกนิรภัย 100% ผกก.สภ.กะทู้ กล่าว


“ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า 2010”


เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 53 ที่ห้องประชุมชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต (หลังใหม่) นายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ร่วมกับนางบังอรรัตน์ ชินะประยูร ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศ (ททท.) สำนักงานภูเก็ต นายดังแคน เวอร์ซิงเทอร์ คณะกรรมการจัดงานภูเก็ตคิงส์คัพ รีกัตต้า ครั้งที่ 24 แถลงข่าวการจัดมหกรรมแข่งขันเรือใบชิงถ้วยพระราชทานภูเก็ตคิงส์คัพรีกัตตา ครั้งที่ 24 ซึ่งกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-11 ธันวาคมนี้ บริเวณหาดกะตะ อ.เมือง จ.ภูเก็ต

นายนิวิทย์ กล่าวว่า การแข่งขันเรือใบชิงถ้วยพระราชทาน ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า จัดขึ้นในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ดำเนินการโดยคณะกรรมการจัดการจัดงานแข่งขันเรือใบชิงถ้วยพระราชทาน ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า ซึ่งอยู่ภายใต้สโมสรเรือใบราชวรุณในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับสมาคมแข่งเรือใบแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กองทัพเรือ และจังหวัดภูเก็ต โดยปีนี้เป็นปีที่ 24 และผลจากการจัดแข่งขันต่อเนื่องมายาวนาน ทำให้ได้รับการประกาศให้เป็นรายการแข่งขันรีกัตต้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเอเชีย หรือ Asian Regatta of The Year จากงาน Asia Marine & Boating Awards ประจำปี 2010 นอกเหนือจากการที่จังหวัดภูเก็ตได้รับการโหวตให้เป็นนครแห่งการท่องเที่ยวทางทะเลของเอเชีย หรือ Best Asian Maritime Capital จากงาน 2010 Asia Boating Awards

“การแข่งขันในรายการนี้ ถือว่าเป็นมหกรรมการแข่งขันเรือใบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย แต่ละปีจะมีเรือใบจากทั่วโลกเข้าร่วมกว่า 100 ลำ พร้อมทัพนักกีฬากว่า 2,000 คน สำหรับในปีนี้ได้มีเรือใบตอบรับเข้าร่วมการแข่งขันแล้ว 97 ลำ จากทุกทวีปทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคเอเชีย เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ จีน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์และประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพ”

นายนิวิทย์ กล่าวด้วยว่า การแข่งขันในปี 2552 ที่ผ่านมาถือเป็นบันทึกประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของการแข่งขันคิงส์คัพรีกัตต้าด้วย เนื่องจากมีจำนวนเรือใบเข้าร่วมถึง 111 ลำจากกว่า 30 ประเทศทั่วโลก และในช่วงการแข่งขันดังกล่าวทำให้มีเงินสะพัดในพื้นที่สูงถึง 40 ล้านบาท เฉพาะห้องพักและการจับจ่ายในช่วงสัปดาห์ของการแข่งขัน หากรวมเรื่องการเดินทางด้วยเครื่องบิน การเดินทางทั่วไป การท่องเที่ยวระยะสั้นและค่าใช้จ่ายอื่นๆแล้ว พบว่าเศรษฐกิจจะส่งผลบวกในท้องถิ่นสูงกว่า 100 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามนายนิวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการแข่งขันในปีนี้พิเศษกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา เนื่องจากจะมีการจัดการแข่งขันเรือใบประเภทอ็อฟติมิสต์ สำหรับนักแล่นใบเยาวชน ภายใต้ชื่อรายการภูเก็ตดิงกี้ ซีรี่ย์ ซึ่งทำการแข่งขัน 4 ครั้ง และเริ่มมาตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา ครั้งสุดท้ายจะแข่งในสัปดาห์แรกของงานภูเก็ต คิงส์คัพรีกัตต้า โดยได้รับความสนใจจากเยาวชนหลายจังหวัดเข้าร่วม เช่น ชลบุรี สงขลา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พังงา ภูเก็ต เป็นต้น

อบรมเยาวชนต้านภัยยาเสพติด


เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 53 ที่ ห้องประชุม โรงเรียนเทศบาลพิบูลสวัสดี นายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมเยาวชนสัมพันธ์ต้านภัยยาเสพติด รุ่นที่ 2/2553 โดยมี นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมือง ภูเก็ต นายชัยพฤกษ์ พันธุ์พฤกษ์ รองนายกเทศมนตรีนครภูเก็ต หน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน เข้าร่วม

นายนิวิทย์ กล่าวว่า ยาเสพติดนับเป็นภัยที่คุกคามและบ่อนทำลายประเทศชาติ การขจัดภัยยาเสพติดให้ได้ผลอย่างยั่งยืนต้องอาศัยการผนึกพลังของทุกภาคส่วน รัฐบาลได้เห็นถึงความสำคัญดังกล่าวจึงได้กำหนดให้การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วนที่จะต้องเร่งดำเนินการ โดยได้กำหนดยุทธศาสตร์หลักในการแก้ไขปัญหายาเสพติด คือ “ยุทธศาสตร์ 5 รั้วป้องกัน” เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ปัญหายาเสพติดให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ สร้างภูมิคุ้มกัน และกระบวนการทำงานร่วมกันทั้งภาครัฐและประชาชน อย่างครบวงจร ป้องกันจุดอ่อนและสร้างเกราะป้องกันที่สกัดกั้นไม่ให้ยาเสพติดรุกล้ำเข้ามา

ทั้งนี้ สถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ตและเทศบาลนครภูเก็ต จึงได้ร่วมกันจัดให้มีโครงการฝึกอบรมเยาวชนสัมพันธ์ต้านภัยยาเสพติดขึ้นเพื่อเป็นวัคซีน ป้องกันไม่ให้เยาวชนเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดโดยเด็ดขาด ให้เยาวชนเป็นพลเมืองดี มีทัศนคติที่ถูกต้อง ยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้เยาวชนเป็นผู้เคารพกฎหมาย ระเบียบ และเคารพสิทธิของผู้อื่น เป็นการรวมพลังให้เยาวชนมีความสามัคคี ในการต้านภัยยาเสพติด รู้จักรวมกลุ่มเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม รู้จักการเสียสละเพื่อบำเพ็ญตนให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะทั่วไป และสร้างความสัมพันธ์อันดี ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ฝ่ายการศึกษา เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง นักเรียน และประชาชนในพื้นที่ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งโครงการนี้ได้จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 15-19 พฤศจิกายน 2553 มีผู้เข้ารับการฝึกอบรม จำนวน 213 คน เป็นนักเรียนจากโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครภูเก็ต 6 แห่ง ประกอบด้วย โรงเรียนเทศบาลบ้านบางเหนียว โรงเรียนเทศบาลเมืองภูเก็ต โรงเรียนเทศบาลปลูกปัญญาฯ โรงเรียนเทศบาลบ้านสามกอง โรงเรียนเทศบาลขจรรังสรรค์ และโรงเรียนเทศบาลพิบูลสวัสดี และเจ้าหน้าที่ พี่เลี้ยง ครูฝึก รวม 300 คน สถานที่ฝึกอบรมได้รับความอนุเคราะห์จากโรงเรียนเทศบาลพิบูลสวัสดี


พัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว


เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 53 ที่ห้องรายา โรงแรมรอยัลภูเก็ตซิตี้ นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดการอบรมเพื่อพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต โดยมีนายประเสริฐ มนประสิทธิ์ ประธานชมรมบริหารงานบุคคลจังหวัดภูเก็ต และส่วนราชการ ผู้เข้าร่วมอบรมจากโรงแรมต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ต

ทั้งนี้นายประเสริฐ กล่าวว่า การจัดอบรมสัมมนาทางวิชาการหลักสูตร “การบริหารงานทรัพยากรมนุษย์สำหรับหัวหน้างาน/ผู้บริหาร” HR for Non-HR เป็นการจัดฝึกอบรมเพื่อพัฒนาบุคคลากรด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต และเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ เรื่องการบริหารทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งฝึกทักษะที่เกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรของหัวหน้างานหรือผู้บริหาร ซึ่งนอกจากผู้บริหารฝ่ายบุคคลจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในการบริหารงานทรัพยากรมนุษย์แล้ว ผู้บริหารในฝ่ายงานอื่นๆก็จำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจในการบริหารงานทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในบทบาทที่สำคัญในการบริหารทรัพยากรบุคคล ในส่วนของตนเอง และสามารถทำงานร่วมกันกับฝ่ายทรัพยากรบุคคลได้ อันจะส่งผลให้เกิดการบริหารงานทรัพยากรมนุษย์เกิดประสิทธิภาพ บรรลุตามเป้าหมายแห่งการให้บริการที่ดีที่สุด และสามารถแข่งขันกับประเทศที่เป็นคู่แข่งทางการท่องเที่ยวและยืนยันอยู่ในตลาดการท่องเที่ยวโลก

ทางด้านนายไพบูลย์ กล่าวว่า การฝึกอบรมเพื่อพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต หลักสูตร “การบริหารงานทรัพยากรมนุษย์สำหรับหัวหน้างาน/ผู้บริหาร” จังหวัดภูเก็ตถือเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีความสวยงามทางธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และการบริการที่ดีงามเป็นจุดขายที่มีชื่อเสียงในตลาดท่องเที่ยวโลก จึงจำเป็นที่นักท่องเที่ยวต้องได้รับการบริการที่ดี เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและสร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยว พร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจให้ตลาดท่องเที่ยวทั้งใหม่และเก่าหันกลับมาท่องเที่ยวยังจังหวัดภูเก็ตมากขึ้น ซึ่งบุคลากรทางด้านการท่งเที่ยวมีบทบาทสำคัญในการให้บริการและสร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยว แต่การบริการที่มีประสิทธิภาพนั้น ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการที่ดีของผู้ประกอบการท่องเที่ยว


วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ตร.เมืองรวบผู้ค้ายาบ้าได้ของกลาง 2,600 เม็ด


เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 53 ที่ห้องประชุมชั้น 2 สภ.เมือง ภูเก็ต พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พร้อมด้วยพ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมือง ภูเก็ต และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมนางสาวนัฎสุดา นาคประสิทธิ์ อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 118/1 ม.16 ต.ท่าผา อ.บ้านโป่ง ราชบุรี และนายนเรศ ระดมกิจ อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 118/2 ม.16 ต.ท่าผา อ.บ้านโป่ง ราชบุรี พร้อมด้วยของกลางยาบ้าจำนวน 2,600 เม็ด โทรศัพท์มือถือจำนวน 2 เครื่อง จยย.ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นฟิโน่ สีน้ำตาล – ขาว หมายเลขทะเบียน ขตษ 430 ภูเก็ต ในข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 ยาบ้า ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย

ทั้งนี้พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต ได้กล่าวว่า เนื่องจากเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้สืบทราบว่า จะมีคนนำยาบ้ามาส่งและจำหน่ายบริเวณลานจอดรถห้างบิ๊กซี ทางเจ้าหน้าที่จึงได้วางแผนจับกุมตามข้อมูลที่ได้รับแจ้ง โดยเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวนางสาวนัฎสุดา นาคประสิทธิ์ ได้พร้อมด้วยยาบ้าจำนวน 400 เม็ด จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ทำการควบคุมตัวไปทำการสอบสวน จนกระทั่งทราบว่า ได้มียาบ้าบางส่วนได้เก็บได้ที่ บ้านเฟื่องฟ้า ห้องพักเลขที่ 103 และ 408 ม.3 ต.รัษฎา อ.เมือง ภูเก็ต ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ควบคุมตัวไปทำการตรวจค้นที่ห้องพักดังกล่าว เจ้าหน้าที่พบตัวนายนเรศ ระดมกิจ อยู่ในห้องพัก และจากการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ พบยาบ้าอีกจำนวน 2,200 เม็ด อยู่ภายในห้องพัก 408 จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ควบคุมตัวมาสอบสวนขยายผลถึงยาบ้าที่ได้มา

จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ก็ทราบว่า ยาบ้าทั้งหมดทั้ง 2 ไปรับมาจากที่คิวรถบขส.โดยมีนายแดง เป็นผู้โทรศัพท์มาให้ไปรับ แล้วนำไปส่งลูกค้า ตามที่ได้มีการนัดหมายเอาไว้ แต่ก็มาโดนเจ้าหน้าที่จับกุม ก่อนที่จะถูกนำตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


สภาฯ ทต.รัษฎาเห็นชอบจ่ายเงินสะสมกว่า 10 ล้านบาท


เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 53 ที่ห้องประชุมสภาเทศบาลตำบลรัษฎา นายชาติชาย เชื้อชิต ประธานสภาเทศบาลตำบลรัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต เป็นประธานการประชุมสภาเทศบาลตำบลรัษฎา สมัยสามัญ สมัยที่ 4 ประจำปี 2553 โดยมีนายสุรทิน เลี่ยนอุดม นายกเทศมนตรีตำบลรัษฎา นายอำพล โอ่อาจ นายเชาวเลิศ จิตต์จำนง รองนายกเทศมนตรีตำบลรัษฎา สมาชิกสภาฯ ข้าราชการ พนักงานเทศบาลตำบลรัษฎา ตลอดจนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และตัวแทนประชาชนตำบลรัษฎา ร่วมรับฟังการประชุม

ทั้งนี้ได้มีการเสนอญัตติต่างๆ ให้ที่ประชุมร่วมกันพิจารณา ได้แก่ การขอรับโอนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาภูเก็ต โรงเรียนบ้านกู้กู ซึ่งสภาฯ ได้ให้ความเห็นชอบ เช่นเดียวกับการขอความเห็นชอบรับมอบสาธารณูปโภคถนนไฟฟ้าสาธารณะ หมู่บ้านเกียรติสินธุ หมู่ที่ 2 ต.รัษฎา

นอกจากนี้สภาฯ ยังให้การอนุมัติจ่ายขาดเงินสะสมโครงการก่อสร้าง ค.ส.ล.พร้อมรางระบายน้ำ ค.ส.ล.ซอยหมู่บ้านธรณีทอง หมู่ที่ 2 จำนวนเงิน 689,000 บาท เนื่องจากพื้นที่บริเวณซอยธรณีทองด้านในสุดเป็นเนินเขาสภาพถนนหินคลุก เมื่อฝนตก ดิน ทรายมักจะไหลหลากลงมาเกลื่อนถนนส่วนที่ต่ำกว่า และยังไปอุดตันคูระบายน้ำเป็นประจำ ทำให้ประชาชนต้องคอยกวาดถนน และลอกคูระบายน้ำเพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดอุบัติเหตุแก่ประชาชนที่สัญจรไป-มาได้, อนุมัติจ่ายขาดเงินสะสมโครงการก่อสร้างถนนลาดยางแอสฟัลท์ติกคอนกรีต พร้อมเสริมผิวจราจรแอสฟัลท์ติกคอนกรีต ซอยไกรศาสตร์ หมู่ 3 จำนวนเงิน 907,000 บาท ด้วยสภาพผิวจราจรซอยไกรศาสตร์ มีสภาพทรุดโทรม ผิวจราจรเดิมหมดอายุการใช้งาย หลุดร่อน เป็นหลุมเป็นบ่อขนาดใหญ่

อนุมัติจ่ายขาดเงินสะสม โครงการปรับปรุงคูระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก การเคหะฯ หมู่ 7 จำนวนเงิน 1,340,000 บาท, อนุมัติจ่ายขาดเงินสะสมโครงการก่อสร้างทางระบายน้ำลงขุมน้ำเทศบาล หมู่ที่ 5 จำนวนเงิน 283,000 บาท ด้วยบริเวณพื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งรับน้ำในช่วงฤดูฝนหลาก จะมีปริมาณน้ำจำนวนมากไหลลงมาจากเทือกเขาพันธุรัตน์ ลงสู่ขุมน้ำซอยพะเนียง ซึ่งมีความลาดชันต่างระดับกันมาก ประมาณ 6.00 เมตรจึงทำให้เกิดการกัดเซาะริมตลิ่งของขุมน้ำ ทำให้ถนนรอบขุมน้ำขาด

อนุมัติจ่ายขาดเงินสะสม โครงการก่อสร้างพื้นสนามรองรับผิวฟุตซอล โรงเรียนบ้านทุ่งคา “บุญยขจรประชาอาสา” หมู่ 5 จำนวเงิน 2,855,000 บาท, อนุมัติจ่ายขาดเงินสะสม โครงการก่อสร้างพื้นสนามรองรับผิวฟุตซอยสวนกาญจนาภิเษก การเคหะฯ หมู่ 7 จำนวนเงิน 4,042,000 บาท, อนุมัติจ่ายขาดเงินสะสม โครงการปรับปรุงสนามเด็กเล่น หมู่บ้านอิรวดี หมู่ 5 จำนวนเงิน 500,000 บาท เนื่องจากมีประชาชนอาศัยเป็นจำนวนมาก มีพื้นที่ว่างในหมู่บ้าน แต่มีสภาพรกเรื้อไปด้วยต้นไม้และวัชพืช ไม่มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจให้เยาวชนและประชาชนในหมู่บ้านใช้ทำกิจกรรมร่วมกัน และอนุมัติจ่ายขาดเงินสะสม โครงการติดตั้งระบบกรองน้ำและระบบน้ำพุ สำนักงานเทศบาลตำบลรัษฎา หมู่ 3 จำนวน 560,000 บาท



ออมสินเปิดสาขาสามกอง ภูเก็ต


เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2553 ที่อาคารเลขที่ 371/51-54 ถ.เยาวราช ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดธนาคารออมสิน สาขาสามกอง โดยมีพล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต นายสุทธิ สัตตบงกช ผู้ช่วยผู้อำนวยการธนาคารออมสิน สายงานกิจการสาขา 6 ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารออมสิน หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ หน่วยงานพันธมิตรของธนาคาร ตลอดจนประชาชนทั่วไปเข้าร่วม ในโอกาสเดียวกันนี้ยังได้มีการมอบเงินกู้สินเชื่อเคหะ และสินเชื่อ SMEs ให้กับลูกค้าจำนวน 5 ราย ด้วย

นายสุทธิ สัตตบงกช ผู้ช่วยผู้อำนวยการธนาคารออมสิน สายงานกิจการสาขา 6 กล่าวว่า สำหรับสาขาสามกอง เป็นสาขาลำดับที่ 39 ในพื้นที่รับผิดชอบของธนาคารออมสินภาค 16 ซึ่งดูแลรับผิดชอบพื้นที่ 5 จังหวัดภาคใต้ตอนบน ได้แก่ ภูเก็ต พังงา สุราษฎร์ธานี ชุมพรและระนอง เป็นสาขาที่ 6 ในจังหวัดภูเก็ต โดยเป็นสาขาลำดับที่ 680 ของธนาคารออมสินทั่วประเทศ ทั้งนี้เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และประชาชนทั่วไปในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงให้ได้รับบริการทางการเงินในรูปแบบต่างๆ อย่างหลากหลาย

“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาธนาคารออมสินได้ปรับปรุง สร้างสรรค์บริการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของการให้บริการเงินฝาก สินเชื่อต่างๆ ที่สามารถตอบสนองความต้องการแก่ลูกค้าและประชาชนในทุกวัยและทุกระดับ พร้อมนำเทคโนโลยีทันสมัยมาเสริมสร้างศักยภาพการให้บริการ อาทิ การรับฝากสลากออมสินทางอินเตอร์เน็ต รถเคลื่อนที่ให้บริการทางระบบ GPRS ขยายติดตั้งตู้เอทีเอ็มตามแหล่งชุมชน ในขณะเดียวกันได้ปลูกฝังนิสัยการออมในกลุ่มเยาวชน และประชาชนทั่วไป ดำเนินงานเพื่อสังคมและชุมชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง”

นายสุทธิ กล่าวว่า ปัจจุบันธนาคารออมสินยังคงมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพการให้บริการ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลุกค้าทุกระดับให้ครอบคลุมในทุกวัตถุประสงค์ การให้ความสำคัญกับลูกค้าในลักษณะ Customer Centric ส่งผลให้ธนาคารมีความก้าวหน้าในการดำเนินงานหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการขยายเครือข่ายการให้บริการ ด้านการพัฒนาธุรกิจสินเชื่อ การลงทุน ด้านภาพลักษณ์องค์กร รูปแบบสาขาและสาขาย่อยที่ทันสมัย ด้านการดำเนินงานเพื่อสังคมและชุมชนตลอดมา ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของธนาคารที่มุ่งสู่การเป็นสถาบันการเงินที่มั่นคง เพื่อการออม การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมของประเทศ โดยเป็นผู้นำในการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก