จำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ

วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ขบวนแห่พระวันสุดท้าย เป็นของศาลเจ้าหล่อโรง


ขบวนแห่พระวันสุดท้าย เป็นของศาลเจ้าหล่อโรง

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศถือศีลกินผักของจังหวัดภูเก็ต ซึ่งวันนี้ (16 ต.ค.) เป็นวันสุดท้าย โดยในช่วงเช้าที่ผ่านมาเป็นขบวนแห่พระรอบเมืองของศาลเจ้าหล่อโรง (ศาลเจ้าซุ่ยบุ่นต๋อง) กับศาลเจ้าบางคู (ศาลเจ้าซำไป่กอง) ซึ่งยังคงได้รับความสนใจจากประชาชนทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นอย่างมาก โดยมีนักท่องเที่ยวบางประเทศมาด้วยรถบัสเป็นกรุ๊ปทัวร์ขนาดใหญ่ เช่น จีน ฮ่องกง มาเลเซีย เป็นต้น ในส่วนของประชาชนและบริษัทห้างร้านต่างๆ ที่มีขบวนพระแห่ผ่านยังคงมีการตั้งโต๊ะบูชาและจุดประทัดต้อนรับขบวนแห่พระส่งผลให้ในเขตตัวเมืองเต็มไปด้วยควันและเสียงประทัด

อย่างไรก็ตามในส่วนของม้าทรงซึ่งมีทั้งชายและหญิงก็ยังคงมีการใช้อาวุธหรือวัสดุต่างๆ เช่น เหล็กแหลม มีดดาบขนาดใหญ่ เป็นต้น ทิ่มแทงตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เนื่องจากมีความเชื่อว่าเป็นการรับเคราะห์แทนผู้เข้าร่วมประเพณีถือศีลกินผัก

สำหรับในช่วงค่ำตามศาลเจ้าต่างๆ ก็จะมีการประกอบพิธีสะเดาะเคราะห์ให้กับผู้ร่วมประเพณีถือศีลกินผัก และจะมีพิธีส่งพระในเวลาเที่ยงคืน ทั้งนี้ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำจนถึงก่อนเที่ยงคืนในตัวเมืองภูเก็ตจะเต็มไปด้วยเสียงและควันประทัด ที่ผู้คนร่วมกันจุดใส่ขบวนแห่พระของศาลเจ้าต่างๆ ในเขตตัวเมืองภูเก็ตที่จะไปประกอบพิธีส่งพระที่บริเวณปลายแหลมสะพานหิน ขณะเดียวกันก็จะมีพ่อค้าแม้ค้ารถเข็นและรถพ่วงข้างเริ่มนำอาหารคาวมาจำหน่ายให้ผู้ที่เสร็จสิ้นการถือศีลกินผักเป็นจำนวนมากด้วย โดยเฉพาะตรงบริเวณปลายแหลมสะพานหิน



“ชวน” ยอมรับห่วงคดียุบพรรคมาตลอด แต่พอใจผลการไต่สวนที่ผ่านมา


นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่ จ.ภูเก็ต เกี่ยวกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ในวันที่ 18 ตุลาคมนี้จะมีการนัดสืบพยานอีกครั้งซึ่งรวมทั้งนายกรัฐมนตรีด้วย ต่อจากนั้นก็คงจะต้องรอว่าทางศาลให้ดำเนินการเช่นไร หากสืบพยานเสร็จและไม่มีอะไรเพิ่มเติมก็คงจะให้เวลาในการยื่นแถลงการณ์เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งก็ต้องรออีกเช่นกันว่าศาลจะกำหนดระยะเวลากี่วัน หลังจากนั้นหากไม่มีอะไรเพิ่มเติมก็คงจะมีการนัดฟังคำวินิจฉัยตัดสินได้

“ความมั่นใจของทีมที่กฎหมายก็มีความพอใจ แต่ได้มีขอร้องและห้ามทุกคนในทีมกฎหมายว่าอย่าไปพูดอะไรก็ตามที่จะเป็นการไม่ให้เกียรติกับศาล เช่น คดีนี้สบาย รอดยุบแน่ เป็นต้น เพราะจะทำให้เกิดความกดดันขึ้นอย่างที่เห็นและเป็นที่ทราบกันอยู่ที่มีความพยายามของบางฝ่ายทำให้เกิดความกดดันกับศาล เช่น การใช้คำว่าหากประชาธิปัตย์ชนะก็แสดงว่ากระบวนการยุติธรรมมี 2 มาตรฐาน หรือหากไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์แสดงว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่ยุติธรรม เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องไม่ควรพูด โดยที่ผ่านมาได้พยายามออกมาปรามเสมอว่าทุกคนควรให้เกียรติกับกระบวนการยุติธรรม เพราะเมื่อเรายอมรับการปกครองในระบบนี้ และยอมรับกระบวนการศาลยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง เราก็ต้องยอมรับกระบวนการในการตัดสินของท่าน เพียงแต่บทบัญญัติของศาลรัฐธรรมนูญไม่มีข้อที่เกี่ยวกับการละเมิดอำนาจศาล จึงทำให้หลายคนใช้วาจาที่ไม่เหมาะสม และมีการพาดพิงไปถึงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ”

นายชวน กล่าวว่า เสียดายที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 ท่าน จาก 9 ท่าน ที่ต้องถอนตัวออกไปเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ น่าเสียดายตรงที่มีคนพยายามที่เรียกว่าใช้การฝ่าไฟแดง คือ การพูดโดยยอมให้ถูกฟ้อง ซึ่งจะกลายเป็นคู่กรณีกันไป เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านตุลาการศาลฯ จึงต้องถอนตัว เพราะไม่อยากที่จะให้เกิดปัญหาขึ้น ดังนั้นปัจจุบันตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจึงเหลือเพียง 7 ท่าน แต่ส่วนตัวคณะทำงานพอใจผลการพิจารณาคดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน

สิ่งที่เป็นห่วงในคดีนี้นั้น นายชวนกล่าวว่า มีความเป็นห่วงอยู่เสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่เข้ามารับทำหน้าที่ตรงนี้ใหม่ๆ หนักใจมาก โดยเฉพาะเรื่องของเอกสารซึ่งมีเป็นจำนวนนับพันหน้ากระดาษ และได้ให้เนติบัณทิตรุ่นใหม่มาช่วยอ่านเอกสารดังกล่าวเพื่อให้ข้อสังเกตซึ่งใช้เวลาค่อนข้างมาก เนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นในสมัยที่นายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรคฯ และมาถูกฟ้องในสมัยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคฯ ซึ่งตนก็ไม่ค่อยทราบรายละเอียดมากนัก ก็ต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ แต่โชคดีที่ได้เชิญนายบัญญัติ มาร่วมในคณะทำงานด้วย รวมถึงทนายที่เคยทำเรื่องนี้เป็นหลัก และนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ มาช่วยอีกแรง แต่อย่างไรก็ตามผลจากการไต่สวนวันแรกจนถึงปัจจุบันทุกคนในคณะทำงานพอใจ


พมจ.ภูเก็ตมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวเดือดร้อน


เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 53 ที่ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอถลาง จ.ภูเก็ต นางอัญชลี วานิช เทพบุตร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวประชาชนที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนในพื้นที่ อ.ถลาง จ.ภูเก็ต จำนวน 81 ครอบครัว ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการโดยสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดภูเก็ต

นางสาวพรรณี สิทธิการ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจและสังคมไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากภาวะดังกล่าวที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อสังคมและเป็นเหตุให้หลายๆครอบครัว ประสบปัญหาในการดำรงชีวิต การประกอบอาชีพและรายได้ ทางกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งมีหน้าที่ในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของสถาบันครอบครัวและชุมชน จึงได้จัดสรรงบประมาณให้กับจังหวัดภูเก็ตในการช่วยเหลือครอบครัวที่ประสบปัญหาความเดือดร้อน และประสบเหตุเคราะห์กรรมต่างๆ เช่น หัวหน้าครอบครัวเสียชีวิต ถูกทอดทิ้ง หายสาบสูญ ต้องโทษจำคุก เจ็บป่วยร้ายแรง พิการจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ มีรายได้น้อยไม่เพียงพอแก่การดำรงชีพ และมีบุตรหลานอยู่ในการปกครองและกำลังศึกษาอยู่ ในครั้งนี้ได้ดำเนินการนำเงินมาช่วยเหลือครอบครัวที่ประสบปัญหาตามเกณฑ์ที่กำหนดจำนวน 81 ครัวเรือน โดยแต่ละครอบครัวจะได้รับเงินจำนวน 1,500 บาท


วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แห่พระศาลเจ้ากะทู้และศาลเจ้ายกเค่เก้งท่ามกลางสายฝน


ขบวนแห่พระศาลเจ้ากะทู้


ขบวนแห่พระของศาลเจ้ายกเค่เก้ง

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 53 ซึ่งเป็นที่ 8 ในประเพณีถือศีลกินผักของจังหวัดภูเก็ต โดยเป็นวันแห่พระใหญ่ของประเพณี โดยทางศาลเจ้ากะทู้ได้ประกอบพิธีเพื่อมาอัญเชิญควันธูป ควันเทียน ที่ทางผู้รู้ได้นำมาจากเมืองกังไส ประเทศจีน ซึ่งเป็นประเพณีที่ได้ปฏิบัติกันมากว่า 200 ปี

โดยในวันนี้ทางศาลเจ้าได้จัดขบวนแห่มากจากศาลเจ้า ผ่ตลาดเก่าบ้านกะทู้ ผ่านเทศบาลเมืองกะทู้ ผ่านบ้านเก็ตโฮ้ มาตามถนนวิชิตสงคราม ผ่านแม็คโค ผ่านสนามสุระกุล โรงเรียนภูเก็ตไทยหัว ตรงเข้าถนนกระบี่ ถนนถลาง เลี้ยวขวาถนนภูเก็ต ผ่านวงเวียนสุรินทร์ ผ่านบ้านบางเหนี่ยว และไปสิ้นสุดที่สะพานหิน ส่วนในช่วงกลับ ก็จะผ่านเส้นทางเดิม ไปจนถึงศาลเจ้า

โดยในขบวนแห่ยังคงมีม้าทรงทั้งชาวและหญิงร่วมขบวนแห่เป็นจำนวนมาก และยังคงมีการใช้วัสดุต่างๆ ที่มีในตำนานและนอกตำนาน เช่น กิ่งไม้ โคมไฟ เป็นต้น ทิ่มแทงตามร่างกาย ด้วยมีความเชื่อว่าเป็นการรับเคราะห์ให้กับผู้ที่เข้าร่วมประเพณีถือศีลกินผัก ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาเป็นระยะ ๆ ทั้งนี้ตลอดเส้นทางที่ขบวนพระแห่ผ่านก็ยังคงมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย-ต่างชาติรอชมเป็นจำนวนมาก โดยส่วนหนึ่งมากันเป็นกรุ๊ปด้วยรถบัสขนาดใหญ่ รวมทั้งยังมีการตั้งโต๊ะบูชาและจุดประทัดดังสนั่นไปทั่วทั้งเมือง นอกจากยังมีขบวนแห่พระรอบเมืองของศาลเจ้ายกเค่เก้ง ซอยพะเนียง


นักลงทุนจีนเตรียมงบร่วมหมื่นล้านลงทุนในประเทศไทย


เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2553 ที่ห้องทำงานผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต พล.ต.สมบัติ รอดโพธิ์ทอง นำนาย Wang Guiyuan ประธาน SHANGMAO GROUP ซึ่งเป็นนักลงทุนจากประเทศจีน พร้อมคณะเข้าพบนายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เพื่อรับทราบแนวทางส่งเสริมการลงทุนของทางจังหวัดภูเก็ต เนื่องจากมีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และเบื้องต้นให้ความสนใจศักยภาพของจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดเชียงใหม่ โดยได้มีการนำเสนอขีดความสามารถของทางบริษัทซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน

นาย Wang Guiyuan ประธาน Shang Mao Group กล่าวว่า มีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยได้ตั้งเงินลงทุนไว้ทั้งสิ้น 10,000 ล้านบาท เบื้องต้นให้ความสนใจจะลงทุนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและจังหวัดเชียงใหม่เป็นหลัก ซึ่งหลังจากพบผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตแล้ว ก็จะเดินทางไปยังจังหวัดเชียงใหม่เพื่อดูลู่ทางการลงทุน

“จากศักยภาพของทางกลุ่มบริษัทซึ่งมีความถนัดการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมที่พัก โดยปัจจุบันได้มีการลงทุนที่เมืองหนานหนิงประเทศสาธารณรับประชาชนจีน ซึ่งก็สอดคล้องกับศักยภาพของภูเก็ตที่เป็นเมืองท่องเที่ยว และมีความเป็นไปได้ที่จะเข้ามาลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อรองรับตลาดการท่องเที่ยวซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา แต่ก็มีสถานที่อยู่ในใจแล้วประมาณ 2-3 แห่ง” นาย Wang Guiyuanกล่าว

ขณะที่นายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ทางจังหวัดภูเก็ตพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ และยินดีต้อนรับนักลงทุนจากต่างชาติอยู่แล้ว โดยสิ่งที่ทางจังหวัดต้องการขณะนี้ไม่ว่าจะจากนักลงทุนไทยหรือต่างชาติ คือ การเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตของท่องเที่ยว โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้ารางเบาจากสนามบินภูเก็ตเข้ามายังตัวเมืองภูเก็ต ซึ่งทางจังหวัดได้มีการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นไว้แล้ว เพื่อแก้ปัญหาทางด้านการจราจรซึ่งปัจจุบันมีเส้นทางหลักในการเข้าออกเมืองเพียงเส้นทางเดียว รวมถึงเพื่อรองรับปริมาณการเติบโตด้านการท่องเที่ยวในอนาคต เนื่องจากขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายท่าอากาศยานภูเก็ตให้สามารถรองรับผู้โดยสารจาก 6.5 ล้านคน เป็น 12.5 ล้านคน รวมถึงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ แต่อย่างไรก็ตามในการเข้ามาลงทุนต่างๆ นั้นก็ให้ความสำคัญในเรื่องของสิ่งแวดล้อมด้วย เพื่อให้เกิดการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ในส่วนของโครงการรถไฟฟ้านั้นก่อนหน้านี้มีนักลงทุนจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เข้ามานำเสนอความต้องการแล้ว 2 ราย

วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553

โรงแรมตัวเมืองภูเก็ตรับทรัพย์ช่วงถือศีลกินผัก


นางบังอรรัตน์ ชินะประยูร ผอ.ททท.สำนักงานภูเก็ต ได้กล่าวว่า ในช่วงงานประเพณีถือศีลกินผักในช่วง 3 วันสุดท้าย ระหว่างวันที่ 14 – 16 ตุลาคม 2553 บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักอย่างมากเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากจะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยแล้ว ยังมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจากประเทศต่างๆ เช่น จีน มาเลเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ เป็นต้น เดินทางมาร่วมชมประเพณีเป็นจำนวนมาก รวมถึงนักท่องเที่ยวจากตลาดยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ก็มาเข้าร่วมพิธีถือศีลกินผักและชมขบวนแห่พระรอบเมืองเป็นจำนวนมากเช่นกัน




“จากการสอบถามไปยังโรงแรมต่างๆ พบว่า ขณะนี้โรงแรมที่ขบวนแห่พระผ่านมีอัตราการเข้าพักเต็ม 100% ขณะที่โรงแรมทั่วไปมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 60 – 70% ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่ดีมาก และคาดว่าปีนี้ตลอดจนระยะเวลาของงานประเพณีถือศีลกินผักรวม 9 วัน 9 คืน จะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาไม่น้อยกว่า 10 % และมีรายได้สะพัดไม่ต่ำกว่า 400 – 500 ล้านบาท”






นางบังอรรัตน์ ยังได้กล่าวถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซันที่จะถึงนี้ ว่า ขณะนี้เริ่มมีการจองห้องพักเข้ามาบ้างแล้ว โดยเฉพาะโรงแรมที่ตั้งอยู่บริเวณชายหาดมีอัตราการจองอยู่ที่ประมาณ 60 – 70 % และควาดว่าในช่วงไฮซีซั่นปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาไม่น้อยกว่า 10 % โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวและตลาดใหม่ได้แก่ ตลาดอินเดีย ซึ่งมีทั้งกลุ่มแต่งงาน และกลุ่มถ่ายทำภาพยนตร์ ขณะที่ตลาดอื่นๆก็มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีเช่นกัน






ขณะที่นายธนาคม ละอองกุล กรรมการผู้จัดการโรงแรมสินทวี ซึ่งเป็นหนึ่งโรงแรมในตัวเมืองภูเก็ต กล่าวว่า ในช่วง 3-4 วันสุดท้ายของประเพณีถือศีลกินกันผัก มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเชื้อสายจีนทั้งจากมาเลเซียและสิงคโปร์เดินทางเข้ามาพักค่อนข้างหนาแน่น ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวสูงอายุที่เคยเดินทางเข้ามาแล้วในลักษณะของกรุ๊ปทัวร์ เนื่องจากโรงแรมตั้งอยู่ในเส้นทางที่ขบวนแห่พระผ่าน ซึ่งเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาพบว่ามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น

แห่พระของอ๊ามจุ้ยตุ่ย ม้าทรงกว่า 1,500 คน


ขบวนแห่พระของอ๊ามจุ้ยตุ่ย

เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 14 ตุลาคม 2553 ซึ่งเป็นวันที่ 7 ของงานประเพณีถือศีลกินผัก ประจำปี 2553 ทางศาลเจ้าจุ้ยตุ่ย เต้าโบ้เก้ง ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่มีม้าทรงมากที่สุดในจังหวัดภูเก็ต ได้ประกอบพิธีแห่พระรอบเมือง เพื่อเดินทางไปอัญเชิญควันธูป ควันเทียน ที่ปลายแหลมสะพานหิน นอกจากนี้ยังเป็นการอวยพรให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมประเพณีถือศีลกินผัก โดยมีม้าทรงทั้งชายและหญิงจำนวนกว่า 1,500 คน เข้าร่วม

มีการใช้อาวุธตามตำนานและวัสดุต่างๆ ในการทิ่มแทงร่างกาย ซึ่งเชื่อว่าเป็นการรับเคราะห์แทนผู้ที่เข้าร่วมงานประเพณีถือศีลกินผัก เช่น ร่มชายหาด ปืน เรือ กรงนำ เครื่องมือช่าง ใบเลื่อย เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการอาบน้ำมันร้อนๆ การใช้ขวานและมีดเฉือนลิ้นไปมา

ทั้งนี้ขบวนแห่พระของศาลเจ้าจุ้ยตุ่ย เต้าโบ้งเก้งได้รับความสนใจจากประชาชนและนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนนับหมื่นคนเข้าร่วมชม และตั้งโต๊ะบูชาตามถนนสายต่างๆ รอบตัวเมืองภูเก็ตที่ขบวนแห่พระผ่านแน่นขนัดไปด้วยประชาชนและประชาชน ขณะที่บางส่วนโดยเฉพาะบริษัทห้างร้านต่างๆ ที่มีอาคารสำนักงานตั้งอยู่ในเส้นทางที่ขบวนพระแห่ผ่านได้มีการนำประทัดราวมาจุดเป็นจำนวนนับแสนนัดทำให้เสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งตัวเมืองภูเก็ต แม้ว่าในบางช่วงเวลาจะมีฝนโปรยปรายลงมาบ้างก็ตาม

อย่างไรก็ตาม เมื่อคืนที่ผ่านมาที่บริเวณสนามฟุตบอลสะพานหิน อ.เมือง จ.ภูเก็ตม้าทรงของศาลเจ้าจุ้ยตุ่ยฯ กว่า 100 คน ได้ร่วมกันประกอบพิธีลุยไฟ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวและประชาชนเข้าร่วมชมจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีศาลเจ้าท่าเรือ ศาลเจ้าหล่อโรง ศาลเจ้าจอซูก้งซอยพะเนียง ศาลเจ้าสะปำและศาลเจ้าเจ่งอ่องก็ได้ประกอบพิธีลุยไฟเช่นกัน

วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ตร.ภูเก็ต จัดงาน “วันตำรวจ” 13 ตุลาคม


เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2553 ที่ ลานอเนกประสงค์ สถานีตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต นายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานในพิธีวันตำรวจ โดยมี พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต หัวหน้าส่วนราชการต่างๆ และเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดจังหวัดภูเก็ตเข้าร่วมในพิธี

พล.ต.ต.พิกัด กล่าวว่า เนื่องในโอกาสวันตำรวจ 13 ตุลาคม ได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นปีที่ 95 ตั้งแต่มีการรวมกรมตำรวจภูธรกับกรมพลตระเวนเข้าเป็นกรมเดียวกันเรียกว่า “กรมตำรวจภูธรและกรมพลตระเวน” ซึ่งถือว่าเป็นต้นกำเนินครั้งแรกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในปัจจุบัน โดยเป็นองค์กรที่กำลังมีความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องทั้งในการกระจายอำนาจภายในองค์กรตำรวจเอง ทั้งในการเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนของสังคมมีส่วนร่วมในการทำงานและสามารถสะท้อนปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาของท้องถิ่นและชุมชน รวมทั้งการกำหนดรูปแบบของการทำงานใหม่ ๆ ที่เป็นอิสระได้มากขึ้นและได้รับการตรวจสอบจากประชาชนมากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ถือว่าเป็นกำลังเสริมในการขับเคลื่อนงานต่างๆของตำรวจให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย

พล.ต.ต. พิกัด ยังกล่าวอีกว่า ขอความร่วมมือให้ข้าราชการตำรวจทุกท่าน ได้ร่วมแรง ร่วมใจกันปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ อดทน และอุทิศตนอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเฉพาะการดำเนินการตามโครงการพัฒนาสถานีตำรวจเพื่อประชาชน ซึ่งเป็นการเน้นด้านการให้บริการประชาชน และนโยบายการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปราบปรามผู้ผลิต ผู้ค้า ผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดอย่างเฉียบขาดและจริงจัง เพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินอย่างแท้จริงต่อไป

นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัด ได้มอบโล่ให้แก่ข้าราชการตำรวจที่ได้รับการพิจารณาเป็นผู้มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น จำนวน 15 ราย ในส่วนของผู้บังคับการตำรวจภูธรอำเภอเมืองจังหวัดภูเก็ต ได้มอบโล่ให้แก่ผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต จำนวน 4 ราย มอบทุนการศึกษาบุตรให้แก่บุตรข้าราชการตำรวจ จำนวน 16 ทุน และมอบของที่ระลึกให้แก่ข้าราชการตำรวจที่เกษียณอายุราชการ จำนวน 9 ราย


เรือไดร์วิ่งนำเที่ยวดำน้ำไฟไหม้เสียหายทั้งลำสูญกว่า 10 ล.


เรือไดร์วิ่งนำเที่ยวดำน้ำไฟไหม้เสียหายทั้งลำสูญกว่า 10 ล.

เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2553 พ.ต.ท.เศียร แก้วทอง สารวัตรเวร สภ.เมืองภูเก็ตได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าได้ยินเสียงระเบิดและมีเพลิงลุกไหม้เรือไดร์วิงค์ซึ่งจอดซ่อมบำรุงอยู่บริเวณท่าเรือติลก ถ.สุทัศน์ ต.รัษฎา อ.เมืองภูเก็ต มีผู้บาดเจ็บ ขอให้ประสานหน่วยงานที่รับผิดชอบด้วย หลังรับแจ้งก็ได้ประสานไปยังหน่วยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลตำบลรัษฎา และหน่วยป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัยเทศบาลนครภูเก็ต จากนั้นก็ได้รายงานผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นก็ได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วยพ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต เจ้าหน้าที่สายตรวจรัษฎา รถดับเพลิงเทศบาลตำบลรัษฎา เทศบาลนครภูเก็ต และหน่วยกู้ชีพมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตรุดไปตรวจสอบ

สำหรับเรือที่เกิดเหตุ เป็นเรือไดร์วิ่งนำนักท่องเที่ยวไปดำน้ำ ชื่อลดาวัลย์ 2 ของบริษัท WEST COAST DIVERS จำกัด เมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางไปถึง ก็พบว่าเรือกำลังไฟลุกไหม้ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงของเทศบาลตำบลรัษฎา และเทศบาลนครภูเก็ตได้ช่วยกันระดมรถฉีดน้ำดับเพลิงที่กำลังลุกไหม้ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเพลิงจึงสงบ เนื่องจากเรือจอดอยู่ในทะเล ทำให้ไม่สามารถควบคุมเพลิงได้และถูกเพลิงไหม้เสียหายทั้งลำ อย่างไรก็ตามขณะที่เกิดเหตุมีคนงานทำการซ่อมแซมอยู่ในเรือจำนวน 7 คน และได้รับบาดเจ็บทั้งหมดในจำนวนนั้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 คน จากไฟลวกตามร่างกาย โดยผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเกิดจากการเชื่อมอุปกรณ์ภายในเรือ ทั้งนี้สาเหตุที่ชัดเจนทางเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการสอบสวน

จากสอบถามนายประเทือง บุญรอด กับตันเรือสายใหม่ 2 ซึ่งเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ก่อนเกิดเกิดเหตุเรือไฟไหม้ได้ยินเสียงระเบิดดังสะนั่นขึ้นมาจากเรือลำดังกล่าวจำนวน 1 ครั้ง และในเวลาต่อมาเรือลำที่เกิดเหตุก็ถูกไฟไหม้อย่างรุนแรง หลังจากนั้นเห็นคนงานที่ได้รับบาดเจ็บวิ่งออกมาจากเรือจึงช่วยเหลือนำขึ้นบนเรือลำที่ตนขับอยู่ ส่วนสาเหตุคาดว่าน่าจะเกิดจากการซ่อมเรือ

ขณะที่น.ส.สมใจ กานดี พนักงาน บริษัท WEST COAST DIVERS จำกัด กล่าวว่า เรือ“ลดาวัลย์ 2” มีอายุประมาณ 8-9 ปี จุผู้โดยสารได้ประมาณ 30 คน โดยปกติเรือลำนี้จะให้บริการนำนักท่องเที่ยวจากท่าเทียบเรือทับละมุ จ.พังงา ไปยังหมู่เกาะสิมิลันในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวเป็นเวลาประมาณ 6 เดือน และจะนำกลับมาทำการซ่อมบำรุงที่ภูเก็ต ก่อนเกิดเหตุเรือได้นำเรือลงจากคานเรือเพื่อตรวจสอบความพร้อมก่อนที่จะนำไปใช้บริการนักท่องเที่ยวในวันที่ 1 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นก็คงไม่สามารถที่จะซ่อมแซมเรือได้ทันนักท่องเที่ยวได้ทำการจองไว้แล้วก็คงต้องกระจายให้กับเรือลำอื่นแทน

สำหรับสาเหตุไฟไหม้เรือในครั้งนี้จากการสอบถามพนักงานซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุเล่าว่า ก่อนที่จะเกิดเหตุนั้นได้มีพนักงานทำการเชื่อมท่อไอเสีย ขณะนั้นก็มีพนักงานอีกคนนำน้ำมันเพื่อไปล้างไดนาโมเครื่องปั่นไฟ ทำให้ประกายไฟจากการเชื่อมท่อไอเสียมาโดนน้ำมันและเกิดลุกไหม้ขึ้นในทันที เบื้องต้นค่าเสียหายอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาท น.ส.สมใจกล่าว


ตร.ภูเก็ตรวบผู้ต้องหาลักทรัพย์ 3 รายของกลางจำนวนมาก


เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 53 ที่ห้องประชุมชั้น 2 สภ.เมือง ภูเก็ต นายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยพล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต, พ.ต.อ.โกมล วัตรากรณ์ รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต, พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ตและเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุม นายอดิศร หินแก้ว อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 108/86 ถ.เจ้าฟ้า ต.ตลาดเหนือ อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายสันติ สุขจำลอง อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 63 ม.7 ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายสุรพงษ์ โพธิจันทร์ อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 53 ม.12 ต.วังใหม่ อ.วังสมบูรณ์ จ.สระแก้ว พร้อมด้วยของกลาง เช่น โน๊ตบุค จำนวน 3 เครื่อง พร้อมทั้งอาวุธปืน และสิ่งอื่นๆ อีกจำนวน 49 รายการ โดยกล่าวหาว่า เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย และลักทรัพย์หรือรับของโจร

ทั้งนี้พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมือง ภูเก็ต ได้กล่าวว่า วันที่ 11 ตุลาคม 2553 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าตำรวจได้ทำการจับกุมตัว นายอดิศร หินแก้ว ในข้อหามีเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ควบคุมตัวไปทำการสอบสวน จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ทราบวว่า นายอดิศร ได้ร่วมกับเพื่อนจากการสอบถามผู้ต้องหาให้การว่าที่ผ่านมาได้ร่วมกับนายสุรพงษ์ และนายสันติ ได้ตระเวนลักทรัพย์ตามหมู่บ้านต่างๆ มาแล้ว จำนวนหลายครั้ง ซึ่งของกลางที่ได้มาก็จะนำไปขาย หรือนำไปจำนำ ส่วนของกลางที่เหลือได้นำไปเก็บไว้ที่บ้านเลขที่ 128/86 ซ.ไพศาล ต.ตลาดเหนือ อ.เมือง จ.ภูเก็ต และบ้านเลขที่ 108/86 ถ.เจ้าฟ้า ต.ตลาดเหนือ อ.เมือง จ.ภูเก็ต จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ขอหมายจับจากศาลจังหวัดภูเก็ต จากนั้นก็ได้เข้าไปทำการจับกุมพร้อมทั้งไปตรวจยึดของกลาง และนำตัวมาทำการสอบสวนเพิ่มเติมและนำส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป


รวบพม่าร่วมคนไทยตั้งแก๊งค์ชำแหละชิ้นส่วนจยย.ส่งขายพม่า


เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 53 ที่ห้องประชุมชั้น 2 สภ.เมือง ภูเก็ต นายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยพล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต, พ.ต.อ.โกมล วัตรากรณ์ รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต, พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ตและเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุม นายธอ สัญชาติพม่า หลบหนีเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต อายุ 22 ปี พร้อมด้วยของกลางประกอบด้วย โครงรถจักรยานยนต์ จำนวน 4 โครง อุปกรณ์ส่วนควบของรถจักรยานยนต์ จำนวน 55 ชิ้น ถังพลาสติก สีน้ำเงิน จำนวน 4 ใบ กระสอบพลาสติก จำนวน 3 ใบ ในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร โดยเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ที่ บ้านพักคนงานพม่า ม.4 ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต

ทั้งนี้พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต ได้กล่าวว่า ด้วยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากผู้เสียหาย ว่ารถจักรยานยนต์จอดไว้ในที่ต่างๆ ได้สูญหาย จึงได้สั่งการณ์ให้เจ้าหน้าที่ออกทำการสืบสวนสอบสวนจนกระทั่งสืบสวนทราบว่า มีชาวพม่าพักอาศัยอยู่ที่บ้านพัก ม.4 ต.วิชิต อ.เมือง ภูเก็ต มีพฤติกรรมตระเวนลักรถจักรยานยนต์ตามสถานที่ต่างๆ จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ทำการวางแผนเพื่อเข้าทำการตรวจสอบ และเมื่อเจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจสอบ ก็พบว่ามีชายคนหนึ่งกำลังนั่งแยกชิ้นส่วนของรถจักรยานยนต์อยู่ภายในบ้าน ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้เข้าทำการตรวจสอบ พร้อมทั้งทำการสอบสวนก็ทราบว่า ชื่อนายธอ เป็นคนสัญชาติพม่า ที่หลบหนีเข้าเมือง กำลังแยกชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ จากนั้นก็ได้นำไปบรรจุใส่ถังพลาสติก พร้อมทั้งนำไปบรรจุลังไม้อีกครั้งหนึ่ง และจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ยังทราบว่า ผู้ที่นำรถจักรยานยนต์มาส่งให้ทำการแยกชิ้นส่วนโดยมีนายต๋อง (ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง) เป็นผู้นำรถยนต์บรรทุกรถจักรยานยนต์มาให้ โดยผู้ต้องหามีหน้าที่แยกชิ้นส่วนและบรรจุลงถังและลัง และหลังจากบรรจุในภาชนะเรียบร้อยแล้ว นายต๋องฯ ก็จะมารับไปส่งยังประเทศพม่า ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ทำการควบคุมตัวพร้อมด้วยของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนสภ.เมืองภูเก็ต เพื่อนำตัวมาสอบสวนเพิ่มและทำการขยายผลถึงผู้ร่วมกระทำความผิดเพื่อนำตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีต่อไป

หลังจากเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหา พร้อมของกลางแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้เชิญผู้เสียหายที่เคยแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ ให้มาตรวจสอบ ซึ่งจากการตรวจสอบของผู้เสียหายพบว่า มีรถจักรยานยนต์ของน.ส.จรินทร มูลเพ็ชร อยู่บ้านเลขที่ 59/159 ม.7 ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต ซึ่งได้แจ้งหายไว้เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553 ส่วนรายอื่นๆ อยู่ในระหว่างการตรวจสอบ

แห่พระรอบเมืองภูเก็ตยังคงได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว


ขบวนแห่พระของศาลเจ้าบางเหนียว
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 13 ตุลาคม 53 ซึ่งเป็นวันที่ 6 ของประเพณีถือศีลกินผัก ประจำปี 2553 ได้มีขบวนแห่พระของมูลนิธิเทพราศี หรือศาลเจ้าบางเหนียว ซึ่งเป็นหนึ่งในศาลเจ้าใหญ่ของจังหวัดภูเก็ต โดยขบวนแห่พระเริ่มออกจากศาลเจ้าแล้วไปประกอบพิธีอัญเชิญควันธูป ควันเทียน ที่บริเวณปลายแหลมสะพานหิน หลังจากนั้นก็ได้อัญเชิญควันธูป ควันเทียนแห่ไปตามถนนสายต่างๆ โดยออกจากสะพานหิน เข้าถนนตะกั่วทุ่ง เข้าถนนกระ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนภูเก็ต ผ่านวงเวียนสุรินทร์ เข้าถนนรัษฎา ผ่านวงเวียนสุริยะเดช เข้าถนนระนอง เลี้ยวขวาเข้าถนนปฏิพัทธ์ ถนนกระบี่ เข้าถนนสตูล ถนนดีบุก ถนนถลาง ถนนเยาวราช ถนนพังงา ถนนมนตรี ผ่านซอยสุรินทร์ และถนนดิลกอุทิศและสิ้นสุดที่ศาลเจ้า

โดยตลอดเส้นทางที่ขบวนพระแห่ผ่านมีประชาชนทั้งชาวไทยและต่างประเทศให้ความสนใจร่วมชมขบวนแห่พระเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันบริเวณด้านหน้าอาคารบ้านเรือนและสำนักงานก็มีการตั้งโต๊ะบูชาและการจุดประทัดราวต้อนรับขบวนแห่พระเสียงดังสนั่นทั่วเมือง

ทั้งนี้ภายในขบวนแห่พระมีม้าทรงจำนวนมากใช้อาวุธตามตำนานและที่ไม่ได้อยู่ในตำนาน เช่น ก้านร่มขนาดใหญ่ เหล็กเชื่อมต่อกับล้อรถจักรยานยนต์ ปืนสั้น เรือประดิษฐ์ มีดดาบขนาดใหญ่ เป็นต้น ทิ่มแทงตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย สร้างความหวาดเสียวให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตามในส่วนของอำเภอถลางก็มีขบวนแห่พระของศาลเจ้าเชิงทะเล (อ๊ามสามอ๋องฮู้) ในเขตอำเภอถลาง และศาลเจ้าบ้านดอน (อ๊ามกิ๊มซืออ๋องเก้ง) แห่พระรอบหมู่บ้านไม้ขาว ส่วนในช่วงค่ำจะมีการประกอบพิธีลุยไฟ(พิธีโก้ยโห้ย) ของศาลเจ้าจุ้ยตุ่ยเต้าโบ้งเก้ง ศาลเจ้าท่าเรือ ศาลเจ้าหล่อโรง ศาลเจ้าจอซูก้งซอยพะเนียง ศาลเจ้าสะปำและศาลเจ้าเจ่งอ่อง