จำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

เรือบรรทุกน้ำมันล่ม ส่วนลูกเรือปลอดภัย

เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2553 พ.ต.ท.ประเสริฐ ศรีคุณรัตน์ รองผกก.8 กก.ตร.น้ำ ได้รับแจ้งจากลูกเรือโชคถาวร 6 ซึ่งแล่นออกไปจากอ่าวฉลอง เพื่อนำน้ำมันไปส่งให้กับโรงแรมที่บริเวณเกาะราชาใหญ่ ว่า มีน้ำทะเลทะลักเข้าภายในเรือ โดยเหตุห่างจากอ่าวฉลองไปยังเกาะราชาใหญ่ ขอให้เดินทางช่วยเหลือเป็นการด่วน

หลังได้รับแจ้งจึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำภูเก็ต นำเรือคุณพุ่มหรือเรือ ต.814 ออกไปทำการช่วยเหลือ โดยจุดเกิดเหตุห่างจากอ่าวฉลองไปทางเกาะราชใหญ่ประมาณ 10 ไมล์ทะเล บริเวณละติจูดที่ 7 องศา 40 ลิปดาเหนือ ลองติจูด 98 องศา 25 ลิปดาตะวันออก พบเรือบรรทุกน้ำมันชื่อเรือโชคถาวร 6 กำลังจมดิ่งลงสู่ก้นทะเล เจ้าหน้าที่จึงรีบช่วยเหลือลูกเรือจำนวน 4 คน ท่ามกลางกระแสคลื่นแรงสูงกว่า 4 เมตรกลับขึ้นอยู่บนเรือโชคถาวร 8 ซึ่งเป็นเรืออีกลำที่แล่นคู่ไปกับเรือโชคถาวร 6 ได้อย่างปลอดภัย

พ.ต.ท.ประเสริฐ ศรีคุณรัตน์ รองผกก.8 กก.ตร.น้ำภูเก็ต กล่าวว่า จากการสอบถามลูกเรือที่ได้รับการช่วยเหลือทราบว่า ก่อนเกิดเหตุเรือโชคถาวร 6 ได้บรรทุกน้ำมันจากคลังน้ำมัน ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ต เพื่อนำไปส่งให้ผู้ประกอบการโรงแรมที่เกาะราชาใหญ่ ม.3 ต.ราไวย์ อ.เมืองภูเก็ต จำนวนประมาณ 40,000 ลิตร เมื่อเรือลำดังกล่าวขับมาใกล้ที่เกิดเหตุ มีฝนกระหน่ำตกลงมาอย่างหนักประกอบกับในช่วงดังกล่าวคลื่นลมแรง มีคลื่นสูงกว่า 4 เมตร ทำให้นำถูกซัดเข้าไปภายในลำเรือ ลูกเรือก็ได้พยายามที่จะสูบน้ำออกนอกลำเรือ แต่คลื่นก็ได้ซัดเข้ามาอีก ทำให้เรือค่อยๆ จมลงไป ทางกับตันเรือก็ได้สั่งให้สละเรือ ซึ่งในระหว่างนั้นมีเรือโชคถาวร 8 ซึ่งแล่นคู่กันมาเห็นเหตุการณ์ก็ได้เข้าไปช่วยเหลือลูกเรือรอดปลอดภัยทั้งหมด ส่วนเรือลำดังกล่าวก็ได้จมลงไปใต้ทะเล ส่วนน้ำมันที่อยู่ในลำเรือจำนวน 4 หมื่นลิตรนั้น ก็ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ได้คอยสังเกตการณ์เรื่องคราบน้ำมัน เนื่องจากเกรงจะมีคราบน้ำมันลอยขึ้นมาและจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ทางทะเล

พ.ต.ท.ประเสริฐ ยังได้กล่าวอีกว่า ในช่วงนี้อยู่ในช่วงมรสุมพัดผ่าน ทำให้เกิดฝนตกและคลื่นลมแรง จึงขอฝากเตือนไปยังเรือประมง ในช่วงนี้ขอให้งดนำเรือออกจากฝั่ง เนื่องจากมีลมแรงและคลื่นสูงถึง 4 เมตร เกรงว่าอาจจะเกิดอันตรายได้

อบจ.ภูเก็ต อบรม “LIFE GUARD”

เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2553 ที่ห้องประชุม โรงแรม เลอเมอริเดียน ภูเก็ตบีช รีสอร์ท ต.กะรน อ.เมือง ภูเก็ต นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานการเปิดโครงการฝึกอบรมอาสาสมัคร “LIFE GUARD” โดยมีคณะผู้บริหาร สมาชิกสภา เจ้าหน้าที่จากองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต เจ้าหน้าที่จากทัพเรือภาคที่ 3 กองกำกับการ 8 กองบังคับการตำรวจน้ำ โดยมีอาสาสมัครที่ปฏิบัติงานในโรงแรมบริเวณชายหาด ผู้ประกอบการบริเวณชายหาด และประชาชนทั่วไป จำนวน 60 คน เข้าร่วมการอบรม

ทั้งนี้นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า การจัดฝึกอบรมอาสาสมัคร LIFE GUARD ในครั้งนี้ เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการช่วยให้คำแนะนำ เฝ้าระวังและเป็นการเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวได้อย่างถูกวิธี และจะได้มีอาสาสมัครที่ช่วยปฏิบัติงานและเฝ้าระวังแจ้งเหตุการณ์ ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวบริเวณชายหาดอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ยังจะเป็นการทบทวน และพัฒนาความรู้ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางน้ำและการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน ระบบการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางน้ำอย่างถูกวิธี รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ผ่านการฝึกอบรมได้เข้าร่วมปฏิบัติงานจริงกับคณะบุคคลชมรมไลฟ์การ์ด ภูเก็ต และหน่วยงานอื่นๆ ตลอดจนก่อให้เกิดการจ้างงานแก่ประชาชนในท้องถิ่นด้วย

สำหรับการอบรมในครั้งนี้มีด้วยกันจำนวน 5 วัน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 4 – 8 กันยายน 53 ซึ่งจะใช้สถานที่สระว่ายน้ำ โรงแรมเลอเมอริเดียน ภูเก็ต บีช รีสอร์ท และบริเวณชายหาดกะรน ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมจะต้องผ่านการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกาย เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการฝึกอบรม และในการฝึกอบรมครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนวิทยากรทัพเรือภาคที่ 3 กองกำกับการ 8 กองบังคับการตำรวจน้ำ ชมรมไลฟ์การ์ด ภูเก็ต และสมาคม SURF LIFE SAVING AUSTRALIA จากประเทศออสเตรเลีย ส่วนเนื้อหาในการอบรมนั้น ทางวิทยากรจะมาอบรมในเรื่องของการช่วยเหลือผู้ประสบการจมน้ำ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การกู้ชีพ รวมทั้งการปฐมพยาบาลสำหรับผู้ที่ถูกพิษการสัตว์ทะเลเป็นต้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวต่อไป


“ผลิตให้แจ๋ว ขายให้กระจาย”

เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2553 ที่โรงแรมถาวรแกรนด์พลาซ่า องเมือง จ.ภูเก็ต นายตรี อัครเดชา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดการสัมมนาทางเทคนิควิชาการหลักสูตร “ผลิตให้แจ๋ว ขายให้กระจาย” และการบริการให้คำปรึกษาแนะนำในการประกอบการ ภายใต้โครงการเสริมสร้างพลังปัญญา ร่วมพัฒนา SMEs และวิสาหกิจชุมชนไทย ซึ่งศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 10 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จัดขึ้น โดยมีผู้ประกอบการ SMEs และวิสาหกิจชุมชนใน จ.ภูเก็ต เข้าร่วมประมาณ 100 ราย นอกจากนี้ยังมีนายสมประสงค์ เอี่ยมสกุล ที่ปรึกษา รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นเกียรติด้วย

นายวีรพล ศรีเลิศ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ดำเนินการจัดสัมมนาทางเทคนิควิชาการและการให้บริการปรึกษาแนะนำในการประกอบการ หลักสูตรผลิตให้แจ๋ว ขายให้กระจาย เพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางเทคนิควิชาการให้กับ SMEs และวิสาหกิจชุมชน เพื่อยกระดับคุณภาพการผลิตและมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการ SMEs และวิสาหกิจชุมชน ช่วยลดความเลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สร้างสัมพันธภาพและเชื่อมโยงเครือข่ายช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ในการประกอบการระหว่าง SMEs วิสาหกิจชุมชนและภาครัฐ อีกทั้งเพื่อลดช่องว่างทางความคิด และความเหลื่อมล้ำทางสังคม

อย่างไรก็ตามกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นว่าผู้เข้ารับการสัมมนาจะได้รับความรู้และทักษะในการประกอบการ และสามารถนำไปปรับใช้ในการพัฒนาการผลิต ให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพมาตรฐาน มีรูปแบบสอดรับกับความต้องการของตลาด มีมูลค่าสูงขึ้น เกิดประสิทธิภาพในการลดต้นทุน ตลอดจนเกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งได้รับทราบถึงการทำงานส่งเสริมของภาครัฐ ได้รู้จักกับผู้เข้าร่วมสัมมนาคนอื่นๆ อันจะก่อให้เกิดเครือข่ายช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และเกิดความร่วมมือร่วมใจกันในการพัฒนาเศรษฐกิจของท้องถิ่นด้วย ทั้งนี้มีเป้าหมายจัดสัมมนาในลักษณะนี้ทั่วทั้งประเทศ150 ครั้ง มีผู้เข้าร่วมจำนวน 15,000 คน นายวีรพลกล่าว

ด้านนายตรี อัครเดชา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวเสริมว่า ผู้ประกอบการ SMEsและวิสาหกิจชุมชน เป็นกลุ่มที่เป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจและสังคมไทย มีส่วนสำคัญที่จะก่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าต่อสังคม ท้องถิ่น และประเทศชาติโดยรวม ดังนั้นการได้มาเรียนรู้ ศึกษา แล้วนำไปพัฒนาตนเองและกิจการเป็นสิ่งที่ดีและสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะบนถนนธุรกิจที่มีการแข่งขันและมีการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา การใช้ความคิดพิจารณาสิ่งที่เรียนรู้มาโดยวิเคราะห์เข้ากับสถานการณ์จริง จะทำให้มองเห็นทิศทางและสถานการณ์ต่างๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ดี สามารถวางแนวทางธุรกิจได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ซึ่งนอกจากจะได้รับความรู้ทางวิชาการแล้วยังได้เครือข่ายระหว่างผู้เข้าสัมมนาด้วยกันซึ่งทำให้สามารถช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ในอนาคตระหว่าง SMEs และวิสาหกิจชุมชน ทำให้ลดช่องว่างทางความคิดและความเหลื่อมล้ำทางสังคมด้วย



ร่วมห่วงใย เราใส่ใจ รักษ์...ทะเล


เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2553 ที่บริเวณปลายแหลมสะพานหิน อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรม “ร่วมห่วงใย เราใส่ใจ รักษ์...ทะเล” ภายใต้โครงการ “โลกดูแลเรา เราดูแลโลก” ซึ่งทางโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง ร่วมกับเทศบาลนครภูเก็ต จัดขึ้น เพื่อร่วมทำความดีถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการปล่อยสัตว์น้ำ จำนวน 840,000 ตัว ประกอบด้วย กุ้งกุลาดำ ปูดำและปลากะพงขาว ลงในทะเล โดยมีนางกัญญา สุทธิกานต์ รองผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง นายกวี ตันสุคตานนท์ รองนายกเทศมนตรีนครภูเก็ต นักเรียนจากวิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต นักเรียนจากโรงเรียนบ้านบางเหนียว ชมรมเรือกอจ๋าน ประชาคมพิทักษ์สิ่งแวดล้อมภูเก็ต และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกิจกรรม ในโอกาสเดียวกันนี้ยังได้จัดเสวนาในหัวข้อ “ผลประโยชน์อย่างยั่งยืน บนผืนทะเลไทย” ด้วย

นางกัญญา สุทธิกานต์ รองผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง กล่าวว่า กิจกรรมร่วมห่วงใย เราใส่ใจรักษ์ทะเล เป็นหนึ่งกิจกรรมในโครงการ โลกดูแลเรา เราดูแลโลก โครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมของโรงงานยาสูบประจำปี 2553 โดยการสนับสนุน ดูแลสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมฝายน้ำใจ ต้านภัยน้ำหลาก ซึ่งเป็นการสร้างฝายใน 5 จังหวัดภาคเหนือจำนวนประมาณ 5,000 ฝาย กิจกรรมสองล้อปั่นรักษ์ เติมฝันด้วยกระดาษหน้าสาม รณรงค์เรื่องการลดใช้พลังงานด้วยการชักชวนให้ประชาชนหันมาใช้จักรยานเป็นพาหนะในการเดินทางและใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ด้วยการขอรับบริจาคกระดาษเอสี่ที่ใช้แล้วจากประชาชนและหน่วยงานต่างๆ

และกิจกรรมสุดท้าย คือ ร่วมห่วงใย เราใส่ใจ รักษ์ทะเล ซึ่งจัดขึ้นเพื่อร่วมทำความดีถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการปล่อยสัตว์น้ำ เสริมสร้างจิตสำนึกของประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมกันอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรทางทะเลให้คงอยู่อย่างยั่งยืน ประกอบด้วยกิจกรรม 3 ห่วงใย ใน 3 พื้นที่ ได้แก่ ห่วงใยที่ 1 การระดมความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างเป็นปฎิญญาในการดูแลอนุรักษ์ทะเล และทำความสะอาดชายหาด เลือกดำเนินการที่หาดแสงจันทร์ จ.ระยอง ห่วงใยที่ 2 เป็นการมอบเรือตรวจการณ์สนับสนุนชุมชนให้ทำหน้าที่ในการพิทักษ์ผืนทะเลไทย ได้แก่ การมอบเรือให้ชุมชนบ้านเกาะปู จ.กระบี่ผ่านสมาคมประมงจังหวัดกระบี่ และชุมชนแหลมแหลมไทร จังหวัดตรัง ผ่านมูลนิธิอันดามัน และห่วงที่ 3 การเพิ่มทรัพยากรสัตว์ทะเลเพื่อชาวเล โดยการปล่อยสัตว์ทะเลจำนวน 840,000 ตัว ประกอบด้วย กุ้งกุลาดำ 827,000 ตัว ปูดำ 3,000 ตัว และปลากะพงขาว 10,000 ตัว บริเวณปลายแหลมสะพานหิน อ.เมืองภูเก็ต


วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

ทูตฟิลิปปินส์เยี่ยมคาราวะผวจ.ภูเก็ต


เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2553 ที่ห้องทำงานผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต CH.E. Mrs.Linglingay F.Lacanlale เอกอัคราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ประจำประเทศไทย และคณะ ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ดังกล่าวเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยประจำอยู่ที่กรุงเทพมหานคร

CH.E. Mrs.Linglingay F.Lacanlale กล่าวภายหลังการเข้าพบว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นผู้ว่าฯ คนแรกที่ตนได้เข้าพบเพื่อเยี่ยมคารวะ และหลังจากนี้ตนก็จะเดินทางต่อไปยังจังหวัดอุดรธานี ซึ่งการเข้าพบในครั้งนี้ก็เพื่อกระชับความสัมพันธ์ พร้อมกับแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการท่องเที่ยวระหว่างกัน และจากการสอบถามข้อมูลก็ทราบว่าภูเก็ตมีนักท่องเที่ยวทั้งยุโรป เอเชีย เดินทางมาท่องเที่ยวที่จังหวัดภูเก็ตประมาณ 5 – 6 ล้านคนต่อปี ซึ่งมากกว่าพัทยา และมีห้องพักประมาณ 50,000 ห้องที่จะให้บริการนักท่องเที่ยว

CH.E. Mrs.Linglingay F.Lacanlale ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนของนักท่องเที่ยวชาวฟิลิปปินส์ ที่เข้ามาในจังหวัดภูเก็ตไม่ได้มาในรูปแบบของนักท่องเที่ยว แต่ส่วนใหญ่จะมาเพื่อประกอบอาชีพ ซึ่งก็มีอยู่ประมาณ 2,000 คนที่เข้ามาประกอบอาชีพอยู่ในจังหวัดภูเก็ต อาทิเช่น มาเป็นครูสอนดนตรี สอนร้องเพลง เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม ตนหวังว่าภูเก็ตในอนาคตคงจะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวระหว่างกัน


อ.เมืองภูเก็ตพัฒนาศักยภาพกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน


เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2553 ที่ห้องประชุมสวนหลวง โรงแรมคาทีน่า ภูเก็ต นายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติ ตามโครงการพัฒนาศักยภาพกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และคณะกรรมการหมู่บ้าน ประจำปี 2553 อำเภอเมืองภูเก็ต โดยมีนายศุภชัย โพชนุกูล นายอำเภอเมืองภูเก็ต ปลัดอำเภอ กำนันผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมจำนวนประมาณ 150 คน

สำหรับการประชุมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างองค์ความรู้ทางด้านวิชาการ ประสบการณ์ ตลอดจนความรู้ด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ให้แก่กำนันผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน และคณะกรรมการหมู่บ้านของทุกภาคส่วนที่จะดำเนินการในหมู่บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทและอำนาจหน้าที่ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง สามารถปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้คาดว่าเพื่อให้ผู้เข้าร่วมจะได้รับความรู้ แนวความคิด ทัศนคติและแนวทางการดำเนินงานของกำนันผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนันและคณะกรรมการหมู่บ้านอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

ทางด้านนายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า กำนันผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน และคณะกรรมการหมู่บ้าน เป็นผู้นำชุมชนที่อยู่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด และทราบความเคลื่อนไหวต่างของคนในหมู่บ้านเป็นอย่างดี จึงนับเป็นกำลังหลักสำคัญในการนำนโยบายของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องของยาเสพติด ที่จะต้องอาศัยความร่วมมือเป็นหูเป็นตาในการแจ้งเบาะแสต่างๆ ให้ทางราชการได้รับทราบ

ระดมสมองแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าว

เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2553 ห้องกานดา ฮอล์ล โรงแรมกะตะบีช รีสอร์ท แอนด์สปา จ.ภูเก็ต นายสุวิศว์ เมฆเสรีกุล สมาชิกวุฒิสภา จังหวัดสมุทรสาคร ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการแรงงานและสวัสดิการสังคม วุฒิสภา เป็นประธาน เปิดการสัมมนา เรื่อง “การพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าว ผลดี ผลเสีย” ซึ่งทางคณะกรรมาธิการแรงงานและสวัสดิการสังคม วุฒิสภา ร่วมกับคณะอนุกรรมาธิการเรื่องแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง จัดขึ้น เพื่อระดมความคิดเห็น แลกเปลี่ยนข้อมูล รับฟังข้อเสนอแนะปัญหาและอุปสรรค แนวทางการแก้ไขปัญหา ปรับปรุงบทบาทของหน่วยงานภาครัฐในการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติ พม่า ลาวและกัมพูชา รวมทั้งวิเคราะห์ผลดี ผลเสียของการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง และกำหนดมาตรการที่เหมาะสมต่อไป โดยมีนายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต คณะกรรมาธิการแรงงานและสวัสดิการสังคม วุฒิสภา คณะอนุกรรมาธิการเรื่องแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง หน่วยงานภาครัฐ เอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

นายสุวิศว์ เมฆเสรีกุล สมาชิกวุฒิสภา จังหวัดสมุทรสาคร ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการแรงงานและสวัสดิการสังคม วุฒิสภา กล่าวว่า การลักลอบเข้าประเทศของคนต่างด้าว ทำให้เกิดปัญหาด้านความมั่นคง สังคม สาธารณสุขและเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลไทยได้พยายามแก้ไขปัญหามาตลอด โดยเริ่มมีการกำหนดนโยบายการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวมาตั้งแต่ปี 2535 มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ดำเนินการจดทะเบียนคนต่างด้าวสัญชาติพม่าให้เป็นผู้หลบหนีเข้าเมืองเพื่อรอการส่งกลับ จากนั้นจึงผ่อนผันให้ทำงานในพื้นที่จังหวัดควบคุม และการพิสูจน์สัญชาติแรงงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติ พม่า ลาวและกัมพูชา ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2550 และวันที่ 9 ธันวาคม 2551 โดยเห็นชอบให้ดำเนินการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาวและกัมพูชา ซึ่งได้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2548 เป้าหมายสูงสุด คือ การใช้แรงงานต่างด้าวอย่างถูกกฎหมาย นอกจากนั้นการพิสูจน์สัญชาติถือเป็นแนวทางการแก้ปัญหาคนหลบหนีเข้าเมือง เพื่อเป็นการปรับเปลี่ยนสถานะแรงงานต่างด้าวให้เป็นคนเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมาย และปัจจุบันกระบวนการพิสูจน์สัญชาติได้ดำเนินการด้วยความร่วมมือของส่วนราชการหลายฝ่าย ซึ่งแต่ละหน่วยงานมีแนวทางสำหรับปฏิบัติงานที่หลากหลาย ทำให้การนำนโยบายไปปฏิบัติของแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน ขาดความชัดเจน และขาดความต่อเนื่อง

“ขณะนี้มีแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเพื่อพิสูจน์สัญชาติอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่เฉพาะที่ภูเก็ตเท่านั้นแต่ยังมีอีกหลายพื้นที่ ซึ่งคงต้องหาวิธีในการสำรวจตรวจสอบว่ามีมากน้อยเพียงใด จากประมาณการณ์คาดว่าจะมีจำนวนมากกว่าที่มีการจดทะเบียนด้วยซ้ำไป เท่าที่พอทราบเหตุผลเนื่องจากไม่ทราบว่าจะสามารถอยู่ต่อไปได้นานเท่าใด ส่งผลให้มีการพิสูจน์สัญชาติอย่างเต็มใจมากนัก เพราะไม่มั่นใจและขาดความชัดเจน จึงอยากให้รัฐบาลจัดทำแผนแม่บทที่ชัดเจนว่ามีรูปแบบในการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวอย่างไร เนื่องปัจจุบันเมืองใดมีการใช้แรงงานต่างด้าวในเกือบทุกประเภทกิจการ เนื่องจากมีความขาดแคลนแรงงาน”


รมว.ท่องเที่ยวมาเลเซียเยือนภูเก็ต



เมื่อวันที่ 2 กันยายน 53 ที่ผ่านมา ที่ร้านอาหาร Blueelephant สาขาภูเก็ต ถ.กระบี่ อ.เมืองภูเก็ตนายตรี อัครเดชา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยนายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต นางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต ให้การต้อนรับ Dato Sri Dr.Ng Yen Yen รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวแห่งประเทศมาเลเซีย และคณะ ที่ได้เดินทางเยือนจังหวัดภูเก็ตอย่างเป็นทางการ พร้อมกันนี้ยังได้เดินทางเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ต เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ทางการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ ในโอกาสที่ปี 2015 เป็นปีที่ประเทศในกลุ่มอาเซียนจะประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวร่วมกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวทั้งของไทยและมาเลเซีย

ทั้งนี้ Dato Sri Dr.Ng Yen Yen รมว.กระทรวงท่องเที่ยวประเทศมาเลเซีย ได้กล่าวว่า ในปี 2015 จะมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในกลุ่มประเทศอาเซียน การเดินทางมาเยือนภูเก็ตในครั้งนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเข้มแข็งมากขึ้น โดยเฉพาะคอนเซ็ปต์ที่ว่า “Two Destinations One Holiday Package” สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่นๆ ทั้งนี้เนื่องจากภูเก็ตมีเที่ยวบินเช่าเหมาลำมากกว่า 22 สายการบิน จากประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมไปถึงสายการบินเป็นประจำจากมาเลเซียมาภูเก็ต คือ มาเลเซียแอร์ไลน์ ไทยแอร์เอเชีย Firefly ซึ่งสามารถที่จะเชื่อมต่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยวในมาเลเซียทั้ง กัวลาลัมเปอร์ ซูบัง ปีนัง และในวันที่ 12 ต.ค.นี้ จะมีสายการบินสำคัญอีกสายการบินหนึ่งซึ่งบินเชื่อมระหว่างภูเก็ตและกัวลาลัมเปอร์ คือ สายการบิน Qatar Airways ซึ่งสามารถเชื่อมต่อไปยังกรุงโดฮาร์ ประเทศการ์ต้าอีกด้วย

มาเลเซียเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะสำหรับวันหยุดพักผ่อน โดยเฉพาะภาคใต้ของไทย อีกทั้งภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียงมีชาวต่างชาติและประชากรที่มีรายได้ต่อหัวต่อปีสูง การเชื่อมต่อทางภาคใต้ของไทยและมาเลเซีย ทั้งทางบกและทะเลรวมไปถึงรถไฟ ผ่านทางด่านต่างๆถึง 12 ด่าน ส่วนทางอากาศมี 4 สายการบินรวม 9,612 ที่นั่งต่อสัปดาห์ ที่จะสามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวทางภาคใต้ และล่าสุดทางสายการบินไทยแอร์เอเชียได้เปิดบินในเส้นทางหาดใหญ่ – กัวลาลัมเปอร์ รองรับได้สัปดาห์ละ 1,200 คนต่อสัปดาห์ สำหรับผู้ที่เดินทางโดยรถไฟ ที่เชื่อมต่อจากหาดใหญ่ไปยังเกอร์มาส รองรับได้กว่า 1,100 คนต่อสัปดาห์ เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีงบประหยัดและพักในรูปแบบโฮมสเตย์ ทัศนศึกษา และผู้ที่ท่องเที่ยวด้วยตัวเองหรือ Backpackers

Dato Sri Dr.Ng Yen Yen กล่าวอีกว่า ในช่วงเดือนมกราคม – มิถุนายน 2553 นักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปท่องเที่ยวยังประเทศมาเลเซียมากถึง 712,410 คน ถึงแม้ว่าน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 3 อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจในขณะนี้คิดว่าการท่องเที่ยวจะดีขึ้นเรื่อยๆ


อบจ.ภูเก็ตทบทวนความรู้ไลฟ์การ์ด


นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต (อบจ.ภูเก็ต) เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 4 – 8 กันยายน นี้ อบจ.ภูเก็ต จะร่วมกับคณะบุคคลชมรมไลฟ์การ์ด ภูเก็ต โรงแรมเลอเมอริเดียน ภูเก็ต บีช รีสอร์ท ทัพเรือภาคที่ 3 และกองกำกับการ 8 กองบังคับการตำรวจน้ำ จะจัดฝึกอบรมอาสาสมัครไลฟ์การ์ด ขึ้นที่บริเวณสระว่ายน้ำโรงแรมเลอเมอริเดียน ภูเก็ต บีช รีสอร์ท และชายหาดกะรน อ.เมืองภูเก็ต เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการช่วยให้คำแนะนำ เฝ้าระวังและเป็นการเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวได้อย่างถูกวิธี และจะได้มีอาสาสมัครที่ช่วยปฏิบัติงานและเฝ้าระวังแจ้งเหตุการณ์ ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวบริเวณชายหาดอีกทางหนึ่ง

นอกจากนี้ยังจะเป็นการทบทวน และพัฒนาความรู้ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางน้ำและการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน ระบบการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางน้ำอย่างถูกวิธี รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ผ่านการฝึกอบรมได้เข้าร่วมปฏิบัติงานจริงกับคณะบุคคลชมรมไลฟ์การ์ด ภูเก็ต และหน่วยงานอื่นๆ ตลอดจนก่อให้เกิดการจ้างงานแก่ประชาชนในท้องถิ่นด้วย ซึ่งกลุ่มเป้าหมาย จะเป็นอาสาสมัครที่ปฏิบัติงานในโรงแรมบริเวณชายหาด ผู้ประกอบการบริเวณชายหาด และประชาชนทั่วไป จำนวน 60 คน

อย่างไรก็ตามในปีงบประมาณ 2553 อบจ.ภูเก็ต ได้จ้างคณะบุคคลชมรมไลฟ์การ์ด ภูเก็ต บริหารจัดการรักษาความปลอดภัยชายฝั่ง ประจำปี 2553 มีพื้นที่ดำเนินการ 7 แนวชายหาด แบ่งเป็น 2 โซน คือโซนที่ 1 ประกอบด้วยชายหาดในหาน ชายหาดยะนุ้ย หาดกะตะน้อย หาดกะตะ หาดกะรน หาดป่าตอง และโซนที่ 2 ประกอบด้วยชายหาดกมลา หาดแหลมสิงห์ หาดสุรินทร์ หาดบางเทา หาดในทอน หาดในยาง หาดไม้ขาว รวมจำนวน 28 จุด มีพนักงานไลฟ์การ์ด จำนวน 83 คน ใช้งบประมาณ 9,990,000 บาท มีระยะเวลาดำเนินการ 10 เดือน ในระหว่างวันที่ 26 เมษายน 2553- 25 กุมภาพันธ์ 2554 โดยผลดำเนินการตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน - 25 สิงหาคม 2553 รวม 4 เดือน สามารถช่วยเหลือนักท่องเที่ยวจมน้ำได้ จำนวน 523 ราย และมีนักท่องเที่ยวเสียชีวิตจากการจมน้ำจำนวน 5 ราย ทั้งนี้จากการช่วยเหลือเหลือนักท่องเที่ยวที่ลงเล่นน้ำทะเลและประสบอุบัติเหตุได้ในช่วงปี 2552 ถึงปี 2553 มีจำนวนรวม 1,359 ราย นายไพบูลย์กล่าว


วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

นทท.แห่ดำน้ำชมหมู่เรือปะการังเทียมอ่าวทือ


นาย ไพทูล แพนชัยภูมิ ผู้อำนวยการศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 5 (จ.ภูเก็ต) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า จากการที่ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 5 (ภูเก็ต) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับจังหวัดภูเก็ต และผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวบนเกาะราชาใหญ่ จัดสร้างแนวปะการังเทียมโดยใช้หมู่เรือประมงจำนวน 2 ลำ คือ เรือฮาลูบี้ ซึ่งเป็นเรือเหล็กอายุกว่า 10 ปี กับเรือประมงไม้ จมทะเลที่บริเวณอ่าวทือ เกาะราชาใหญ่ อ.เมืองภูเก็ต เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านมา เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศน์ และลดผลกระทบการใช้ประโยชน์แนวปะการังธรรมชาติ ซึ่งในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวลงไปดำน้ำชมแนวปะการังเป็นจำนวนมาก

“หลังจากนำหมู่เรือดังกล่าวจมลงทะเลแล้ว ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากทั้งนักดำน้ำชาวต่างชาติและคนไทยเป็นอย่างมาก ในแต่ละวันจะมีนักดำน้ำลงไปชมความสวยงามบริเวณดังกล่าวเฉลี่ยประมาณ 100 คนและ ในหมู่นักดำน้ำจะรู้จักแนวปะการังเทียมนี้ในชื่อของสตาร์ลูบี้พอยท์ มีนักดำน้ำเข้าไปดำน้ำชมความสวยงามของแหล่งดำน้ำแห่งใหม่กว่า 100 คน พร้อมยกให้เป็นแหล่งดำน้ำแห่งใหม่ที่น่าสนใจ และเป็นจุดหมายปลายทางใหม่ของนักดำน้ำ เพราะนอกจากจะมีแนวปะการังเทียมแล้วยังมีความหลากหลายของสัตว์ทะเลนานาชนิดที่เข้าไปอาศัยอยู่ภายในเรือประมงที่จมด้วย เช่น เต่าทะเล ปลาไหลมอนเล่ ปลาผีเสื้อ ปลาปักเป้า เป็นต้น โดยนักท่องเที่ยวสามารถลงไปเล่นกับสัตว์ทะเลได้อย่างใกล้ชิด และยังจะสามารถว่ายน้ำชมความสวยงามภายในตัวเรือได้ด้วย จึงนับเป็นจุดที่น่าสนใจและดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปดำน้ำในจุดดังกล่าวแทนการไปดำน้ำในแนวปะการังธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยให้แนวปะการังธรรมชาติที่เสื่อมโทรมสามารถฟื้นตัวกลับมาในเวลาอันรวดเร็ว

นายไพทูล กล่าวด้วยว่า ขณะนี้เริ่มมีปะการังชนิดต่างเริ่มลงเกาะที่บริเวณตัวเรือทั้ง 2 ลำ เชื่อว่าอีกไปนานแหล่งปะการังเทียมแห่งนี้จะมีปะการังธรรมชาติเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกัลปังหา และมั่นใจว่าในช่วงไฮซีซั่นที่จะถึงประมาณเดือนพฤศจิกายนนี้ แหล่งดำน้ำแห่งนี้จะมีนักท่องเที่ยวลงไปดำน้ำเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน และ ในอนาคตจะมีการขยายพื้นที่เพิ่มเติม โดยอยู่ระหว่างหาผู้สนับสนุนในการจัดซื้อเรือเพิ่ม ซึ่งจะทำให้เกิดความหลากหลายและน่าสนใจมากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มพื้นที่ในการดำน้ำเพื่อไม่ให้แออัดเกินไป เพราะการจัดวางเรือแต่ละลำนั้นจะห่างกันจุดละประมาณ 20 เมตร โดยมีการวางแท่งซีเมนต์โปร่งเชื่อมต่อกันทำให้นักดำน้ำสามารถดำน้ำจากเรือลำหนึ่งไปยังเรืออีกลำได้โดยไม่ขาดตอน และสร้างความน่าสนใจให้กับนักดำน้ำด้วย

อบจ.ภูเก็ตดูแลผู้ป่วยตามโครงการ “ภูเก็ตแคร์”

นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต (อบจ.ภูเก็ต) เปิดเผยว่า จากการที่ทาง อบจ.ภูเก็ต ได้จัดทำโครงการภูเก็ตแคร์ หรือโครงการสุขภาพพอเพียงกับโรงพยาบาลหมื่นเตียงในภูเก็ต เพื่อให้ผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้พิการ และผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี ให้การบริการเข้าถึงผู้ป่วยได้อย่างมีคุณภาพและองค์รวม ให้ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถดูแลตนเองได้ ให้ชุมชน ท้องถิ่น สังคม มีส่วนร่วมและรับผิดชอบในการดูแลผู้ป่วย รวมทั้ง เพื่อให้มีการผสมผสานศาสตร์การแพทย์แผนตะวันตกและแผนตะวันออกได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ กลุ่มผู้พิการผู้สูงอายุหรือกลุ่มผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หรือถูกทอดทิ้ง และผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ไม่สามารถเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ได้อย่างสะดวก กับกลุ่มเป้าหมายรอง ได้แก่ ผู้ดูแลคนชรา ครอบครัว เพื่อนบ้านและชุมชน

“โดยที่ผ่านมาได้ร่วมกับสมาชิกสภาฯ เจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต พยาบาล อาสาสมัครสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ได้ออกเยี่ยมผู้ป่วยในพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งในพื้นที่ตำบลตลาดใหญ่ ตำบลตลาดเหนือ ตำบลราไวย์ ตำบลป่าคลอก ตำบลเชิงทะเล และในเขตเทศบาลนครภูเก็ต เพื่อเป็นกลังใจให้กับผู้ป่วยและครอบครัว และให้เป็นไปตามนโยบายที่นำเสนอไว้ต่อสภาฯในการเปลี่ยนบ้านให้เป็นโรงพยาบาล 10,000 เตียง”

นายไพบูลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ล่าสุดทางมูลนิธิฉือจี้ ซึ่งเป็นอาสาสมัครของประเทศไต้หวัน ถือกำเนิดขึ้นจากการที่ภิกษุณีนามเจิ้งเอี่ยนได้ร่วมกับชาวบ้านเมืองฮั้วเหรียญ ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไต้หวัน ร่วมกันสะสมเงินส่วนตัววันละ 50 สตางค์ ใส่กระบอกไม้ไผ่ และร่วมกันทำงานเพื่อสังคมโดยไม่รับสิ่งตอบแทน โดยร่วมกันดูแลผู้ป่วย ผู้ยากไร้ จนเกิดความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ เกิดเป็นอุดมการณ์แห่งการให้ จนกลายมาเป็นมูลนิธิฉือจี้ ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกเป็นจำนวนนับร้อยล้านคนทั่วโลก ได้เข้ามาร่วมทำงานกับอบจ.ภูเก็ตด้วย

“เหตุที่ทางมูลนิธิฉือจี้เข้ามาร่วมทำกิจกรรมดูแลผู้ป่วยร่วมกับทาง อบจ.ภูเก็ตนั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากในคราวที่ได้เดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศไต้หวัน กับเจ้าหน้าที่คณะกรรมการการป้องกันการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นๆ รวม 4 แห่ง ที่ได้รับรางวัลท้องถิ่นดีเด่นทางด้านการป้องกันการทุจริต จากคณะกรรมการการป้องกันการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) และได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับทางมูลนิธิฉือจี้ จนนำมาซึ่งการแลกเปลี่ยนอุดมการณ์ในการทำงานเพื่อสังคมระหว่างกัน โดยเฉพาะการดูแลรักษาผู้ป่วย”นายก อบจ.ภูเก็ตกล่าว


กก.มั่นคงทัพเรือภาคที่ 3 บูรณาการความร่วมมือ

เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2553 ที่ห้องธรรมรินทร์ เบย์ โรงแรมเคปพันวา อ.เมือง จ.ภูเก็ต พล.ร.ท.ชุมนุม อาจวงศ์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาเพื่อความมั่นคงในระดับพื้นที่ในเขตทัพเรือภาคที่ 3 ครั้งที่ 2/2553 (พมพ.ทรภ.3 ครั้งที่ 2/53) โดยมีนายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่รับผิดชอบในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง สตูลและระนอง เช่น ฝ่ายปกครองจังหวัด ป้องกันจังหวัด เป็นต้น เข้าร่วม

สำหรับการประชุมในครั้งนี้ เพื่อให้คณะกรรมการ พมพ.ทรภ.3 และผู้เข้าร่วมประชุมได้รับทราบผลการดำเนินการตามแผนความมั่นคงชายฝั่งทะเลและเกาะแก่ง ในเขตทัพเรือภาคที่ 3 ประจำปีงบประมาณ 2553 เพื่อให้การดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเพื่อความมั่นคงในระดับพื้นที่ในเขตทัพเรือภาคที่ 3 ในปีงบประมาณ 2554 – 2555 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น รวมทั้งเพื่อเตรียมการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเพื่อความมั่นคงในระดับพื้นที่ในเขตทัพเรือภาคที่ 3 พ.ศ.25553-2559 รองรับยุทธศาสตร์ความมั่นคงชายแดน พ.ศ.2555-2559 เพื่อนำไปเป็นกรอบแนวทางในการจัดทำแผนงานความมั่นคงชายแดน ชายฝั่งทะเลและเกาะแก่งในพื้นที่ 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามันต่อไป

พล.ร.ท.ชุมนุม อาจวงศ์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 กล่าวว่า จากการที่ได้ติดตามการดำเนินการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงในระดับพื้นที่เขตทัพเรือภาคที่ 3 ในปีงบประมาณปี 2553 มาโดยตลอด ได้ทราบถึงความตั้งใจในการดำเนินการของจังหวัดต่างๆ ชายฝั่งทะเลอันดามันทั้ง 6 จังหวัด และรับทราบปัญหาข้อขัดข้องต่างๆ ในการดำเนินการ ทำให้ภาพรวมของการดำเนินการไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ ซึ่งปัญหาหลักๆ จะเป็นเรื่องของงบประมาณที่ได้รับจัดสรรในการดำเนินการตามแผนงานอย่างจำกัดหรือไม่ได้รับการจัดสรร ซึ่งได้ชี้แจงให้ระดับนโยบายรับทราบและหาแนวทางการแก้ไขต่อไปแล้ว

“การทำงานในปีงบประมาณต่อไปนั้นจะเน้นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างกันมากขึ้น เนื่องจากพื้นที่รับผิดชอบภาคเรือที่ 3 ซึ่งมี 6 จังหวัด และแต่ละจังหวัดจะมีปัญหาที่แตกต่างกัน จึงเกิดความหลากหลายและความเป็นเอกภาพ ดังนั้นในการบูรณาการในภาคปฏิบัติจะต้องดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบ และตรงกับความต้องการ ทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่เกิดความซับซ้อน”

พล.ร.ท.ชุมนุม กล่าวด้วยว่า ในส่วนของปัญหาที่จะต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ปัญหาภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง โดยเฉพาะเรื่องของปัญหาการบุกรุกทรัพยากรธรรมชาติ และปัญหายาเสพติด ซึ่งเป็นปัญหาร่วมของทุกพื้นที่โดยจะต้องบูรณาการความร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อสนับสนุนทั้งการป้องปราม การปราบปรามและการเฝ้าระวัง รวมไปถึงเรื่องของภัยธรรมชาติด้วย เท่าที่ประเมินพบว่าสถานการณ์ถือว่ายังไม่รุนแรงมากนัก และอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้


แม่ค้าตลาดเกษตรเป็นลมกลางถนน

เมื่อวันที่ 2 กันยายน 53 ร.ต.ท.ธาดา โสดารักษ์ ร้อยเวรสภ.เมือง ภูเก็ต ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีผู้เสียชีวิตอยู่ที่บริเวณทางเท้าหน้าร้านจำหน่ายรองเท้าบริเวณ 4 แยกเอ็กโปร์ ถนนชนะเจริญ ตัดถนนดิลกอุทิศ ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ขอให้เดินทางมาตรวจด้วย หลังรับแจ้งก็ได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นก็ได้เดินทางไปตรวจสอบพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต

ที่เกิดเหตุพบผู้เสียชีวิตเป็นหญิง สวนเสื้อด้านในสีแดง สวมทับด้วยเสื้อแขนยาวสีครีม นุ่งกางเกงขา 3 ส่วนสีฟ้า นอนคว่ำหน้าอยู่บริเวณทางเท้าหน้าร้านจำหน่ายรองเท้า ใกล้ๆ กันมีรถจักรยานยนต์ล้มตะแคงอยู่ 1 คัน จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบผู้เสียชีวิต จากการตรวจสอบทราบชื่อผู้เสียชีวิต คือนางสาวกมลทิพย์ วิเศษกาญจพงศ์ อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 109/30 ม.1 ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต มีอาชีพเป็นแม่ค้าของของอยู่ในตลาดเกษตรเทศบาลนครภูเก็ต จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็ได้จัดทำบันทึกสถานที่เกิดเหตุ จากนั้นก็ได้มอบศพให้กับเจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต นำส่งรพ.วชิระ ภูเก็ต เพื่อให้แพทย์เวรได้ทำการชันสูตรโดยละเอียดอีกครั้ง

จาการสอบถามผู้เห็นเหตุการณ์ ก็ทราบว่า ขณะเกิดเหตุได้ยินเสียงดังขึ้นที่หน้าร้าน จึงวิ่งออกมาดูพบมีคนนอนคว่ำหน้าแน่นิ่งอยู่ที่บริเวณหน้าร้านและมีรถจยย.ล้มตะแคงข้างอยู่ จึงได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรม และตำรวจเข้ามาตรวจสอบและช่วยเหลือ

อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าผู้ตายอาจจะขับรถมาจากตลาดเกษตรเพื่อเดินทางกลับที่พักแต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุอาจจะมีลม หรือ โรคประจำตัวกำเริบจนทำให้ไม่สามารถประคองรถที่ขับมาได้ จนเป็นเหตุให้ล้มข้างทางเท้า ส่วนตัวผู้เสียชีวิตล้มคว่ำหน้าไปด้วย จึงได้ประสานไปทางญาติ เพื่อให้มารับศพกลับไปบำเพ็ญกุศลศพตามประเพณีต่อไป


วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

เปิด“เทสโก้ – แอดปาร์ค เชิงทะเล”

เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 31 สิงหาคม 53 ที่เทสโก้-แอดปาร์ค เชิงทะเล คุณวัลลภา อักษรวิทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบริหารพื้นที่เช่าและสื่อโฆษณาเทสโก้ โลตัส พร้อมด้วยนายพีระพงษ์ ผลประมูล ประธานชมรมผู้สื่อข่าวภูเก็ต และดาราชื่อดัง “นิว” วงศกร ปรมัตถากร กับ “แพ็ท” ณปภา ตันตระกูล ได้ร่วมกันเปิดตัว เทสโก้ – แอดปาร์ค เชิงทะเล

คุณวัลลภา อักษรวิทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบริหารพื้นที่เช่าและสื่อโฆษณาเทสโก้ โลตัส กล่าวว่า หนึ่งในชายหาดสำคัญของเกาะภูเก็ต คือ หาดบางเทา ต.เชิงทะเล เป็นเวลากว่า 2 ปี ที่เทสโก้ โลตัส ตลาดเชิงทะเล ได้มีโอกาสให้บริการลูกค้า ในพื้นที่ชุมชนเชิงทะเล, บางเทา, หาดสุรินทร์ และกมลา ซึ่งชุมชนแห่งนี้นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากนักท่องเที่ยว อันเนื่องมาจากความงดงามตลอดแนวชายหาดของที่นี่นั่นเองณ ที่นี่จึงเป็นจุดหมายปลายทางที่เราขอต้อนรับทุกท่านสู่ “เทสโก้-แอดปาร์ค เชิงทะเล” ศูนย์การค้าชุมชนแห่งความทันสมัย แหล่งรวมร้านค้าชั้นนำ แบรนด์ไทยและต่างประเทศ อาทิ แมคโดนัล, เดอะพิซซ่า, บุ๊คกาซีนและบูธ เพื่อเติมเต็มในทุกองค์ประกอบให้สมบูรณ์ บนเนื้อที่รวม 700 ตารางเมตรของแอดปาร์ค

เราคิดว่า นี่คือช่วงเวลาที่จะทำให้ลูกค้าของ เทสโก้โลตัส ได้ประโยชน์เพิ่มมากยิ่งขึ้นไปอีก จากสัมพันธภาพอันแข็งแกร่งของเรากับบริษัทชั้นนำระดับโลกอย่าง แมคโดนัล และบูธ ซึ่งต่างมอบความเชื่อมั่นในประสบการณ์ด้านธุรกิจค้าปลีกของเทสโก้ โลตัส ที่ดำเนินธุรกิจในรูปแบบร้านขายสินค้าอุปโภคบริโภคขนาดใหญ่และการให้บริการด้านการเงิน”

สำหรับการเปิดตัวในครั้งนี้ ทาง เทสโก้-แอดปาร์ค เชิงทะเล ได้จัดในรูปแบบ “Ocean Treasure” “Meet & Greet” พร้อมด้วยดาราชื่อดัง “นิว” วงศกร ปรมัตถากร ร่วมกับ “แพ็ท” ณปภา ตันตระกูล และเกมส์สุดมันส์ “Ocean Treasure” ที่จัดเตรียมไว้เพื่อลูกค้าของเรา นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอสุดพิเศษและของรางวัลมากมายภายในงานที่จะมีขึ้นที่ เทสโก้-แอดปาร์ค เชิงทะเล จนถึงเดือนตุลาคม 2553


แข่งกระดานโต้คลื่นครั้งที่ 2


เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2553 ที่โรงแรม ibis หาดกะตะ ต.กะรน อ.เมืองภูเก็ต นายตรี อัครเดชา รอง ผวจ.ภูเก็ต พร้อมด้วย นางบังอรรัตน์ ชินประยูร ผอ.ททท.สำนักงานภูเก็ต นายสมปอง ดาบเพชร รองนายกเทศมนตรีตำบลกะรน และนายชนินทร์ อัยรักษ์ จาก Surfing Thailand ร่วมกันแถลงข่าว การจัดการแข่งขันกระดานโต้คลื่นนานาชาติ 2010 (Quiksilver Thailand Surf Competition 2010)

สำหรับการจัดการแข่งขัน กระดานโต้คลื่นนานาชาติ ในครั้งนี้ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 – 26 ก.ย.53 ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 2 หลังจากประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในการแข่งขันครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว โดยในครั้งนั้นมีนักเล่นกระดานโต้คลื่นจากนานาประเทศทั่วโลกกว่าร้อยคนให้ความสนใจเข้าร่วมการแข่งขัน โดยฝ่ายจัดการแข่งขันใช้พื้นที่ 3 หาด ในจังหวัดภูเก็ต คือ หาดกะหลิม หาดกมลา และหาดกะตะ แต่ในปีนี้ ทางฝ่ายจัดการแข่งขัน ต้องการที่จะจัดงานให้ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิม และใช้พื้นที่การแข่งขันเพียงแห่งเดียว คือที่หาดกะตะ เพื่อต้องการที่จะให้ผู้ที่ชื่นชอบกีฬาประเภทนี้ได้ชมและเชียร์ผู้เข้าแข่งขันกันอย่างเต็มอิ่ม และการแข่งขันกระดานโต้คลื่นครั้งนี้เป็นการแข่งขันที่สร้างโอกาสให้นักโต้คลื่นชาวไทย ได้สัมผัสประสบการณ์แข่งขันระดับนานาชาติ เพื่อนำไปพัฒนาฝีมือและมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาคไปจนถึงระดับนานาชาติ อย่างเมื่อปีที่แล้วที่แข่งขันในจังหวัดภูเก็ต ผู้ที่ได้แชมป์ คือนักโต้คลื่นชาวไทย ซึ่งในปีนี้มาลุ้นกันว่า จะรักษาแชมป์ไว้ได้หรือไม่

ทางด้านนายตรี อัครเดชา รอง ผวจ.ภูเก็ต กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ต ขอต้อนรับนักโต้คลื่น จากทั่วโลกทุกคนที่เดินทางเข้ามาร่วมการแข่งขัน ในครั้งนี้ และขอให้ทุกคนมั่นใจในความปลอดภัยทุกอย่าง ทางจังหวัดจะดูแลเรื่องความปลอดภัยและความสะดวกให้อย่างเต็มที่

นางบังอรรัตน์ ชินประยูร ผอ.ททท.สำนักงานภูเก็ต กล่าวว่า มีความยินดีที่ทาง ควิกซิลเวอร์ ได้จัดการแข่งขันกระดานโต้คลื่นนานาชาติ ในจังหวัดภูเก็ต ขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นงานที่ดี ที่จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงหน้าฝน และหวังว่าคงจะมีอีกในปีต่อๆไป ทั้งนี้ ทาง ททท.ยินดีที่จะช่วยสนับสนุน ในด้านต่างๆอย่างเต็มที่

ด้านนายชนินทร์ อัยรักษ์ จาก Surfing Thailand กล่าวว่า ปีนี้ความสนุกตื่นเต้นคงมีมากขึ้น เนื่องจากมีนักกีฬามืออาชีพจากต่างประเทศเข้ามาร่วมแข่งขันมากขึ้น ถือว่าเป็นสีสัน และทำให้นักแข่งของไทยกระตือรือร้นในการแข่งขัน พร้อมกันนี้กิจกรรมบริเวณที่แข่งขันก็จะมีความหลากหลายให้คนที่มาร่วมงานมีส่วนร่วมสนุกตลอด 5 วันที่จัดงาน อาทิ การโชว์ โต้คลื่นจากทีมนักโต้คลื่นของ Quiksilver การสอนการเล่นกระดานโต้คลื่น เซิร์ฟ คลินิก ชมคอนเสิร์ตจากวงทีโบน และปาร์ตี้สุดมัน รวมไปถึงกิจกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย โดยการแข่งขันในปีนี้ คาดว่าจะมีผู้สนใจเข้าร่วมการแข่งขัน จากทั่วโลก ทั้งเอเชีย ออสเตรเลีย ยุโรป อเมริกา ฮาวาย ฯลฯ กว่า 300 คน


ส.กอล์ฟภูเก็ตจัดกอล์ฟ Amateur Open 2010

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2553 ที่ห้องประชุมนนทรี โรงแรมภูเก็ตเมอร์ลิน นายวัชร จารุอริยานนท์ นายกสมาคมกอล์ฟภูเก็ต พร้อมด้วยนายกิจจา พงษ์ประภาส อุปนายกสมาคมกอล์ฟภูเก็ต นายประพันธ์ ขันธกุล กรรมการฝ่ายกิจกรรมสมาคมกอล์ฟภูเก็ต และคณะกรรมการบริหารสมาคมกอล์ฟภูเก็ต ได้ร่วมกันแถลงข่าวจัดการแข่งขันกอล์ฟ Amateur Open 2010 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 11 กันยายน 53 ณ สนามกอล์ฟล๊อคปาล์ม ภูเก็ต

นายวัชร กล่าวว่าการจัดการแข่งขันกอล์ฟ Amateur Open 2010 ในวันที่ 11 กันยายน 2553 ณ สนามกอล์ฟล็อคปาล์ม ภูเก็ต เพื่อนำเงินรายได้ทั้งหมดสนับสนุนตัวแทนนักกีฬากอล์ฟจังหวัดภูเก็ต ไปแข่งขันกีฬาแห่งชาติที่จังหวัดชลบุรี ในเดือนธันวาคม นี้

ทั้งนี้การแข่งขันดังกล่าว แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ประกอบด้วย ประเภทหญิง ( Lady ) อายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป ประเภทผู้สูงอายุ ( Senior ) อายุตั้งแต่ 50 ปี ขึ้นไป ประเภทผู้สูงอายุมาก ( Super Senior ) อายุ 60 ปีขึ้นไป และประเภทบุคคลทั่วไป ซึ่งไม่จำกัดอายุ – เพศ โดยมีค่าลงทะเบียน คนละ 2,750 บาท ซึ่งรวมค่ากรีนพี แค้ดดี้ ของที่ระลึก และงานเลี้ยง สำหรับผู้ชนะเลิศในแต่ละประเภทพร้อมรองชนะเลิศ จะได้รับถ้วยหรือโล่จากสมาคมกอล์ฟภูเก็ตพร้อมทั้งมีการจับรางวัลในงานเลี้ยงอีกมากมาย ที่โรงแรมภูเก็ตเมอร์ลิน

นายวัชร กล่าวอีกว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นทางสมาคมกอล์ฟภูเก็ตนำนักกีฬาไปแข่งขันหลายทัวร์นาเม้นท์ทั้งในและต่างประเทศ และขณะนี้มีนักกอล์ฟจังหวัดภูเก็ตเป็นตัวแทนระดับชาติ และในอนาคตจะเร่งผลิตนักกอล์ฟไปเป็นตัวแทนระดับนานาชาติให้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา


วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สถานประกอบการสีขาว

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 53 ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานในพิธีมอบเกียรติบัตรและป้ายประกาศเกียรติคุณให้แก่สถานประกอบกิจการที่ผ่านหลักเกณฑ์และได้เป็นสถานประกอบกิจการสีขาว ประจำปีงบประมาณ 2553 รวมทั้งสิ้นจำนวน 28 แห่งในจังหวัดภูเก็ต

ทั้งนี้นายกิตติพงษ์ เหล่านิพนธ์ สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ด้วยสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดภูเก็ต ได้ดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ ตามโครงการสถานประกอบกิจการสีขาวป้องกันยาเสพติด ประจำปีงบประมาณ 2553 เพื่อให้ลูกจ้าง ผู้ใช้แรงงาน ห่างไกลจากยาเสพติด มีความสุขในการทำงาน เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ เป็นแบบอย่างที่ดีต่อสังคม องค์กร ได้รับความน่าเชื่อถือและสามารถนำความรู้เรื่องยาเสพติดไปขยายต่อครอบครัวได้

ในปีงบประมาณ 2553 สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดภูเก็ต ได้ดำเนินการรณรงค์เชิญชวนนายจ้าง/เจ้าของสถานประกอบกิจการต่างๆ สมัครเข้าร่วมโครงการสถานประกอบกิจการสีขาวป้องกันยาเสพติด โดยมีสถานประกอบกิจการสมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 36 แห่ง และมีสถานประกอบกิจการผ่านหลักเกณฑ์โครงการสถานประกอบกิจการสีขาวระดับ 1 จำนวน 28 แห่ง ซึ่งได้เข้ารับเกียรติบัตรและป้ายประกาศเกียรติคุณ สถานประกอบกิจการสีขาวในครั้งนี้ 26 แห่งประกอบด้วย บริษัทมิ่งมะลิ กรุ๊ป จำกัด (โรงแรมซูการ์ ปาล์ม กะรนรีสอร์ท) คณะบุคคลมิ่งมะลิ (มะลิซีฟู๊ด กะรน) บริษัททีซีแวลู่ จำกัด (โรงแรมซูการ์ ปาล์ม แกรนด์ ฮิลไซด์) ร้านอาหารม่าหม้า โดยนายภูวดิษฐ์ ปรณะเจริญ โรจน์ บริษัทป่าตองพี่น้องทรัพย์ จำกัด (โรงแรมฮอไรซอน บีช รีสอร์ท โฮเทล) บริษัทภูเก็ตซีกัลป์แกรนด์โอส จำกัด (โรงแรมเดอะบลิส) บริษัทภูเก็ตเนเชอร์จำกัด บริษัทภูเก็ตแอ็ดแวนเจอร์ จำกัด บริษัทภูเก็ตแอ็ดแวนเจอร์ กรุ๊ป จำกัด บริษัทภูเก็ตเรเซ็นทีฟ จำกัด บริษัทกมลาดีเวลอปเม้นท์ จำกัด (โรงแรมไอยรา กมลา รีสอร์ทแอนด์สปา)บริษัทภูเก็ตพัฒนาทรัพยากร จำกัด (โรงแรมซันวิง รีสอร์ท แอนด์สปา)

บริษัทเพิร์ลวิลเลจ จำกัด (โรงแรมอินดิโก้เพิร์ล) บริษัทสยามการ์เดี้ยน เซอร์วิส จำกัด บริษัทภูเก็ตเพิร์ลอินดิโก้เพิร์ล) บริษัทสยามการ์เดี้ยน เซอร์วิส จำกัด บริษัทภูเก็ตเพิร์ลอินดัสทรี จำกัด บริษัทวงศ์บัณฑิต จำกัด บริษัทดอล ฟินวิว จำกัด (โรงแรมซีเคร็ทคลิฟ รีสอร์ท แอนด์ เรสเทอร์รอง) บริษัทภูเก็ตภูเก็ตอินเตอร์เนชั่นแนลฮอสปิตอล จำกัด (โรงพยาบาลสิริโรจน์) บริษัท เกรทโกลฟ (ไทยแลนด์) จำกัด บริษัท เอส เอฟ โคลีเซี่ยม เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เอ็กซ์ ซีนีม่า เซ็นทรัล ภูเก็ต) บริษัทลากูน่าวิลเลจ จำกัด (โรงแรมเอ้าท์ริกเกอร์ ลากูน่า ภูเก็ต รีสอร์ท แอนด์ วิลล่า) บริษัทเพิร์ลจำกัด บริษัทเพิร์ล จำกัด บริษัทโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต จำกัด บริษัทบีทูเอส จำกัด (สาขาภูเก็ต) บริษัทไอทีซิตี้ จำกัด (มหาชน) สาขาภูเก็ตและบริษัทอเด็กโก้ จำกัด (สาขาภูเก็ต)


เตรียมเสนอให้ภูเก็ตเป็นศูนย์ตรวจฉี่

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2553 ที่ห้องประชุมชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการ ศตส.จ.ภูเก็ต ครั้งที่ 8/2553 โดยมีพล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต นายศุภชัย โพชนุกูล นายอำเภอเมืองภูเก็ต นายศิริพัฒ พัฒกุล นายอำเภอกะทู้ นายวีระพงษ์ ไวทยวงศ์สกุล ประชาสัมพันธ์จังหวัดภูเก็ต และคณะกรรมการจากอีกหลายหน่วยงานเกี่ยวข้องร่วมประชุม

โดยการประชุมในครั้งนี้เป็นการติดตามผลการดำเนินงานของแต่ละหน่วยงานในการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาหมู่บ้าน/ชุมชนที่ปรากฏปัญหายาเสพติด ให้เป็นพื้นที่สีขาว ตามปฏิบัติการมหาดไทย Clean & seal ของ ศตส.จ.ภูเก็ตในห้วงเดือน ธ.ค.52-15 ส.ค.53 นั้นมีการประกาศเป็นพื้นที่สีขาวครบ 100% ในทุกหมู่บ้าน/ชุมชนของทั้ง 3 อำเภอ ซึ่งรวมมีจำนวนทั้งสิ้น 78 หมู่บ้าน 33 ชุมชน ขณะที่ผลการดำเนินงานในส่วนของการนำผู้เสพ/ผู้ติดเข้าบำบัดในระบบสมัครใจ ซึ่ง ศตส.จ.ภูเก็ต กำหนดให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ดำเนินการนำผู้เสพ/ผู้ติดเข้าระบบบำบัดแบบสมัครใจในปีงบประมาณ 2553 โดยมีเป้าหมาย 300 ราย ปรากฏว่า สำนักงานสาธารณสุขสามารถดำเนินการได้เกินเป้าที่กำหนด จำนวน 307 คน ผู้ที่เข้าระบบบำบัดส่วนใหญ่จะเป็นเพศชาย อายุตั้งแต่ 16 – 27 ปี มีอาชีพรับจ้าง ส่วนประเภทของยาเสพติดที่เข้ารับการบำบัดจะเป็นยาบ้า

นายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวตอนหนึ่งระหว่างการประชุมว่า ถึงแม้จะหมดนโยบายในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดตามปฏิบัติการ มหาดไทย Clean & seal ของกระทรวงมหาดไทยแล้ว ก็ขอให้ทุกหน่วยงานเกี่ยวข้องพยายามทำให้ต่อเนื่อง อย่าละความพยายาม อย่าท้อถอย ยังคงขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวตลอดไป เพราะเมื่อยาเสพติดเข้ามาแล้ว สังคมเราไปไม่รอด ก็ขอฝากให้ความสำคัญในเรื่องนี้ให้มากๆ และตนถึงแม้จะเหลือการทำงานเพียงเดือนเดียวก็จะพยายามให้ทำงานด้านนี้ให้เต็มที่เช่นเดียวกัน และขอฝากให้ทุกหน่วยทำงานกับผู้ว่าฯ คนใหม่อย่างจริงจัง แข็งขันต่อไปด้วย

นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ยังได้กล่าวถึงการขอให้จังหวัดภูเก็ตเป็นศูนย์ในการตรวจยืนยันสาสารเสพติดในปัสสาวะ ว่า เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมาตนได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้ท่านพิจารณาให้จังหวัดภูเก็ตเป็นศูนย์ฯ ดังกล่าว โดยทางจังหวัดจะสนับสนุนทั้งด้านงบประมาณในการจัดหาอุปกรณ์ เครื่องมือ และบุคลากรให้ ซึ่งได้ขอผ่านไปทางรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยไปแล้วในเรื่องของอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ทั้งนี้เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการตรวจยืนยันหาสารเสพติดในปัสสาวะได้มากขึ้น


ทต.วิชิต ติวผู้นำชุมชนป้องกันยาเสพติด


เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2553 ที่ห้องสวนหลวง โรงแรมคาทีน่า ภูเก็ต นายศุภชัย โพชนุกูล นายอำเภอเมืองภูเก็ต เป็นประธานเปิดโครงการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน ประชาสังคม ป้องกันยาเสพติด ซึ่งเทศบาลตำบลวิชิตจัดขึ้น เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้เข้าอบรมได้ตระหนักถึงความสำคัญและบทบาทในการเฝ้าระวังยาเสพติด สถานการณ์ยาเสพติดและเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการป้องกันยาเสพติด ซึ่งได้รับการสนับสนุนวิทยากร จากสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภาค 8 โดยมีนายกรีฑา แซ่ตัน นายกเทศมนตรีตำบลวิชิตในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเทศบาลตำบลวิชิต นายสมยศ วิจักรคณาวุธ รองนายกเทศมนตรีฯ สมาชิกสภาฯ และผู้นำชุมชนในเขตพื้นที่ตำบลวิชิตเข้าร่วม จำนวน 90 คน


นายกรีฑา แซ่ตัน นายกเทศมนตรีตำบลวิชิตในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเทศบาลตำบลวิชิต กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ได้มีคำสั่งที่ 1/2552 ลงวันที่ 3 เมษายน 2552 เรื่องกลไกการแก้ไขปัญหายาเสพติดตามยุทธศาสตร์ 5 รั้วป้องกัน ได้กำหนดศูนย์ปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดระดับต่างๆ และการแต่งตั้งศูนย์ประสานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ และขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติโดยเปลี่ยนบทบาทจากผู้สนับสนุนมาเป็นเจ้าภาพในระดับพื้นที่ ประกอบกับปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ทางเทศบาลตำบลวิชิต จึงได้จัดทำโครงการดังกล่าวข้างต้นขึ้น


ขณะที่นายศุภชัย โพชนุกูล นายอำเภอเมืองภูเก็ต กล่าวเสริมว่า นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยยึดหลักการ ผู้เสพ คือ ผู้ป่วยที่ต้องได้รับการบำบัดรักษา ผู้ค้า คือ ผู้ที่ต้องได้รับโทษตามกระบวนการยุติธรรม โดยกำหนดให้มีการเร่งรัดปราบปรามการค้ายาเสพติดและป้องกันมิให้กลุ่มเสี่ยงเข้าไปเป็นเหยื่อของยาเสพติด ใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ควบคู่กับมาตรการทางกฎหมาย ตลอดจนประชาสัมพันธ์ปรับเจตคติประชาชนให้ตระหนักถึงพิษภัยของยาเสพติด และมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา ใช้มาตรการลงโทษทางสังคมและทางกฎหมายกับผู้ค้า ผู้ผลิต สำหรับผู้เสพ ผู้ติด ดูแลช่วยเหลือให้ดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข