จำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ความสำคัญแห่งสังคมการเรียนรู้

เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ห้องประชุมกิจ หลีกภัย ชั้น 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ศูนย์ให้การศึกษาจังหวัดตรัง ตำบลนาบินหลา อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง นักศึกษาโปรแกรมวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ได้จัดให้มีการ สัมมนา เรื่อง “การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สู่สังคมแห่งการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาตนและงาน” โดยมีนายชะเอม ดำจุติ กำนันตำบลนาบินหลาและประธานกำนันจังหวัดตรัง เป็นประธาน โดยมีนายธนวัฒน์ ตรีรัตนวิกรานต์ อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการและนักศึกษา เข้าร่วม
ทั้งนี้นายอดุลย์ ผ่องแผ้ว ประธานโครงการฯ ได้กล่าวว่า “นักศึกษาโปรแกรมวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ศูนย์ให้การศึกษาจังหวัดตรัง ได้ดำเนินโครงการ“การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สู่สังคมแห่งการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาตนและงาน" เพื่อให้บุคลากรทราบถึงศักยภาพของตนเองและเพื่อนร่วมงาน รวมทั้งทราบแนวทางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การทำงาน ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันภายในหน่วยงานอย่างมีความสุข เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคลากรและหน่วยงาน เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรขององค์กรให้มีความพร้อมในการแข่งขันในตลาดแรงงาน ซึ่งความสำคัญของการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ทั้งในเรื่องความรู้ความสามารถ ทักษะในการปฏิบัติงาน การสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน ล้วนส่งผลต่อการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพทั้งสิ้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างความรู้แก่ผู้เข้าร่วมสัมมนา ซึ่งอยู่ในวัยทำงานจะได้นำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการทำงานและการดำเนินชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”

ระดมสมองออกแบบศูนย์ประชุมฯ

เมื่อเวลา 09.30 น.ของวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 53 ที่ห้องประชุมหลังใหม่ ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นางอัญชลี วานิช เทพบุตร รองเลขานายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง เป็นประธานการประชุมเปิดโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต งานสำรวจ และออกแบบรายละเอียดอาคาร (Detail Design) การศึกษาผลกระทบสิ่งแวลด้อม และการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน โดยมีนายทศพร เทพบุตร และนายเรวัต อารีรอบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด นายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคเอกชนที่เกี๋ยวข้อง โดยเฉพาะทางด้านการท่องเที่ยว ร่วมนำเสนอแนวคิด
นายสมศักดิ์ ธรรมเวชวิถี ประธานโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต งานสำรวจ และออกแบบรายละเอียดอาคาร (Detail Design) การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน กล่าวว่า ด้วยกระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ได้ขอรับการจัดสรรเงินภายใต้แผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ระยะที่ 2 ได้วงเงิน 2,600 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมฯ บนที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ภก.153 บริเวณหาดไม้ขาว ต.ไม้ขาว อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เนื้อที่ประมาณ 150 ไร่ โดยมีขั้นตอนการดำเนินงานโครงการ 3 ขั้นตอน คือ การดำเนินการสำรวจและออกแบบรายละเอียดโครงการ ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมาย และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 6 เดือน นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป จากนั้นจึงดำเนินการในขั้นตอนที่ 2 คือ การประกวดราคาหาผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการประมาณเดือนมิถุนายน 2553 และขั้นตอนที่ 3 จัดจ้างที่ปรึกษาควบคุมการก่อสร้างโครงการฯ ประมาณเดือนกรกฎาคม 2553

สำหรับในขั้นนี้เป็นการชี้แจงแนวคิดเบื้องต้นและรับทราบข้อมูลตลอดจนความคิดเห็นเพื่อนำไปใช้ประกอบการออกแบบรายละเอียดต่อไป นายสมศักดิ์กล่าวและว่า การก่อสร้างศูนย์ประชุมฯ นั้น เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจให้จังหวัดภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียง เป็นแหล่งงานและกระจายรายได้ให้ท้องถิ่นจากการดำเนินโครงการ พัฒนาที่ราชพัสดุ เพิ่มมูลค่าให้เกิดประโยชน์กับภาครัฐและภาคเอกชน สร้างความมั่นคงให้จังหวัดภูเก็ตสู่ความเป็นมิตรไมตรีในระดับนานาชาติและประชาคมโลก โดยจะต้องไม่สร้างกิจกรรมแข่งกับเจ้าของท้องที่เดิมที่มีอยู่แล้ว เช่น โรงแรม สถาบันเทิง เป็นต้น


รายละเอียดเพิ่มเติมติดตามได้ใน

หนังสือพิมพ์ ภูเก็ตโพสต์ ฉบับที่ 119 ประจำวันที่ 16 - 28 กุมภาพันธ์ 2553

ราชภัฎภูเก็ต ถ่ายทอดพลังสู่ความสำเร็จ

เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ห้องประชุมกิจหลีกภัย ชั้น 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ศูนย์ให้การศึกษาจังหวัดตรัง ตำบลนาบินหลา อำเภอเมือง จังหวัดตรัง นักศึกษาโปรแกรมวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต จัดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “ความคิดสร้างสรรค์ พลังสู่ความสำเร็จในการบริหารทรัพยากรมนุษย์” ทั้งนี้เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้เทคนิคการพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ พัฒนาความคิดอย่างเป็นระบบ การคิดในเชิงวิเคราะห์และเชิงสร้างสรรค์ สามารถพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของตนเองไปสู่นวัตกรรมได้ และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในการแก้ไขปัญหา ปรับปรุง และพัฒนางานที่ปฏิบัติอยู่หรือประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย อาจารย์ดุสิต กุลพิมพ์ไทย ผู้อำนวยการศูนย์ให้การศึกษาจังหวัดตรัง เป็นประธานเปิดงาน ในการนี้มี รองศาสตราจารย์ ดร. สุวิมล เขี้ยวแก้ว ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง มาบรรยายให้ความรู้ เรื่อง “การพัฒนาระบบความคิดและสร้างสรรค์” ให้นักศึกษาและอาจารย์รับฟัง จำนวนกว่า 200 คน
ทั้งนี้นางชวนพิศ ยิ้วเหี้ยง ตัวแทนคณะกรรมการจัดงานสัมมนา กล่าวว่า “ในการจัดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “ความคิดสร้างสรรค์ พลังสู่ความสำเร็จในการบริหารทรัพยากรมนุษย์” นั้น ด้วยเห็นว่าการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่มีต่อองค์กร และการแข่งขันทางธุรกิจในยุคปัจจุบัน ตลอดจนการพัฒนาความรู้ด้านความคิดสร้างสรรค์ของทรัพยากรบุคคล ซึ่งเป็นพลังสำคัญในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ให้มีความพร้อมนำพาองค์กรฝ่าวิกฤติและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เป็นองค์กรที่อยู่รอดและเจริญเติบโตอย่างแข่งแกร่งมั่นคงสืบไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันสภาพแวดล้อมและสภาวะเศรษฐกิจของประเทศกำลังประสบปัญหา อันจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดภายในองค์กร ดังนั้นการที่องค์กรจะอยู่รอดได้จำเป็นต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น จนเกิดเป็นนวัตกรรมการเรียนรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง การขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ห่วงโซ่แห่งมูลค่าเพิ่ม นั้น สิ่งสำคัญมิใช่ตัวเงิน แต่เป็นบุคลากรในองค์กรที่จะเป็นผู้สร้างและเพิ่มมูลค่างานเพื่อให้องค์กรเติบโตได้อย่างยั่งยืน การพัฒนาบุคลากรให้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์คือแนวทางหนึ่งที่ช่วยสร้างบุคลากรให้เป็นผู้ที่มองต่างมุมคิดแปลกแตกต่างจากผู้อื่นนำไปสู่กระบวนการบริหารการเปลี่ยนแปลง ผลักดันความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และนวัตกรรม นำพาองค์กรฝ่าวิกฤติและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เป็นองค์กรที่อยู่รอดและเจริญเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มั่นคงสืบไปได้”

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การใช้จุลินทรีอย่างมีประสิทธิภาพ

คุณปารียา จุลพงษ์ ผู้จัดการฝ่ายกิจสาธารณะโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต และคุณนนทลี มรรคาวาณิช ประธานมูลนิธิมรรคาวาณิช ร่วมบรรยายในหัวข้อ การใช้จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ (EM) กับสิ่งแวดล้อม ให้แก่เจ้าหน้าที่โรงเรียนนานาชาติบริติช เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในการช่วยบำบัดน้ำเสียและลดการใช้สารเคมีที่ทำลายสิ่งแวดล้อมในชุมชนโดยตรง พร้อมกันนี้ได้ให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้ทดลองผสมน้ำจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ (EM ขยาย) เพื่อนำกลับไปใช้ที่บ้านอีกด้วย ทั้งนี้หากหน่วยงานใดต้องการมีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อมในชุมชนด้วยวิธีที่ประหยัดและสามารถลดการสารใช้เคมีที่เป็นอันตราย สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายกิจสาธารณะ โทร 1719 ต่อ 2297 ทางโรงพยาบาลฯ และมูลนิธิฯ ยินดีจัดทีมวิทยากรบรรยายให้ความรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

โครงการเสื้อผ้าลดโลกร้อนครั้งที่ 3

คุณวรรณวนิดา เกตุกัน กรรมการผู้จัดการบริษัท เรเดียน เมดิคอล คลินิค จำกัด ร่วมมอบเสื้อผ้าบริจาคในโครงการเสื้อผ้าลดโลกร้อนครั้งที่ 3 ให้แก่ คุณปารียา จุลพงษ์ ผู้จัดการฝ่ายกิจสาธารณะโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต โดยอาสาสมัครทั้งภายในและภายนอกโรงพยาบาลฯ จะเดินทางไปมอบเสื้อผ้าและสิ่งของต่างๆ ให้แก่ชาวไทยและชาวมอแกน ทั้ง 74 ครอบครัว (2 หมู่บ้าน) ซึ่งอยู่ในความดูแลและช่วยเหลือของพระครูสุวัตถิธรรมรัต เจ้าอาวาสวัดสามัคคีธรรม (ป่าส้าน) อ.คุระบุรี จ.พังงา ตั้งแต่ประสบภัยสึนามิ เมื่อปี 2547

ทต.วิชิตรับสมัครเด็ก ร่วมกิจกรรมภาคฤดูร้อน ปี 53

เทศบาลตำบลวิชิตวิชิต เปิดรับสมัครเด็กและเยาวชน อายุระหว่าง 4 - 12 ปี เข้าร่วมกิจกรรมภาคฤดูร้อน ประจำปี 2553 ใน 5 กิจกรรม ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนใช้เวลาว่างในช่วงปิดภาคการศึกษา ให้เป็นประโยชน์ ส่งเสริมทักษะที่ตรงกับความสนใจของเด็กและเยาวชน และเปิดโอกาสในการเรียนรู้
โดยมีกิจกรรมประกอบด้วย

ฟุตบอล รับสมัคร อายุ 8 – 12 ปี รับจำนวน 60 คน
ตะกร้อ รับสมัคร อายุ 8 – 12 ปี รับจำนวน 25 คน
ว่ายน้ำ รับสมัคร อายุ 4 – 12 ปี รับจำนวน 30 คน
กิจกรรมศิลปะ รับสมัคร อายุ 8 – 12 ปี รับจำนวน 50 คน
กิจกรรมนาฏศิลป์ รับสมัคร อายุ 8 – 12 ปี รับจำนวน 25 คน

โดยผู้สมัครจะต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตตำบลวิชิต หรือกำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนเขตตำบลวิชิต มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโรคประจำตัวที่เป็นอุปสรรคในการอบรม โดยสมัครพร้อมด้วยหลักฐาน
ใบสมัครเข้าร่วมอบรม
รูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว จำนวน 2 รูป
สำเนาทะเบียนบ้าน

โดยรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ ถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ในวันและเวลาราชการ สามารถติดต่อขอรับใบสมัครและยื่นใบสมัครได้ที่ กองการศึกษา เทศบาลตำบลวิชิต หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองการศึกษา เทศบาลตำบลวิชิต หมายเลขโทรศัพท์ 076-525100 ต่อ 170 – 172

ทต.วิชิต รับสมัครบวชภาคฤดูร้อน ปี 53

นายกรีฑา แซ่ตัน นายกเทศมนตรีตำบลวิชิต เปิดเผยว่า ในสภาพการณ์ปัจจุบัน ประเทศชาติได้พัฒนาพร้อมกับความเจริญของเทคโนโลยีอย่างไร้พรมแดน ส่งผลให้การดำเนินชีวิตของมนุษย์เราเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมักมองเห็นคุณค่าทางวัตถุมากกว่าคุณค่าทางด้านจิตใจ ละเลยคุณธรรมและจริยธรรมที่มนุษย์พึงควรปฏิบัติและยึดถือ ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น ยาเสพติด ความรุนแรง ความกตัญญูและขาดวินัยต่อตนเองและสังคม ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย

ดังนั้นเทศบาลตำบลวิชิต ร่วมกับวัดเทพนิมิตร กำหนดโครงการบรรพชา – อุปสมบทภาคฤดูร้อน ประจำปี 2553 ขึ้น ซึ่งถือเป็นอีกทางหนึ่งที่จะส่งเสริม สร้างเสริมให้เยาวชนตระหนักและซึมซับสิ่งดีงามของหลักปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาที่จะนำพาเยาวชนสู่แนวทางคุณธรรมและจริยธรรมที่ถูกต้องต่อไป

สำหรับการดำเนินโครงการในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้เยาวชนใช้เวลาว่างระหว่างปิดภาคเรียนให้เกิดประโยชน์ เพื่อเสริมสร้างคุณธรรมและจริยธรรมให้เกิดแก่เยาวชน เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้เยาวชนได้ศึกษาธรรมะและหลักธรรมเบื้องต้นทางพระพุทธศาสนา เพื่อให้เยาวชนนำคำสอนทางพระพุทธศาสนาไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข ซึ่งในช่วงระยะเวลาการบวชเณร ระหว่างวันที่ 8 เมษายน – 3 พฤษภาคม 2553 เด็กและเยาวชนจะได้รับความรู้ด้านศาสนาและความรู้ด้านต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

โดยมีหลักเกณฑ์การรับสมัคร ดังนี้ คุณสมบัติ เป็นเพศชาย อายุ 11 – 20 ปี พร้อมด้วยหลักฐานการสมัคร รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวก ขนาด 1 นิ้ว จำนวน 1 รูป กรณีอายุไม่ถึง 15 ปี นำสำเนาทะเบียนบ้านของผู้สมัคร และสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ปกครอง (กรณีอยู่คนละแห่งกับผู้สมัคร) พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง ส่วนกรณีอายุ 15 ปีขึ้นไป ยื่นใบสมัครพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง ตั้งแต่บัดนี้ – 19 มีนาคม 2553 ในวันและเวลาราชการ ณ กองการศึกษา เทศบาลตำบลวิชิต อ.เมือง ภูเก็ต จำนวน 50 คน โดยจะมีพิธีโกนผมนาค ในวันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2553 เวลา 08.30 น.และทำพิธีบรรพชาในวันเดียวกันเวลา 13.00 น. ณ วัดเทพนิมิตร ตำบลวิชิต อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ติดต่อสอบถามขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองการศึกษา เทศบาลตำบลวิชิต โทร 0-7652-5100 ต่อ 170 – 172 หรือ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.phuket-vichit.go.th/

ตร.ฉลองรวบผู้ค้ายาบ้าผู้ต้องหา 4 คนพร้อมของกลาง

เมื่อเวลา 08.30 น.ของวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 53 ที่ห้องประชุมสภ.ฉลอง อ.เมือง ภูเก็ต พ.ต.ท.จรัล บางประเสริฐ สว.สส.สภ.ฉลอง อ.เมืองภูเก็ต พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.ฉลอง ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมตัวนายประวิง บางจาก อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 96/1 ม. 4 ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายธานินทร์ ใจเหล็ก อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 39/4 ม. 4 ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายสรัน บุตรมิตร อายุ 21 ปี อยู่บ้านเลขที่ 40/2 ม. 4 ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต นางสาวอารียา ช่างเหล็ก อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 39/2 ม. 4 ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต (นักศึกษาวิทยาลัยอาชีวะภูเก็ต แผนกการตลาด ชั้น ปวส.ปีที่ 2) พร้อมด้วยของกลาง ยาบ้า 2,967 เม็ด รถยนต์ยี่ห้อฮ้อนด้า รุ่นแจ๊ส สีดำ หมายเลขทะเบียน กฉ – 2152 ภูเก็ต 1 คัน โดยจับกุมได้ที่วงเวียนห้าแยกฉลอง ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต ในข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 ยาบ้า ไว้ครอบครองและจำหน่าย

ทั้งนี้พ.ต.ท.จรัล บางประเสริฐ สว.สส.สภ.ฉลอง ได้กล่าวว่า ในการการจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสภ.ฉลอง ทราบว่านายประวิง มีพฤติกรรมจำหน่ายยาบ้าให้แก่วัยรุ่น จนมีฐานะร่ำรวยและมีวัยรุ่นบริเวณใกล้เคียงจำนวนมากต้องตกเป็นทาสของยาเสพติดจำนวนมาก จึงได้เฝ้าดูพฤติกรรมมาอย่างต่อเนื่องกว่า 3 เดือน จนกระทั่งเมื่อคืนที่ผ่านมา ได้รับแจ้งจากสายว่า นายประวิงจะเดินทางไปรับยาบ้ามาจำนวนหนึ่ง จากเอเย่นต์ โดยขับรถยนต์ฮอนด้าแจ๊ส สีดำ หมายเลขทะเบียน กฉ – 2152 ภูเก็ต ออกไปรับยาบ้า ซึ่งในระหว่างนั้นก็ได้ให้เจ้าหน้าที่ได้ติดตามดูพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด จนกระทั่งนายประวิง รับยาบ้ามาจากเอเย่นต์เสร็จแล้ว ก็ได้ให้นายธานินทร์ ใจเหล็ก เพื่อนร่วมแก็งค์เป็นคนขับรถกลับยังบ้านพักที่ซอยมัสยิด ม.4 ต.ราไวย์ เมื่อขับมาถึงบริเวณวงเวียนห้าแยกฉลอง เจ้าหน้าที่ก็ได้แสดงตัวเข้าทำการตรวจค้นพบยาบ้าจำนวนดังกล่าวซุกซ่อนอยู่ภายในรถยนต์คันดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวทั้งหมดที่อยู่ภายในรถคันดังกล่าว มาสอบสวนเพิ่มเติมที่สภ.ฉลอง เพื่อขยายผลถึงเอเย่นต์ที่มาส่งของดังกล่าว

สำหรับนายประวิง บางจาก ได้ถูกจับคดีจำหน่ายคดียาบ้ามาแล้วถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกศาลสั่งจำคุกเป็นเวลา 5 ปี ส่วนครั้ง 2 อยู่ในระหว่างการประกันตัวของศาลจังหวัดภูเก็ต จนกระทั่งมาถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้อีกครั้ง

ตร.เมืองภูเก็ต อบรมใช้ประโยชน์จากกล้องซีซีทีวี

เมื่อเวลา 09.30 น.ของวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 53 ที่ศูนย์ควบคุมสั่งการซีซีทีวี บริเวณชั้น 4 สภ.เมืองภูเก็ต พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต ได้เป็นประธานในการจัดอบรมเจ้าหน้าที่นายตำรวจตั้งแต่ระดับ รอง.ผกก.พนักงานสอบสวย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนและเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ควบคุมฯ สภ.เมือง ภูเก็ต
พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต กล่าวว่า ด้วยทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ได้ตั้งงบประมาณในการจัดซื้อพร้อมติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด หรือ CCTV ในพื้นที่เขตเทศบาลนครภูเก็ต เทศบาลตำบลรัษฎาและเทศบาลตำบลวิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ งบประมาณ 24 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลความปลอดภัยในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และเพิ่มจำนวนกล้องให้มีความครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ โดยมีบริษัทมาเข้าประมูลในราคากว่า 16 ล้านบาท

สำหรับระบบกล้องที่ทำการติดตั้งนั้นจะมีทั้งแบบฟิกซ์ และ แบบหมุนได้ 360 องศา และซูมได้ 35 เท่า เป็นระบบดิจิดัล กล้องทุกตัวกันน้ำและกันแสงแดด มีความคมชัดเท่าเทียบได้กับระบบ DVD เบื้องต้นที่คำนวณได้นั้นจะสามารถเก็บบันทึกข้อมูลได้ 24 ชั่วโมงเป็นเวลา 24 วัน แต่คิดว่าในการใช้งานจริงจะสามารถบันทึกได้นานกว่านั้น นายไพบูลย์ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่าในกรณีที่กล้องมีปัญหา และไม่สามารถหาซื้อกล้องแบบเดิมได้ ระบบของกล้องที่ติดตั้งไว้เดิม สามารถรองรับกล้องชนิดอื่นๆ ได้ไม่ต่ำกว่า 30 ยี่ห้อ จำนวน 400 รุ่น ทั้งนี้ทางบริษัทจะทำการรับประกันเป็นเวลา 1 ปี

และการอบรมในครั้งนี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้หรือตรวจสอบภาพจากกล้องซีซีทีวีที่มีการติดตั้งไว้รอบเมืองภูเก็ตจำนวน 53 ตัวได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น การซูมภาพยานพาหนะของคนร้าย การปรับแต่งภาพใบหน้าของคนร้ายที่ก่อเหตุให้ได้ขนาดและความคมชัด จนสามารถนำมาประกอบเป็นหลักฐานเสนอต่อศาลอนุมัติออกหมายจับคนร้ายได้ในที่สุด โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้รูปพรรณหรือลักษณะของยานพาหนะ เพื่อติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้อย่างรวดเร็ว

พ.ต.อ.วันไชย ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้ศูยน์ควบคุมสั่งการซีซีทีวีที่มีการติดตั้งอยู่ที่ สภ.เมืองภูเก็ตถือว่าเป็นศูนย์ควบคุมสั่งการกล้องวงจรปิดที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดใน บช.ภ.8 เพื่อควบคุมและติดตามผู้กระทำความผิดด้านจราจรและอาชญากรรม ซึ่งจากนี้ไปศูนย์ควบคุมสั่งการซีซีทีวีจะมีเจ้าหน้าที่ประจำตลอด 24 ชั่วโมง โดยจะคอยควบคุมและสั่งการ ตลอดจนประสานสายตรวจแต่ละพื้นที่ติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดี รวมไปถึงการดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

แดงภูเก็ตออกแถลงการณ์ตอบโต


เมื่อเวลา 17.30 น.ของวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 53 ที่ร้านอาหารครัวครูสะอาด อ.เมือง ภูเก็ต กลุ่มพิทักษ์ประชาธิปไตยภูเก็ต นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ภูเก็ต นำโดยนายสุนทร โต๊ะหมาน แกนนำ พร้อมด้วยนายวิสุทธิ์ ตั้งวิทยาภรณ์ ได้ร่วมกันแถลงข่าว กรณีที่ทางกลุ่มเสื้อแดงจำนวน 6 คนถูกกลุ่มคนรุมทำร้ายร่างกาย ในระหว่างที่ได้รวมตัวกันเพื่ออ่านแถลงการณ์ และยื่นหนังสือให้กับทหารทัพเรือภาคที่ 3 เพื่อเป็นกำลังใจให้กับทหาร
ทั้งนี้นายวิสุทธิ์ ได้กล่าวว่า สืบเนื่องจากวันนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2553) นปชแดงทั้งแผ่นดิน ได้มอบหมายให้แนวร่วมในทุกจังหวัดของประเทศได้ออกมาแสดงพลังตามแผน “ผูกมิตรทหารกล้า ต่อต้านขี้ข้าอำมาตย์” โดยพร้อมเพรียงในตามหน่วยทหารที่มีอยู่ในแต่ละจังหวัด สำหรับในส่วนของจังหวัดภูเก็ต มีหน่วยงานทหารอยู่ในพื้นที่คือ “ทัพเรือภาค 3” สังกัดกองทัพเรือ ซึ่งทางกลุ่มได้มีการประสานเป็นการภายในกับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง เพื่อเดินทางไปมอบดอกไม้ให้กำลังใจ และอ่านแถลงการณ์ประกาศเจตนารมณ์ของกลุ่มในช่วงเวลาประมาณ 15.00 น. ซึ่งทุกอย่างได้มีการประสานงานกันด้วยดี และการแสดงออกก็เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งประชาชนสามารถที่จะแสดงทางการเมืองได้

ต่อมาปรากฏว่า ในช่วงเวลาประมาณ 10.00 น. วันนี้ได้มีกลุ่มคนประมาณ 6 คนที่นำโดยนายศิริพงศ์ เลื่อนฉวี ใส่เสื้อสีแดงเดินทางไปยังบริเวณด้านหน้าทัพเรือภาคที่ 3 อ่าวมะขาม ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นการเดินทางไปเพื่อให้กำลังใจหน่วยงานทหาร เช่นเดียวกับที่ทางกลุ่มได้เตรียมการไว้ (เพียงแต่ไปก่อนเวลาที่กำหนด) แต่ปรากฏว่าได้ถูกกลุ่มคนในพื้นที่จำนวนประมาณ 100 คนได้ทำการล้อมกรอบกลุ่มคนเสื้อแดงทั้ง 6 คน และด่าทออย่างเสียหาย โดยไม่ได้สนใจต่อเหตุผลที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะมาดำเนินการ นอกจากนี้ยังมีการทำร้ายร่างกายกันเกิดขึ้น ยังดีที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ทหารเรือได้ช่วยกันห้ามปรามจนเหตุการณ์ได้ยุติลงโดยดี

นายวิสุทธิ์ ยังกล่าวอีกว่า จากเหตุการณ์นี้ทาง กลุ่มพิทักษ์ประชาธิปไตยภูเก็ต จึงขอประณามการกระทำของกลุ่มคนดังกล่าว ที่ออกข่าวชักชวนและสร้างข่าวให้ชาวบ้านเข้าใจผิด จนเกือบที่จะเกิดเหตุการณ์หรือเหตุร้ายขึ้น ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว การเดินทางไปของคนเสื้อแดงเป็นเพียงการเดินทางไปเพื่อให้กำลังใจแก่ทหารหาญโดยเฉพาะกองทัพเรือ ที่ยืนหยัดเคียงข้างประชาชนด้วยดีเรื่อยมา และไม่เคยปรากฏว่าทหารเรือเป็นผู้นำในการปฏิวัติ รัฐประหาร อีกทั้งการออกมาแสดงพลังของคนเสื้อแดงในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตก็ทำกันโดยเปิดเผย สงบ สันติ เรื่อยมา แต่ทุกครั้งกลับถูกกลุ่มบุคคลที่อ้างตนเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือกลุ่มคนที่อ้างตนเป็นคนของพรรคการเมืองบางพรรคออกมาต่อต้าน และกระทำการย่ำยีศักดิ์ศรีของคนเสื้อแดงอยู่ตลอดเวลา

นายวิสุทธิ์ ได้กล่าวในตอนท้ายว่า เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนของคนเสื้อแดงในจังหวัดภูเก็ต เราขอประกาศให้ทราบว่า ที่ผ่านมาพวกเราได้ยอมโอนอ่อนผ่อนตามกับสิ่งที่เกิดขึ้นมามากแล้ว นับจากนี้เป็นต้นไป หากมีการกระทำใดๆ กับคนเสื้อแดงในจังหวัดภูเก็ตอย่างไร้เหตุผล ไม่ว่าจะโดยคนกลุ่มใดก็ตาม ก็จะถูกตอบโต้ในทันที ไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ แม้ว่าที่ผ่านมาพวกเราจะยึดมั่นในแนวทางสงบ สันติ แต่หากมีการยั่วยุ หรือกระทำการใดๆ จนพวกเราได้รับความเสียหาย ก็เป็นเหตุจำเป็นที่จะต้องมีการตอบโต้บ้าง แม้ว่าจะทำให้เกิดเหตุการณ์ที่อาจเป็นการกระทบต่อเศรษฐกิจของจังหวัดภูเก็ตบ้างก็ตาม ทั้งนี้ทาง กลุ่มพิทักษ์ประชาธิปไตยภูเก็ต ยังคงยืนยันเจตนารมณ์เดิมของกลุ่มที่จะดำเนินกิจกรรมภายใต้กรอบของกฎหมาย และสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ

ต้อนรับเทศบาลโคราช

นายปมุข อัจฉริยะฉาย ประธานกรรมการโรงแรมในเครือกะตะกรุ๊ป พร้อมด้วยนางธันยรัศม์ อัจฉริยะฉาย สมาชิกวุฒิสภา จังหวัดภูเก็ต ให้การต้อนรับและเลี้ยงรับรองอาหารค่ำกับนายสุมธ ศรีพงศ์ สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดนครราชสีมา และคณะนายกเทศมนตรีนครนครราชสีมา นำโดย นายสุรวุฒิ เชิดชัย นายกสันนิบาตเทศบาล นครราชสีมา ในโอกาสที่ได้เดินทางมาทัศนศึกษาดูงานเทศบาลและการท่องเที่ยวที่จังหวัดภูเก็ต ณ โรงแรมกะตะบีชรีสอร์ทแอนด์สปา

สภ.เมืองร่วมศาลภูเก็ตเปิดไกล่เกลี่ย

เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ห้องประชุมชั้น 4 สภ.เมือง ภูเก็ต พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต เป็นประธานเปิดศูนย์ ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นสอบสวน โดยมี นางสาววรางคณา สุจริตกุล ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดภูเก็ต นายไมตรี วงศ์ขจรศิลป์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว คณะกรรมการไกล่เกลี่ยศาลจังหวัดภูเก็ต และศาลแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมือง ภูเก็ตเข้าร่วม พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ. เมืองภูเก็ต ได้กล่าวว่า เนื่องจากปัจจุบันได้มีคดีอาญาเกิดขึ้นและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในชั้นสอบสวน ชั้นอัยการและศาล เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อเป็นการลดการนำคดีเข้ากระบวนการยุติธรรม หรือเพื่อให้การดำเนินคดีเสร็จสิ้นไปโดยรวดเร็ว และประหยัด สร้างความสงบสุขให้แก่ชุมชน สังคม และประเทศชาติ จึงจำเป็นที่จะต้องมีกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นสอบสวนขึ้น เพราะคู่พิพาทไม่สามารถเจรจาจนบรรลุข้อตกลงด้วยตนเองได้ ซึ่งเกิดจากการขาดความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน แต่ละฝ่ายมีอารมณ์โกรธหรือมีทิฐิต่อกัน มีความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน ไม่รู้จักการแก้ไขปัญหา ทางสภ.เมือง ภูเก็ต ได้เห็นความสำคัญในการจัดให้มีกระบวนการไกล่เกลี่ยคดีอาญาขึ้นในระดับสถานีตำรวจ จึงได้เข้าทำการหารือกับทางศาลจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นต้นแบบในการไกล่เกลี่ย และประสบความสำเร็จในการไกล่เกลี่ยในชั้นศาลมาแล้วเป็นจำนวนมาก โดยการเปิดศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นสอบสวนขึ้น เพื่อรักษาสัมพันธภาพที่ระหว่างคู่พิพาท และสร้างความพึงพอใจให้แก่คู่พิพาท รวมทั้งรักษาชื่อเสียงและความลับตัวธุรกิจของคู่พิพาท และเพื่อลดปริมาณคดีที่จะขึ้นสู่ศาลและหน่วยงานอื่นๆ ลดลงประมาณ 10 – 30 เปอร์เซ็นต์ สำหรับคดีพิพาทที่สามารถไกล่เกลี่ยได้ประกอบด้วย คดีอาญาที่เกี่ยวกับความผิดอันยอมความกันได้, ความผิดลหุโทษหรือความผิดที่มีอัตราโทษไม่สูงกว่าความผิดลหุโทษ, ความผิดที่กระทำด้วยความประมาท และความผิดที่มีโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกินห้าปี โดยคณะกรรมการไกล่เกลี่ยได้สรรหาจากบุคคลในพื้นที่ที่มีความสมัครใจและเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เช่น คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ หรือ กต.ตร. ผู้นำท้องถิ่น ตัวแทนประชาชน ผู้แทนจากกลุ่มอาชีพต่างๆ นักธุรกิจ และประชาชนทั่วไป จำนวน 38 ท่าน โดยทุกท่านนั้นเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั่วไป และมีประสบการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางท่านยังทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการไกล่เกลี่ยคดีข้อพิพาทประจำศาลจังหวัดภูเก็ตอยู่ด้วย
รายละเอียดเพิ่มเติม
ติดตามได้ในหนังสือพิมพ์ ภูเก็ตโพสต์ ฉบับที่ 118 ประจำวันที่ 1 - 15 กุมภาพันธ์ 2553

เสื้อแดงภูเก็ตถูกชาวบ้านไล่ออกจากพื้นที่

เมื่อเวลา 09.00 น.ของวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 53 ที่บริเวณหน้าทัพเรือภาคที่ 3 ถ.ศักดิเดช ม.8 ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ต ได้มีชาวบ้านจำนวน 50 คน มารวมตัวกันหลังจากทราบข่าวว่า จะมีกลุ่มคนเสื้อแดงมาออกแถลงการณ์ และยื่นหนังสือต่อทัพเรือภาค 3 หลังกลุ่มแกนนำเสื้อแดงส่วนกลางนัดเคลื่อนไหวพร้อมกันทั่วประเทศทุกจังหวัดที่มีหน่วยหรือกองทัพตั้งอยู่ จนกระทั่งเวลา 10.00 น.ของวันเดียวกัน สมาชิกกลุ่มมูลนิธิบ้านเลขที่ 111 นำโดยนายศิริพงษ์ เลื่อนฉวี ทนายความและกรรมการหอการค้า จ.ภูเก็ต และอ้างตัวเป็นอดีตนายทหารเก่า พร้อมด้วยสมาชิกที่สวมเสื้อสีแดงราว 6 คน เดินทางเพื่อจะอ่านแถลงการณ์ต่อต้านการทำรัฐประหาร โดยสมาชิกกลุ่มมูลนิธิบ้านเลขที่ 111 ได้ใช้รถเก๋งเบ๊นซ์และรถกระบะเพียง 2 คันขับไปจอดตรงข้ามทัพเรือภาคที่ 3 จากนั้นก็ได้ลงจากรถ พร้อมด้วยพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีเจ้าหน้าที่สารวัตรทหารเรือ ของทัพเรือภาค 3และเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เมืองประมาณ 50 นายเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ภายในพื้นที่ทัพเรือภาค 3
จากนั้นนายศิริพงษ์พยายามจะอ่านแถลงการณ์ แต่ชาวบ้านในหมู่ 8 ต.วิชิต ซึ่งที่ได้เดินทางร่วมกันเพิ่มเติมอีกประมาณ 100 คน และเกิดความไม่พอใจกับพฤติกรรมดังกล่าว โดยได้ขับไล่และจะบุกเข้าทำร้ายร่างกาย แต่ สห.ทหารเรือและเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ สภ.เมืองภูเก็ตได้ห้ามไว้ โดยบรรยากาศเต็มไปด้วยความตรึงเครียด เนื่องจากชาวบ้านในพื้นที่ไม่ต้องการความแตกแยกในพื้นที่ และอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวได้ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นที่ตั้งของโรงแรมชื่อดังหลายแห่ง ซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นจำนวนมาก แต่สมาชิกแกนนำกลุ่มมูลนิธิบ้านเลขที่ 111 ยังคงดื้อดึงที่จะอ่านแถลงการณ์ดังกล่าว โดยมี 1 ในสมาชิกที่เป็นหญิงสาวและมีสามีเป็นชาวต่างชาติสวมเสื้อแดงเช่นกันพยายามจะถ่ายภาพชาวบ้านที่กำลังจะลุกฮือ จนเกิดการกระทบกระทั่งกันขึ้น โดย สห.และตำรวจ สภ.เมืองภูเก็ตสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ในที่สุด โดยขอร้องให้สมาชิกแกนนำกลุ่มมูลนิธิบ้านเลขที่ 111 เดินทางออกจากบริเวณหน้าทัพเรือภาคที่ 3
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ทางกลุ่มเสื้อแดงแยกย้ายกันกลับไปแล้ว ปรากฏว่ายังมีชาวบ้านประมาณ 20 คน รวมตัวกันวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ระหว่างนั้นได้มีชาวบ้านคนหนึ่งในกลุ่มสังเกตเห็นมีรถยนต์ฮอนด้ารุ่นซีอาร์วี สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน กฉ 8844 ภูเก็ต มีตราสภาทนายความติดอยู่ด้วยจอดอยู่ ภายในมีชายคนหนึ่งนั่งโทรศัพท์อยู่ในรถ แต่ไม่ใช่รถของคนในพื้นที่ จึงได้เคาะกระจกสอบถามว่าเป็นใคร เนื่องจากเห็นใส่เสื้อสีแดงและสวมแจ๊คเก็ตสีดำทับ ต่างกรูเข้าไปจะทำร้าย แต่มีชายหนึ่งในกลุ่มได้ห้ามไว้และให้สอบถามรายละเอียดจนทราบว่ามา ชายคนดังกล่าวมากับกลุ่มคนเสื้อแดงที่กลับไปแล้ว และได้เอากุญแจรถไปด้วย จึงไม่สามารถกลับออกไปได้
หลังจากคุยกันแล้วก็บังคับให้ชายคนดังกล่าวถอดเสื้อสีแดงออก โดยไม่มีการทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด จะมีก็เพียงเสียงต่อว่าต่อขานว่าทำไปทำไมเพราะก่อให้เกิดความวุ่นวาย และมีชาวบ้านส่วนหนึ่งนำเสื้อแดงดังกล่าวไปเผาทำลายทิ้งพร้อมด้วยธงสีแดงขนาดเล็กๆ จำนวนประมาณ 20 อัน ในขณะชาวบ้านก็อนุญาตให้ชายคนดังกล่าวกลับไปได้ โดยทางเจ้าหน้าตำรวจของ สภ.เมืองภูเก็ตไปส่ง ส่วนรถก็ยังคงจอดทิ้งไว้ด้านหน้าทัพเรือภาคที่ 3
ขณะที่ นายยาหมาน ยุคุณธร อดีตสมาชิก อบต.วิชิต กล่าวว่า ไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายขึ้นไม่ว่าจะเป็นเสื้อสีใดก็ตาม เพราะเราเป็นเมืองท่องเที่ยว และทุกคนต่างต้องการที่จะทำมาหากิน หากมีความวุ่นวายเกิดขึ้นก็จะทำให้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยว
น.ส.กัลยา การะเกต หนึ่งในชาวบ้านหมู่ 8 ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ตกล่าวว่า ทราบว่าสมาชิกกลุ่มคนเสื้อแดงภูเก็ต จะมารวมตัวกันที่บริเวณทัพเรือภาคที่ 3 ชาวบ้านในพื้นที่จึงหารือร่วมกัน เพื่อออกมาต่อต้าน เพราะไม่ต้องการให้เกิดภาพการรวมตัวของคนเสื้อแดงในพื้นที่ ชาวบ้านต้องการความสงบ ไม่ต้องการให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ต่อการท่องเที่ยว โดยชาวบ้านที่นี่อยู่ร่วมกับทหารเรือด้วยความสงบสุขและอยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดี ทหารดูแลชาวบ้าน และเข้าถึงชาวบ้าน หากกลุ่มคนเสื้อแดงจะรวมตัวแสดงพลังประท้วงใดๆ ขอให้เดินทางไปรวมตัวกับกลุ่มพวกพ้องของตนเองที่กรุงเทพฯ อย่ามาก่อความวุ่นวายใน จ.ภูเก็ต อย่างเด็ดขาด
ด้านนายวิสุทธิ์ ตั้งวิทยาภรณ์ เลขากลุ่มพิทักษ์ประชาธิปไตยภูเก็ตหรือแกนนำเสื้อแดงภูเก็ตเปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่หน้าทัพเรือภาคที่ 3 เมื่อช่วงสายนั้นถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้กลุ่มบุคคลที่ถูกทำร้ายมิใช่กลุ่มคนเสื้อแดง แต่สิ่งที่กลุ่มคนเสื้อแดงภูเก็ตจะดำเนินการ คือ การเข้าไปให้กำลังใจต่อทัพเรือภาคที่ 3 และลูกประดู่ทุกนายในฐานะที่กองทัพเรือเป็นเพียงกองกำลังเดียวที่อยู่เคียงข้างพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด

ขอความชัดเจนกรมป่าไม้ แก้บุกรุกสวนป่าบางขนุน

ด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์ของภูเก็ตซึ่งเป็นเกาะขนาดใหญ่ และมีความสวยงามของธรรมชาติ หลังจากหมดยุคของเหมืองแร่ ก็เข้าสู่ยุดของการท่องเที่ยว ส่งผลให้เกิดการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและไร้ทิศทาง ประกอบกับขนาดของพื้นที่ราบมีจำกัด แต่จำนวนของประชากรกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีผู้คนเดินทางเข้ามาอาศัยเป็นจำนวนมาก ปัญหาหนึ่งที่ตามมาคือ การบุกรุกที่สาธารณะเพื่อเป็นที่อยู่อยู่อาศัย รวมทั้งการประกอบอาชีพ โดยพื้นที่ที่อยู่ในความสนใจ ได้แก่ สวนป่าบางขนุน ซึ่งจากเนื้อที่หมดประมาณ 5,000 ไร่ ถูกบุกรุกไปแล้วประมาณ 3,000 ไร่

นายภพพล ศิริลักษณะพงศ์ หัวหน้ากลุ่มงานทรัพยากรธรรมชาติ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดภูเก็ต (ทสจ.ภูเก็ต) กล่าวชี้แจงในการประชุมคณะกรรมการรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดภูเก็ต ครั้งที่ 1/2553 เกี่ยวกับการป้องกันการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติ กรณีพื้นที่สวนป่าบางขนุน อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ว่า กรณีการบุกรุกแผ้วถางพื้นที่สวนป่าบางขนุนนั้น ที่ผ่านมาทางเจ้าหน้าที่ได้มีการแจ้งความร้องทุกข์ไว้แล้ว แต่จากกรณีที่ทางผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงตรวจสอบพื้นที่และพบมีการบุกรุกแผ้วถางต้นไม้ขนาดใหญ่ และพื้นที่ไม่ไกลจากที่ทำการของเจ้าหน้าที่มาก
“ที่ผ่านมาการป้องกันรักษาป่าสงวนแห่งชาติป่าบางขนุน สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง มีการสนธิกำลังเจ้าหน้าที่จากกรมป่าไม้ ตำรวจตระเวนชายแดน จัดทำแผนตั้งชุดเฉพาะกิจ พร้อมรายงานสถานการณ์ให้กรมป่าไม้และจังหวัดภูเก็ตทราบมาโดยตลอด แต่เนื่องจากอัตรากำลังและงบประมาณมีจำกัด จึงไม่สามารถตรวจตราและลาดตระเวนได้ตลอดเวลา”

สำหรับพื้นที่สวนป่าบางขนุนนั้น เดิมเป็นป่าคุ้มครอง ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองและสงวนป่า พ.ศ.2481 ได้ประกาศเป็นป่าสงวนแห่งชาติตามกฎกระทรวงฉบับที่ 217 พ.ศ.2507 เนื้อที่ประมาณ 5,000 ไร่ มีสภาพป่าค่อนข้างสมบูรณ์ มีพันธุ์ไม้หลายชนิด เช่น ไม้ตะเคียนทอง ไม้หลุมพอ ไม้ทัง เป็นต้น ต่อมามีราษฎรหลายกลุ่มได้เข้ามาบุกรุกยึดครองพื้นที่เพื่อทำการเกษตรทำให้สภาพป่าเสื่อมโทรม กรมป่าไม้ห้วงนั้น จึงให้สำนักงานป่าไม้เขตนครศรีธรรมราช จัดทำโครงการปลูกป่าทดแทนระหว่างปี 2500-2529 เนื้อที่รวม 4,850 ไร่

จากการสำรวจสวนป่าพบว่ามีการบุกรุกแผ้วถาง ตัดไม้ทำลายพื้นที่สวนป่าเรื่อยมา มีข้อมูลการบุกรุกตั้งแต่ปี 2532 มีทั้งที่สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้และไม่ได้ จนกระทั่งเดือนกันยายน 2541 ราษฎรหลายรายที่บุกรุกถูกจับดำเนินคดีได้รวมตัวยื่นหนังสือกับผู้ว่าฯ สมัยนั้น พร้อมแจ้งรายชื่อและจำนวนราษฎรที่เข้าทำประโยชน์ 2 ตำบล จำนวน 333 ราย เนื้อที่ประมาณ 3,512 ไร่ และยังพบการบุกรุกเพิ่มขึ้น ทางจังหวัดภูเก็ตโดยคณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามลักลอบและทำลายทรัพยากรป่าไม้ ประจำจังหวัดภูเก็ตขณะนั้น ได้ตั้งคณะทำงานตามคำสั่งจังหวัด ทำการสำรวจในห้วงปี 2542






รายละเอียดเพิ่มเติม
ติดตามได้ในหนังสือพิมพ์ ภูเก็ตโพสต์ ฉบับที่ 118 ประจำวันที่ 1 - 15 กุมภาพันธ์ 2553

เตรียมดันวาระภูเก็ต แก้ปัญหาด้านคมนาคม

นางอัญชลี วานิช เทพบุตร รองเลขานายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง กล่าวว่า ตลอดช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมาซึ่งรัฐบาลได้เข้ามามีบทบาทในการบริหารประเทศ โดย 3 เดือนแรกของการบริหารงาน ช่วงนั้นได้เกิดปัญหาภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งลุกลามไปยังประเทศต่างๆ ทุกภูมิภาค โดยเฉพาะภูเก็ตซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะพึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวเป็นหลัก แต่ปรากฏว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในระยะนั้นลดลงประมาณ 20% แนวทางการพัฒนาในช่วงนั้นจึงมุ่งเน้นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นหลัก“ที่ผ่านมารัฐบาลเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจภายใต้โครงไทยเข้มแข็ง ซึ่งแบ่งการดำเนินการออกเป็น 2 ระยะโดยระยะแรกใช้งบประมาณ 200,000 ล้านบาท เพื่อเข้าไปแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรและสาธารณูปโภคสาธารณูปการต่าง ๆ เช่น โครงการชลประทาน ซึ่งภูเก็ตได้รับการสนับสนุนงบจัดสร้างอ่างเก็บน้ำคลองกระทะ 600 ล้านบาท โครงการถนนไร้ฝุ่นอีกจำนวนหนึ่ง เป็นต้น ส่วนในระยะที่ 2 ใช้งบประมาณ 150,000 ล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ในการเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันของประเทศ”

นางอัญชลี กล่าวด้วยว่า ส่วนของภูเก็ตซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ โดยทำรายได้ให้กับประเทศปีละร่วมหนึ่งแสนล้านบาท รัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญดังกล่าว ได้มีการสนับสนุนงบประมาณจำนวน 2,100 ล้านบาทในการจัดสร้างศูนย์ประชุมนานาชาติ เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขัน โดยเฉพาะกลุ่มประชุมสัมมนา หรือMICE ( Meeting Incentive Convention& Exhibition) งบพัฒนาและขยายท่าอากาศยานภูเก็ตจำนวนประมาณ 5.7 ล้านบาท เพื่อขยายการรองรับผู้โดยสารจาก 6.5 ล้านคน เป็น 12 ล้านคน รวมถึงการขยายรันเวย์ อาคารผู้โดยสารขาเข้า-ขาออก และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ นอกจากนี้ยังสนับสนุนงบประมาณจัดทำสาธารณูปโภคและสาธารณูปการอื่นๆ อีกหลายโครงการ เพื่อรองรับแผนการพัฒนาในระยะยาว
โครงการที่คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้แล้วการบริหารจัดการน้ำเพื่ออุปโภคและบริโภคให้กับเมืองท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ภูเก็ต เกาะสมุย เป็นต้น ของการประปาส่วนภูมิภาค โดยเฉพาะการวางท่อส่งน้ำจากเขื่อนรัชประภาหรือเขื่อนเชี่ยวหลานไปยังเมืองท่องเที่ยวดังกล่าว เบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบก่อสร้างประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งในการลงทุนนั้นต้องรอผลการศึกษาก่อนว่าเป็นออย่างไร อาจจะเป็นการลงทุนร่วมระหว่างภาครัฐกับเอกชน หรือการลงทุนของเอกชนฝ่ายเดียว


รายละเอียดเพิ่มเติม
ติดตามได้ในหนังสือพิมพ์ ภูเก็ตโพสต์ ฉบับที่ 118 ประจำวันที่ 1 - 15 กุมภาพันธ์ 2553

วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

โอเชี่ยนหน้าหาดป่าตองเปิดศูนย์อาหาร

นายวัฒนันต์ เซี่ยงเห็น กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจในเครือโอเชี่ยนกรุ๊ป ภูเก็ต ประกอบด้วย ห้างสรรพสินค้าโอเชี่ยนช้อปปิ้งมอลล์, โอเชี่ยนพลาซ่า ป่าตอง สาขาหน้าหาด, โอเชี่ยนพลาซ่า ป่าตองสาขาถนนบางลา, บิ๊กวัน ซุปเปอร์มาเก็ต และบิ๊กวันมินิมาร์ทรวม ตลอดจนธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ใน จ.ภูเก็ต เปิดเผยว่า จากการแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่มีค่อนข้างสูงทำให้ในส่วนของเชี่ยนก็จะต้องมีการปรับตัวเพื่อให้สามารถแข่งขันและอยู่รอดในตลาดได้ ซึ่งการพัฒนาล่าสุด คือ การปรับปรุงพื้นที่ชั้น 3 ของโอเชี่ยนพลาซ่า ป่าตอง สาขาหน้าหาดให้เป็นศูนย์อาหารชื่อว่าแอท บีช ฟู้ดลอฟท์ และการปรับปรุงบริเวณด้านหน้าห้างฯ โดยใช้งบลงทุนไปประมาณ 20 ล้านบาท
“การปรับพื้นที่ชั้น 3 ของห้างฯ ให้เป็นศูนย์อาหารดังกล่าว นอกจากการแข่งขันที่สูงแล้ว ยังเป็นผลจากการศึกษาวิจัยตลาด ซึ่งพบว่าธุรกิจด้านอาหารเป็นธุรกิจหนึ่งที่มีการเติบโตได้ในทุกสภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากอาหารเป็นปัจจัยสี่ที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ประกอบอาหารที่จำหน่ายบริเวณหาดป่าตองจะมีราคาสูง และร้านอาหารส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในโรงแรม จึงตัดสินใจลงทุนทางด้านนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ”
สำหรับแอท บีช ฟู้ดจะเป็นลักษณะ Food Court แห่งแรกที่อยู่ติดชายหาดป่าตอง จุดเด่น คือ มีพื้นที่กึ่งเปิดโล่งมองเห็นทิวทัศน์ของหาดป่าตองได้ 180 องศา รองรับลูกค้าได้ 160 ที่นั่ง ประกอบด้วยร้านอาหารหลัก ได้แก่ อาหารญี่ปุ่น อาหารประเภทก๋วยเตี๋ยวเนื้อ (นายเคี้ยง) ราดหน้าคุณจี้ด ก๋วยเตี๋ยวปลาลูกชิ้นปลา ข้าวแกงและอาหารตามสั่ง (คุณสุ Jungceylon) ข้าวหน้าเป็ด หมูแดง หมูกรอบ บะหมี่เป็ด (Tesco) อาหารอีสานประเภทส้มตำ,ลาบ(ป่าตอง) ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย หอยทอด ร้านอาหารอินเดีย (ngceylon) Fish&chip (อาหารฝรั่ง)ร้านเครื่องดื่ม ผลไม้ปั่น 2 ร้านค้า มีราคาเริ่มต้นที่ 35 บาท นายวัฒนันต์กล่าว
นายวัฒนันต์ กล่าวด้วยว่า นอกจาการปรับปรุงพื้นที่ชั้น 3 และบริเวณด้านหน้าห้างฯ แล้ว ในเร็วๆ นี้ก็จะทำการปรับปรุงในส่วนของพื้นที่ชั้น 2 ซึ่งมีพื้นที่ในการจำหน่ายสินค้าประมาณ 800-900 ตารางเมตร ให้เป็นเอาท์เลทมอลล์เล็ก ๆ โดยใช้งบลงทุนอีกประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อให้เป็นศูนย์รวมการจำหน่ายสินค้าดีพาร์ทเม้นท์สโตร์แผนกต่างๆ เช่น เด็ก สตรี บุรุษ ยีน เป็นต้น ที่สามารถลดราคาได้ตั้งแต่ 30-70 % เนื่องจากปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติประมาณ 90 % ส่วนที่เหลือเป็นลูกค้าคนไทย ดังนั้นหลังการปรับปรุงเสร็จสมบูรณ์ เชื่อว่าจะทำให้กลุ่มลูกค้าคนไทยเพิ่มขึ้นประมาณ 30% โดยเฉพาะในส่วนของศูนย์อาหาร

“ควีน แมรี่” เรือท่องเที่ยวรอบโลก นำนทท.แวะภูเก็ต

วันนี้ 3 กุมภาพันธ์ 53 บริเวณชายหาดป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นจำนวนมากกว่าทุกๆ วันที่ผ่านมา เนื่องจากเรือ“ควีน แมรี่” ซึ่งเป็นเรือท่องเที่ยวสำราญเดินสมุทรสัญชาติอังกฤษ ซึ่งเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก และมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกได้เข้ามาเทียบท่าที่บริเวณอ่าวป่าตอง พร้อมนักท่องเที่ยวที่เดินทางมากับเรือลำดังกล่าวจำนวนประมาณ 2500 คน เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวได้แวะชมความสวยงามของจังหวัดภูเก็ตเป็นเวลา 1 วัน ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังประเทศอื่นๆ

นางบังอรรัตน์ ชินะประยูร ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภูเก็ต กล่าวว่า เรือ“ควีนแมรี่” เป็นเรือสำราญขนาดใหญ่ ซึ่งเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก และการแวะพักภูเก็ตจะช่วยทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ของจังหวัดภูเก็ตมีความคึกคักเพิ่มมากขึ้น เพราะมีนักท่องเที่ยวที่โดยสารมาเรือลำนี้มากถึง 2,500 คน โดยเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง คาดว่าจะทำให้มีเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้เรือลำดังกล่าวจะเดินทางไปยังเกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย และฮ่องกง

“เรือท่องเที่ยวสำราญจากต่างประเทศที่นำนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาแวะพักผ่อนในช่วงเวลาสั้นๆ ยังจังหวัดภูเก็ตก่อนที่จะเดินทางไปยังประเทศอื่นๆ ที่ผ่านมามีมาอย่างต่อเนื่อง และในปีนี้พบว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้นประมาณ 10% นอกจากนี้ยังมีเรือของทหารเรือชาติต่างๆ ที่นำกำลังผลมาพักผ่อนที่ภูเก็ตด้วย เช่น เรือทหารเรือสหรัฐอเมริกา เรือทหารเรืออังกฤษ เป็นต้น”

นางบังอรรัตน์ กล่าวว่า เหตุที่เรือท่องเที่ยวสำราญจากประเทศต่างๆ นำนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยว และความพร้อมต่างๆ ที่สามารถตอบสนองความต้องการให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวดังกล่าวได้ แม้ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับ ซึ่งมีโปรแกรมกิจกรรมให้เลือกอย่างหลากหลายตามความต้งอการ รวมไปถึงความมีอะญาศรัยน้ำใจไมตรี ตลอดจนอัตราค่าบริการที่ไม่สูงจนเกินไปนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

นายกเข้าเยี่ยมพร้อมมอบกระเช้า

นายอนุรักษ์ ธารสิริโรจน์ กรรมการผู้จัดการ โรงพยาบาลสิริโรจน์ (Phuket International Hospital) ให้การต้อนรับ นางไทศิกา ไพรสงบ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดภูเก็ต ในโอกาสเข้าเยี่ยมมอบกระเช้า พร้อมพูดคุยถึงการปฏิบัติงานร่วมกัน

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ไฟไหม้ร้านรับซื้อของเก่า วอดเกือบล้าน

เมื่อเวลา 20.00 น.ของวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 53 ร.ต.ต.ธรรมศักดิ์ พลเดช ร้อยเวร สภ.เมืองภูเก็ตได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในโกดังรับซื้อของเก่าไม่มีชื่อใกล้สี่แยกวัดนาคา ถ.เจ้าฟ้าตะวันตก ม.5 ต.วิชิต อ.เมือง ภูเก็ตจากนั้นก็ได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ พร้อมทั้งประสานไปยัง และหน่วยบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลตำบลวิชิต จากนั้นก็ได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วยนายวิชัย ไพรสงบ ผวจ.ภูเก็ต น.ส.สมใจ สุวรรณศุภพนา นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.นำกำลังรถดับเพลิงเทศบาลนครภูเก็ต รุดไประงับเพลิง แต่เนื่องจากไฟโหมลุกไหม้อย่างรุนแรง จึงได้ประสานไปยังหน่วยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลนครภูเก็ต นำรถดับเพลิงกว่า 10 คัน เข้าระงับเพลิง
ที่เกิดเหตุเป็นโรงไม้เก่า ที่เจ้าของให้เช่าจึงมีคนมาเช่าเพื่อเปิดเป็นร้านรับซื้อของเก่า สร้างหลังคาด้วยโครงไม้และใช้สังกะสีมุงทำเป็นหลังคาสูงยาวกว่า 50 เมตร โดยด้านหลังร้านเป็นโกดังเก็บของเก่า เช่น เหล็ก ทองแดง กระดาษและเศษพลาสติกนานาชนิด โดยมีรถตักขนาดกลางที่จอดอยู่กำลังถูกเพลิงลุกไหม้อย่างหนัก เปลวเพลิงได้ลุกโชนและลุกลามไปยังโครงไม้และหลังคาอย่างรอดเร็ว นอกจากนี้ยังมีเชื้อเพลิงที่เป็นทั้ง เศษกระดาษ และพลาสติก ทำให้ไฟลุกลามได้เป็นอย่างดี โดยหน่วยดับเพลิงพยายามระดมฉีดน้ำ เพื่อสกัดกั้นเพลิงไม่ให้ลุกลามไปยังร้านค้าและบ้านเรือนใกล้เคียงที่ขึ้นเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ไม่สามารถสกัดกั้นหรือระงับเพลิงไว้ได้ ทำให้เปลวเพลิงเริ่มจะลุกลามไปยังร้านค้า โดยเจ้าหน้าที่รถดับเพลิงได้ระดมน้ำเข้าใส่เพลิงอย่างเร่งด่วน จนเวลาล่วงเลยไปกว่า 2 ชม.จึงควบคุมเพลิงไม่ให้ลุกลามได้ในที่สุด แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ยังคงฉีดน้ำเลี้ยงเข้าไปภายในกองเพลิง เพื่อไม่ได้เพลิงได้ลุกไหม้ขึ้นมาอีกส่วนสาเหตุเบื้องต้น ตร.คาดว่าอาจมีใครโยนก้นบุหรี่ทิ้งไว้และลุกไหม้กับเศษกระดาษลามไปติดกับกองพลาสติก แต่เนื่องจากไม่มีใครเห็น ทำให้เพลิงได้ลุกลามไปติดกับรถตักที่จอดอยู่จนไหม้ไปทั้งคันหรืออาจเกิดจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็ต้องรอให้เพลิง หรือความร้อนที่สะสมอยู่ภายในกองเพลิงได้ลดลงมาก่อน จึงเข้าไปตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป ส่วนค่าเสียหายคาดว่าประมาณ 5 แสนบาท ทั้งนี้เนื่องจากเศษกระดาษ และพลาสติกที่เก็บไว้ภายในโกดังมีจำนวนมาก

อบจ.ภูเก็ต ร่วมจัดปั่นจักรยาน “ฉันรักประเทศไทย”

เมื่อเวลา 08.00 น.ของวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 53 ที่สนามชัย หน้าศาลากลางจังหวัดภูเก็ต อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายตรี อัครเดชา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดโครงการปั่นจักรยาน 73 จังหวัด 179 วัน 8,666 กิโลเมตร “ฉันรักประเทศไทย” ร่วมเป็น 1 ใน 63 ล้านดวงใจรวมพลังสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทย โดยมีนายไพบูลย์ อุปติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต นายเนตร สงวนสัตย์ ผู้ดำเนินโครงการ และมีนักปั่นจักรยานเพื่อสุขภาพในจังหวัดภูเก็ต ทั้งชายและหญิงเข้าร่วมโครงเป็นจำนวนมาก
นายเนตร สงวนสัตย์ ผู้ดำเนินโครงการ กล่าวว่า ปัจจุบันตนอายุ 66 ปี เป็นชาวกรุงเทพมหานครและได้ เริ่มปั่นจักรยานมาตั้งแต่ปี 2524 เพราะทนสภาพความหนาแน่นจากการขึ้นรถเมล์ไปทำงานไม่ไหว เพราะเสียทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต จากนั้นจึงตัดสินใจซื้อจักรยานมาปั่นไปทำงาน รู้สึกว่ามีสุขภาพกายและสุขภาพจิตดีขึ้นจนกระทั่งเกษียณอายุราชการจากการรถไฟแห่งประเทศไทย และได้ปั่นจักรยานเพื่อออกกำลังกายควบคู่ไปกับเดินทางท่องเที่ยว ส่งผลให้มีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง มีภูมิต้านทานโรค ลดค่าใช้จ่าย ประหยัดพลังงาน ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและลดภาวะโลกร้อนได้ด้วย ประกอบกับยังเป็นการสนองนโยบายของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในโครงการ “ฉันรักประเทศไทย” ร่วมเป็น 1 ใน 63 ล้านดวงใจรวมพลังสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทย และเป็นการทบทวนนโยบายเดิมของกระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งให้ข้าราชการและประชาชนร่วมกันประหยัดพลังงาน

“เนื่องในมหามงคลวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2552 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 83 พรรษา และครองสิริราชสมบัติครบ 63 ปี จึงได้จัดทำโครงการปั่นจักรยาน 73 จังหวัด 179 วัน 8,666 กิโลเมตร “ฉันรักประเทศไทย” ร่วมเป็น 1 ใน 63 ล้านดวงใจ รวมพลังสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทย เฉลิมพระเกียรติฯขึ้น โดยขอรับการสนับสนุนจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2552 ด้วยการปั่นจักรยาน ออกจากวังสราญรมย์ กรุงเทพมหานคร ไปยังจังหวัดนนทบุรี เป็นจังหวัดแรก จนถึงวันนี้ (2 ก.พ. 2553) ได้ปั่นจักรยานผ่านทุกจังหวัดในภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกและภาคใต้จนมาถึงภูเก็ตเป็นจังหวัดที่ 62 ของเป้าหมายทั้งหมด 73 จังหวัด หรือเป็นวันที่ 145 ของการปั่นจักรยาน หลังจากนี้ก็จะเดินทางไปยัง จ.พังงา โดยมีกำหนดไปสิ้นสุดโครงการในวันที่ 7 มีนาคม ที่จังหวัดสุพรรณบุรีหรืออาจจะเป็นกรุงเทพมหานคร

นอกจากนี้นายเนตร กล่าวด้วยว่า การจัดโครงการดังกล่าวมีความมุ่งหวังเพื่อนำเอาความรู้และประสบ การณ์จากการปั่นจักรยานมาเป็นเวลา 27 – 28 ปี แล้ว พร้อมร่วมทำกิจกรรมกับทุกจังหวัดโดยการสนับสนุนของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ รวมทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ซึ่งสนับสนุนการปั่นจักรยานรณรงค์ในเขตชุมชน ควบคู่ไปกับการประชาสัมพันธ์โครงการ บรรยายเกี่ยวกับประโยชน์ของจักรยานและการปั่นจักรยานแล้วได้อะไรให้กับคณะครู อาจารย์และนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาจำนวน 200 คน รวมทั้งนำคณะผู้ดำเนินโครงการไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามสถานที่ต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ต 9 แห่ง ได้แก่ วัดไชยธารารามหรือวัดฉลอง วัดพระทอง วัดวิชิตสังฆารามหรือวัดควน ศาลเจ้ากะทู้ ศาลเจ้าจุ้ยตุ่ยเต้าโบเก้ง ศาลเจ้าแสงธรรม ศาลเจ้าบางเหนียวหรือมูลนิธิเทพราศี ศาลเจ้ากิ้วเทียนเก้งสะพานหิน อนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี-ท้าวศรีสุนทร และสักการะอนุสาวรีย์พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี สวนสาธารณะเขารังด้วย