เปิด “บียอน รีสอร์ท เขาหลัก พังงา”

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2555 ที่ บียอน รีสอร์ท เขาหลัก จ.พังงา กะตะ กรุ๊ป รีสอร์ท ประเทศไทย พลเรือเอก หม่อมหลวงอัศนี ปราโมช องคมนตรี เป็นประธานเปิด “บียอน รีสอร์ท เขาหลัก” โดยมีนายปมุข อัจฉริยะฉาย ประธานกรรมการบริหาร เครือบริษัท กะตะ กรุ๊ป รีสอร์ท ประเทศไทย นางธันยรัศม์ อัจฉริยะฉาย ประธานคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว วุฒิสภา สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แขกผู้มีเกียรติจากหน่วยงาน ภาครัฐ องค์กรเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว เข้าร่วมงานจำนวนมาก

ทั้งนี้นายปมุข อัจฉริยะฉาย ประธานกรรมการบริหาร เครือบริษัท กะตะ กรุ๊ป รีสอร์ท ประเทศไทย ได้กล่าวถึงการเปิดตัวรีสอร์ทหรูระดับคุณภาพใหม่สองแห่งภายใต้แบรนด์ “บียอน รีสอร์ท (Beyond Resort)” นำเสนอการพักผ่อนอย่างมีระดับ ด้วยแนวคิด “รีสอร์ทโรแมนติคริมชายหาด” เพื่อให้ผู้เข้าพักได้สัมผัสประสบการณ์โรแมนติคในรีสอร์ทริมทะเลอันสวยงาม และแวดล้อมด้วยธรรมชาติที่รื่นรมย์ เพียบพร้อมด้วยมาตรฐานการต้อนรับแบบไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก

“รีสอร์ททุกแห่งภายใต้แบรนด์บียอน ตั้งอยู่ริมชายหาดอันสวยงาม และแวดล้อมด้วยธรรมชาติอันเขียวขจี พร้อมมอบประสบการณ์แสนโรแมนติค ภายใต้มาตรฐานการต้อนรับและบริการที่มอบทั้งความสะดวกสบาย ความอบอุ่นเป็นกันเอง และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดยเราได้ประเดิมเปิดตัว “บียอน รีสอร์ท เขาหลัก” ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับมาตรฐานของแบรนด์บียอน รีสอร์ทเป็นแห่งแรก ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากยอดการจองห้องพักจำนวนมากตั้งแต่ช่วงแรกของการเปิดตัว และเราเชื่อมั่นว่า นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับประสบการณ์การพักผ่อนอันหรูหราน่าประทับใจในบียอนรีสอร์ทแห่งอื่นๆ ที่จะทยอยเปิดตัวในอนาคตอันใกล้นี้” 

สำหรับ บียอน รีสอร์ท เขาหลัก (จังหวัดพังงา) เป็นรีสอร์ทระดับหรูสำหรับคู่รักเพียงแห่งเดียวที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อการพักผ่อนท่ามกลางความงดงามของท้องทะเลสีคราม และผืนทรายขาวสะอาดของหาดปากวีป พร้อมดื่มด่ำไปกับวิวอาทิตย์อัสดงยามพลบค่ำที่ลับหายไปบนผืนน้ำอันกว้างใหญ่ที่จะตรึงใจทุกคู่รักไปอีกตราบนานเท่านาน มุ่งเน้นบริการสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่แสวงหา “สถานที่พักผ่อนแสนโรแมนติคริมหาด” เพื่อดื่มด่ำกับช่วงเวลาพิเศษกับคนรักแบบเป็นส่วนตัว

บียอน รีสอร์ท เขาหลัก มุ่งเป้าหมายที่กลุ่มคู่รักชาวยุโรปและชาวเอเชียที่ต้องการใช้เวลาช่วงวันหยุดภายในรีสอร์ท ระดับเอ็กซคลูซีฟที่ให้บริการห้องพักหลากสไตล์ ทั้งห้องปาล์มวิลล่าแบบเตียงคิงไซส์จำนวน 76 ห้อง ห้องปาล์มวิลล่าแบบเตียงคู่จำนวน 72 ห้อง ห้องพูลวิลล่าแบบหนึ่งห้องนอนจำนวน 3 ห้อง และห้องพูลวิลล่าแบบสองห้องนอนจำนวน 2 ห้อง รวมทั้งหมด 153 ห้องโดยทุกห้องตั้งอยู่ใกล้กับชายหาด สปาและห้องอาหาร รวมถึงสระว่ายน้ำจำนวน 5 สระที่เชื่อมต่อกัน พร้อมโซนบับเบิ้ลบาธและจากุซซี่ 

ภายในพื้นที่ 115,000 ตร.ม. ของ บียอน รีสอร์ท เขาหลัก พร้อมสรรพด้วยบริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต Wi-Fi ครอบคลุมทุกตารางนิ้ว ห้องสมุดซึ่งบริการหนังสือหลายภาษา ศูนย์ติดต่อธุรกิจ บริการห้องประชุมสัมมนา ห้องอาหารหลากสไตล์ บาร์เครื่องดื่มสองแห่ง ห้องจำหน่ายไวน์ชั้นเยี่ยมจากทั่วโลก บริการสปาและห้องสตรีม บริการนวดบำบัด ห้องฝึกโยคะ ห้องทำสมาธิ ห้องออกกำลังกาย ศูนย์กีฬาดำน้ำลึก และไคท์เซิร์ฟตามฤดูกาล บริการอุปกรณ์เล่นวินเซิร์ฟ พายเรือ และจักรยานเสือภูเขา นอกจากนี้ ทางรีสอร์ทยังมีบริการชาเตอร์บัสเพื่อรับส่งผู้เข้าพักไปยังสถานที่สำคัญต่างๆ

ด้วยบริการชั้นเยี่ยมอันเป็นที่ยอมรับจากนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม ทำให้ลูกค้าของเครือกะตะกรุ๊ปประทับใจในการต้อนรับ บริการอาหารรสเลิศ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกและห้องพักระดับมาตรฐานที่ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวต่างชาติซึ่งต้องการประสบการณ์การพักผ่อนที่สนุกสนานและผ่อนคลาย

ปัจจุบัน กะตะ กรุ๊ป รีสอร์ท ประเทศไทย เป็นเจ้าของและผู้บริหารจัดการรีสอร์ทจำนวน 6 แห่งในเมืองไทย ได้แก่ กะตะบีช รีสอร์ท แอนด์ สปา จังหวัดภูเก็ต, กะรน บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา จังหวัดภูเก็ต, ภูเก็ต ออร์คิด รีสอร์ท แอนด์ สปา จังหวัดภูเก็ต, กานดาบุรี รีสอร์ท แอนด์ สปา เกาะสมุย, บียอน รีสอร์ท เขาหลัก จังหวัดพังงา, และ บียอน รีสอร์ท กระบี่ จังหวัดกระบี่

จังซีลอนจัดงานฉลองครบรอบ 5 ปี ยิ่งใหญ่

นายประวิทย์ จรรยาสิทธิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ภูเก็ตสแควร์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าจังซีลอน ป่าตองภูเก็ต ได้กล่าวถึงการจัดงานครบรอบศูนย์การค้าจังซีลอน 5 ปี ว่า ในปีนี้ทางศูนย์การค้าจังซีลอนจัดงานฉลองครบรอบปีที่ 5 ภายใต้แนวคิด “Amusea Celebration” ที่รวบรวมสารพันความบันเทิงและการแสดงที่น่าสนใจมากมายให้นักท่องเที่ยว รวมถึงชาวภูเก็ตได้สนุกสนานกันตลอดทั้งเดือน พร้อมเนรมิตบรรยากาศและสีสันความงดงามทั้งศูนย์การค้าฯ ให้กลายเป็นท้องทะเล มีฝูงปลา สัตว์น้ำและปะการังแหวกว่ายอย่างสวยงาม ซึ่งสื่อให้เห็นถึงมนต์เสน่ห์ของทะเลอันดามันได้อย่างลงตัว

โดยวันที่ 31 มีนาคม 55 เวลา 18.00 น. ณ โซนเดอะพอร์ท พบกับไฮไลท์ความบันเทิงและความสนุกสนานในงานฉลองครบรอบ 5 ปีศูนย์การค้าจังซีลอน ป่าตอง ภูเก็ตมากมาย อาทิ สุดยอดโชว์ อลังการ มากความสามารถของทีม “คิดบวกสิปป์” จากเวที Thailand Got Talent Season 1 ที่ จะนำศิลปะชั้นนำของไทยอาทิ นาฏศิลป์ หัตถศิลป์ และคีตศิลป์มาประยุกต์ผ่านการแสดงในแบบศิลปะร่วมสมัย (Contemporary) พร้อมกับนักร้อง นักแสดงสาวมากความสามารถ “แคทลียา อิงลิช” ที่ไม่เคยแสดงให้ชมที่ไหนมาก่อน

ต่อด้วยวันที่ 1 เมษายน 55 ชม แฟชั่นโชว์ฉลองครบรอบ 5 ปีสุดฮอตต้อนรับซัมเมอร์ กับเทรนด์แฟชั่นชุดว่ายน้ำใหม่ล่าสุดจากแบรนด์ชั้นนำมากมาย อาทิ Triumphs, Janzen, Wacoal, Stream Line, Elle, Speedo, Sloggi ฯลฯ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Summer Spirit By Robinson” ที่จะดึงดูดทุกสายตา ด้วยสีสัน Colorful ที่จะช่วยเพิ่มดีกรีความสดใสให้กับหน้าร้อน

จากนั้นในวันที่ 6 เมษายน 55 ณ พบกับความเซ็กซี่ที่สะกดทุกสายตา กับแฟชั่นโชว์ชุดว่ายน้ำสุดเซ็กซี่และร้อนแรง ในคอนเซ็ปต์ “Sexy Naughty Bunny” จากแบรนด์ Playboy โดยนางแบบนายแบบชั้นนำ

 

ต่อด้วยวันที่ 7 เมษายน 55 พบกับสุดยอดการประกวดสาวประเภทสองครั้งยิ่งใหญ่ในรอบปีกับงาน “มิสควีนอันดามัน พาวเวอร์ภูเก็ต 2012” ที่เปิดเวทีให้สาวประเภทสองได้แสดงความสามารถ และร่วมเป็นตัวแทนในการช่วยรณรงค์กิจกรรมเพื่อสังคม อาทิ การรณรงค์ให้ความรู้เรื่องโรคเอดส์และการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แก่ ประชาชนทั่วไป ร่วมลุ้นและเป็นกำลังใจกันได้ ณ โซนเดอะพอร์ท ศูนย์การค้าจังซีลอน ป่าตองภูเก็ต

เตรียมจัดการแข่งขันธนูภูเก็ต โอเพ่น ครั้งที่ 2

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2555 ที่ชมรมธนูภูเก็ต 64/76 ถนนอ๋องซิมผ่าย ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายภูมิกิตติ์ รักแต่งาม เลขาธิการสมาคมกีฬาจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยนายบัณฑิต สันติกุล ประธานชมรมธนูภูเก็ต และนายสาโรจน์ ส่อเจริญ ประธานจัดการแข่งขันธนู ภูเก็ตโอเพ่น ครั้งที่ 2 ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจัดการแข่งขันธนู ภูเก็ตโอเพ่น ครั้งที่ 2 โดยมีสื่อมวลชนแขนงต่างๆ เข้าร่วมงานแถลงข่าวในครั้งนี้

ทั้งนี้นายบัณฑิต สันติกุล ประธานชมรมธนูภูเก็ต ได้กล่าวว่า ด้วยทางชมรมธนูภูเก็ต หรือ Phuket Archery Club ได้เริ่มก่อตั้งมาจากกลุ่มบุคคลที่สนใจ และมีใจรักในกีฬายิงธนู ได้รวมตัวกันก่อตั้งชมรมฯ เพื่อเปิดโอกาสให้กับเยาวชน และบุคคลทั่วไปในจังหวัดภูเก็ตและใกล้เคียงได้รู้จักกับกีฬาชนิดนี้ นอกจากนี้กีฬาธนูเป็นกีฬาที่ต้องแข่งขันกับความมุ่งมั่นของตนเอง และเป็นกีฬาที่ต้องใช้สมาธิอย่างดีเยี่ยม จึงเป็นกีฬาอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งควรจะได้รับการพัฒนาให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย เพื่อสร้างอีกหนึ่งทางเลือกด้านกีฬาเยาวชน

นอกจากนี้ทางชมรมธนูภูเก็ต ยังได้เปิดสอนและให้คำแนะนำแก่ผู้ที่สนใจในกีฬายิงธนูที่สนามกีฬาของชมรมฯ พร้อมทั้งยังมีโครงการจัดอบรมธนูให้แก่เยาวชนจากมูลนิธิหมู่บ้านเด็กตะวันฉาย เกาะสิเหร่ โดยปัจจุบันได้มีนักกีฬาจากมูลนิธิดังกล่าว ในรุ่นเยาวชนรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี นอกจากนี้ชมรมฯ ยังจัดอบรมการยิงธนูเบื้องต้นตามโรงเรียน สถานศึกษาต่างๆ โครงการอบรมกีฬายิงธนูให้แก่เยาวชนภาคฤดูร้อนโดยเข้าร่วมโครงการของเทศบาลนครภูเก็ต เป็นต้น ในปัจจุบันชมรมฯ ได้มีสมาชิกรวมทั้งหมด 40 คน มีทั้งเยาวชน ชาวไทย และชาวต่างๆ ประเทศ

ทางชมรมธนูภูเก็ตคาดหวังว่าการแข่งขันในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างนักกีฬาธนูมืออาชีพแล้ว ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่นักกีฬาธนูของชมรมฯ ให้มีโอกาสที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับชมรมธนู สมาคมกีฬาจังหวัดภูเก็ตมากขึ้น และที่สำคัญคือสร้างโอกาสทางการกีฬา ให้แก่เยาวชนและผู้ที่สนใจทางด้านกีฬาธนูมากขึ้นในอนาคต

ด้านนายสาโรจน์ ส่อเจริญ ประธานจัดการแข่งขันธนู ภูเก็ตโอเพ่น ครั้งที่ 2 กล่าวว่า การแข่งขันธนูภูเก็ตโอเพ่น ครั้งที่ 2 จะจัดขึ้นในวันที่ 7 เมษายน 2555 ที่สนามชั่วคราวปลายแหลมสะพานหิน อ.เมืองภูเก็ต ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์สนามจากทางเทศบาลนครภูเก็ต และคงเป็นสนามการแข่งขันธนูที่พิเศษกว่าจังหวัดอื่น เพราะติดทะเล โดยสะท้องถึงความเป็นเมืองท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตได้เป็นอย่างดี

ในส่วนของการแข่งขันจะแบ่งตามชนิดของธนู 3 ประเภท คือธนูโค้งกลับ ธนูทดกำลัง และธนูเทรดดิชั่นแนล และแบ่งตามรุ่นของอายุ ก็จะมีรุ่นเยาวชนอายุต่ำกว่า 12 ปี และอายุต่ำกว่า 18 ปี และรุ่นบุคคลทั่วไป ชิงถ้วยเกียรติยศ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต โดยขณะนี้ได้รับการตอบรับจากนักกีฬาจากชมรม สมาคมต่างๆ อาทิ เช่น สมาคมไทยแลนด์เอาท์ดอร์อาร์เชอรีคลับ ชมรมตรังอาเชอรีคลับ และมีจำนวนนักกีฬาที่ลงทะเบียนการแข่งขันแล้วประมาณ 40 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีนักกีฬาทีมชาติ ที่เพิ่งไปแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่ประเทศอินโดนีเซียที่ผ่านมา ได้ลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ด้วย 

ทต.รัษฎา ตั้งเป้าใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ต่ำกว่า 70%

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2555 ที่บริเวณด้านหน้าสำนักงานเทศบาลตำบลรัษฎา อ.เมือง ภูเก็ต คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดภูเก็ต (กกต.ภูเก็ต) พร้อมด้วยพนักงาน กกต.และเทศบาลตำบลรัษฏา นำโดยนายเดชาคนี ลีลานนท์ปลัดเทศบาลตำบลรัษฎา จัดขบวนรถแห่ประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่ไปยังชุมชนต่างๆ ในเขตเทศบาลตำบลรัษฏา พร้อมแจกเอกสารรณรงค์และประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาลตำบลรัษฎา ซึ่งจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 25 มีนาคมที่จะถึงนี้ 

ทั้งนี้นายเดชาคนี กล่าวว่า ขณะนี้ในส่วนของเทศบาลตำบลรัษฎามีความพร้อมเต็มที่สำหรับการจัดการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 25 มีนาคมนี้ โดยมีหน่วยเลือกตั้งทั้ง 2 เขตเลือกตั้งจำนวน 40 หน่วย แบ่งเป็นเขตเลือกตั้งที่ 1 จำนวน 21 หน่วยเลือกตั้ง และเขตที่ 2 จำนวน 19 หน่วยเลือกตั้ง กระจายอยู่เต็มทั้งพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการออกมาใช้เลือกตั้ง 

“การเลือกตั้งครั้งนี้ตั้งเป้าการใช้สิทธิไว้ไม่ต่ำกว่า 70% โดยมีประชากรที่มีสิทธิเลือกตั้งในส่วนของนายกเทศมนตรีจำนวนประมาณ 29,562 คน และสมาชิกสภาเทศบาลฯ จำนวน 29,485 คน ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิตามเป้าหมายที่วางไว้นั้นได้มีการรณรงค์และประชาสัมพันธ์ในทุกรูปแบบ คาดว่าน่าจะมีการออกมาใช้สิทธิกันเป็นจำนวนมากเนื่องจากการเลือกตั้งครั้งนี้มีการแข่งขันสูง ในขณะที่การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเมื่อ 4 ปีก่อน มีประชาชนออกมาใช้สิทธิประมาณ 50%”

นายเดชาคนี กล่าวด้วยว่า ในส่วนของการร้องเรียนมีเข้ามาบ้างแล้วแต่จะเป็นเรื่องของรายชื่อตกหล่น กับการทำลายป้ายหาเสียง แต่ยังไม่ปรากฏการร้องเรียนเกี่ยวกับการซื้อเสียง โดยในส่วนของ กกต.จังหวัดและเทศบาลได้มีการตั้งชุดเคลื่อนที่เร็วจำนวน 10 ชุด รวมประมาณ 100 คน ในการออกปฏิบัติงานตรวจสอบกรณีมีการร้องเรียนโดยเฉพาะเรื่องการซื้อสิทธิขายเสียง นอกจากนี้ทราบว่าในส่วนของ กกต.กลางก็ได้มีการส่งเจ้าหน้าลงมาสังเกตการณ์การเลือกตั้งในครั้งนี้ด้วย เนื่องจากเป็นพื้นที่มีการแข่งขันสูง และเนื่องจากครั้งนี้ทางเทศบาลฯ ได้ว่าจ้างบริษัทเอกชนเข้ามาดำเนินการจัดสถานที่เลือกตั้ง รวมทั้งการใช้กำลังของลูกเสือ กกต.เข้ามาช่วยดูและอำนวยความสะดวกบริเวณหน่วยเลือกตั้ง ซึ่งหากทำได้สำเร็จเป็นอย่างดี ทาง กกต.ก็จะใช้เป็นต้นแบบการจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นอื่นๆ ต่อไป

ค่าแรง 300 บ.กระทบผู้ประกอบการรายเล็ก

นายวิโรจน์ พหนการ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ บริษัท พิโซน่า กรุ๊ป จำกัด กล่าวถึงกรณีที่ จ.ภูเก็ต ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 7 จังหวัดนำร่องการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาท ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนนี้ เป็นต้นไปว่า สำหรับภูเก็ตมีโรงแรมและสถานบริการตั้งแต่ระดับ 2 – 5 ดาว ซึ่งกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าวจะเป็นผู้ประกอบการรายเล็กหรือโรงแรมระดับ 2 – 3 ดาว เนื่องจากจะเกิดปัญหาการไหลของแรงงานและการแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่รายได้เท่าเดิม รวมไปถึงปัญหาข้อพิพาทแรงงานที่จะเพิ่มสูงตามไปด้วย 

“เป็นที่ยอมรับกันอยู่แล้วว่ารายได้ของแรงงานในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวสูงกว่ารายได้ขั้นต่ำอยู่แล้ว เพราะนอกจากเงินเดือนปกติจะมีในส่วนของเซอร์วิสชาร์ทและสวัสดิการต่างๆ ซึ่งเมื่อรวมแล้วก็เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดอยู่แล้ว ดังนั้นเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายคือนายจ้างและลูกจ้างอยู่ร่วมกันได้ และลดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกันก็จะต้องมาหารือว่าจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร”

นายวิโรจน์ กล่าวด้วยว่า ในคราวที่มีการประชุม ครม.สัญจรที่ภูเก็ต ทางชมรมบริหารงานบุคคลจังหวัดภูเก็ตก็ได้มีการยื่นเรื่องต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานให้ช่วยหาทางออกว่าจะดำเนินการได้อย่างไร เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นกฎหมายที่มีการบังคับใช้แล้ว เช่น การการันตีเซอร์วิสชาร์ทเมื่อรวมกันแล้วก็จะต้องได้เท่ากับค่าจ้างขั้นต่ำ นำสวัสดิการที่จัดให้มาคิดเป็นรายได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของที่พัก อาหารหรืออื่นๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังอยากให้ทางรัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือปรับลดการส่งเงินเข้าสมทบกองทุนประกันสังคมทั้งเงินรายเดือนและรายปี ทั้งในส่วนของของลูกจ้างและนายจ้าง แม้ว่าปัจจุบันจะมีการปรับลดจาก 5% เหลือ 3 % แต่มีกำหนดระยะเวลา

อย่างไรก็ตามนายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า เนื่องจากขณะนี้ค่าครองชีพได้มีการปรับขึ้นไม่รออยู่แล้ว จึงทำให้ไม่มั่นใจว่าการปรับค่าจ้างดังกล่าวจะเกิดประโยชน์จริงหรือไม่ และกลายเป็นเรื่องที่ซ้ำเติมทั้งนายจ้างและลูกจ้าง ดังนั้นสิ่งที่รัฐจะต้องดำเนินการควบคู่กันไปด้วย คือ การเข้าไปควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ประกอบกับระยะนี้ในภาคการท่องเที่ยวจะเข้าสู๋โลว์ซีซั่นซึ่งรายได้ก็จะลดน้อยลงอยู่แล้ว รูปแบบที่ทำกันในช่วงที่ผ่านมา คือ อนุญาตให้พนักงานลาหยุดโดยไม่รับเงินเดือน หรือสลับกันหยุด ดังนั้นในระยะนี้ควรจะมีการอลุ่มอล่วยเพื่อให้มีการปรับตัวของทั้งนายจ้างและลูกจ้าง ไม่ควรที่จะมีการจับกุมกันในทันทีทันใด รวมทั้งจะต้องเร่งหาทางออกในเรื่องนี้เพื่อประโยชน์ทั้งในส่วนของลูกจ้างและนายจ้าง

เสริมเขี้ยวเล็บอส.ช่วยผู้ประสบภัยทางทะเล

เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2555 ที่ห้องประชุม วิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย วิทยาเขต ภูเก็ต อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ได้จัดให้มีการอบรมอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเลกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน โดยมีนายเชาวลิต นิฒรรัตน์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย วิทยาเขต ภูเก็ต นายสันติ์ จันทรวงศ์ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ต เจ้าหน้าที่ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมการปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มูลนิธิและหน่วยงานต่างๆ เข้าจำนวน 50 คน 

นายเชาวลิต กล่าวว่า กลุ่มจังหวัดฝั่งใต้ทางอันดามัน ประกอบด้วย 5 จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต กระปี่ พังงา ระนอง และตรัง มีความได้เปรียบในเชิงท่องเที่ยวทางทะเล โดยกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันได้รับมอบหมายให้ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 18 ภูเก็ตเป็นหน่วยดำเนินการและรับผิดชอบการจัดตั้งศูนย์กู้ภัยทางทะเล กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ซึ่งที่ผ่านมาได้สร้างบุคลากรและเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ในการกู้ภัยทางทะเลอย่างมีประสิทธิภาพระดับหนึ่งแล้ว แต่ปัจจุบันกำลังอาสาสมัครช่วยเหลือทางทะเลไม่ เพียงพอ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเลให้ครอบคลุมพื้นที่ กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยและช่วยเหลือทางราชการเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติ โดยเฉพาะพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว อันจะเป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถกระตุ้นเพื่อให้เกิดรายได้ทาง เศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวซึ่งแต่ละปีมีเป็นจำนวนมาก

“การอบรมดังกล่าวเพื่อให้ทุกจังหวัดในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน มีอาสาสมัครและองค์กรเครือข่าย ช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเลที่มีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยทางทะเลให้กับ ประชาชนและนักท่องเที่ยว เฝ้าระวังพร้อมออกปฏิบัติการและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเลได้ ตลอดจนการนำความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการกู้ภัยทางทะเล การช่วยเหลือและบำรุงรักษาอุปกรณ์ต่างๆ ไปใช้ในการปฏิบัติงานและการช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายเชาวลิต กล่าว

ลดขัดแย้งปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท

เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2555 ที่ห้องประชุมโรงแรมเพิร์ล อ.เมือง จ.ภูเก็ต น.ส.สมหมาย ปรีชาศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดการอบรมโครงการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิแรงงานให้มีรายได้ไม่น้อยกว่าวันละ 300 บาท ซึ่งทางสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดภูเก็ตจัดขึ้น โดยมีการบรรยายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อเสริมสร้างแรงงานสัมพันธ์ในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจให้มีความรู้แก่นายจ้าง ลูกจ้างและผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมจำนวน 300 คน

นายกิตติพงษ์ เหล่านิพนธ์ สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ด้วยสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการคุ้มครองดูแลแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายและคุณภาพชีวิตที่ดี จึงได้ดำเนินการจัดทำโรงการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิแรงงานให้มีรายได้ไม่น้อยกว่าวันละ 300 บาทขึ้น เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่นายจ้าง ลูกจ้างและผู้ที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินการให้แรงงานทุกกลุ่มมีรายได้ไม่น้อยกว่าวันละ 300 บาท และเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ดีต่อนายจ้าง ลูกจ้างในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนให้ความสำคัญในการนำระบบแรงงานสัมพันธ์ไปใช้จัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น

ขณะที่ น.ส.สมหมาย ปรีชาศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่เริ่มดำเนินการในปีแรกที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้แรงงาน คือ ทำให้แรงงานมีรายได้วันละไม่น้อยกว่า 300 บาท ผู้จบปริญญาตรีมีรายได้เดือนละไม่น้อยกว่า 15,000 บาท มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ช่วยกันผลักดันเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ เห็นได้จากการที่กระทรวงแรงงานออกประกาศอัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาทในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาครและภูเก็ต โดยคาดหวังว่าการปรับฐานรายได้ให้แก่ผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นประชากรกลุ่มหนึ่งของประเทศในจังหวัดที่เป็นฐานทางเศรษฐกิจหลักซึ่งเป็นแหล่งอุตสาหกรรมการผลิต การก่อสร้าง พาณิชย์และการท่องเที่ยว ที่มีแรงงานเป้ฯจำนวนมาก เพื่อจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อขายภายในประเทศเพื่อกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับจังหวัดและภาพรวมของประเทศ

อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดภูเก็ตจากอัตราค่าจ้างเดิมเมื่อปี 2554 วันละ 221 บาท ปรับขึ้นเป็นวันละ 300 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555นี้ ย่อมจะต้องเกิดผลกระทบต่อสถานประกอบกิจการหลายแห่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นการจัดให้ความรู้ดังกล่าวจะช่วยสร้างมุมมองให้ทั้งสองฝ่ายสามารถนำระบบการบริหารแรงงานสัมพันธ์ที่ดีไปใช้เป็นกลไกในการป้องกันปัญหาความขัดแย้งด้านแรงงานที่อาจเกิดขึ้นในสถานประกอบกิจการ การยึดหลักจริยธรรมในการบริหารธุรกิจ 

ซึ่งนอกจากจะต้องผลิตสินค้าและการให้บริการที่ได้มาตรฐานแล้ว ยังต้องให้ความสำคัญด้านสิทธิแรงงานและสิทธิมนุษยชนด้วย การจ้างงานที่เป็นธรรมลูกจ้างได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมตามศักยภาพ ย่อมสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตการทำงาน และสร้างขวัญกำลังใจให้ลูกจ้างในการสร้างผลผลิตการให้บริการที่มีประสิทธิภาพต่อสถานกิจการเช่นกัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตกล่าว 

“สุขภาพดี ชีวิตดี กับเทสโก้ โลตัส ปีที่ 6”

เทสโก้ โลตัส เดินหน้าสร้างสรรค์กิจกรรม CSR ปี 2555 อย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิดโครงการ “สุขภาพดี ชีวิตดี กับเทสโก้ โลตัส ปีที่ 6” มุ่งเสริมสร้างสุขภาพและความสามัคคีในชุมชน ตั้งเป้าชวนคนไทย 6 ล้านคนรักสุขภาพ โดยได้รับเกียรติจากคุณเสกสรร นาควงษ์ รองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผู้แทนรัฐมนตรีกระทรวงฯ ร่วมกับมร. คาร์ล ร๊อกเบิร์ก ประธานกรรมการบริหารฝ่ายการเงินและบัญชี เทสโก้ โลตัส, คุณชาคริต ดิเรกวัฒนชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกิจการสาธารณะเทสโก้ โลตัส ร่วมทำพิธีเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการ โดยมีจอย - รินลณี ศรีเพ็ญ และโป๊ป - ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ ร่วมงาน ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพ

คุณชาคริต ดิเรกวัฒนชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกิจการสาธารณะเทสโก้ โลตัสเปิดเผยว่า “ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่โครงการ “สุขภาพดี ชีวิตดี กับเทสโก้ โลตัส ปีที่ 6” ได้ดำเนินต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 6 ซึ่งผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง โดย 5 ปีที่ผ่านมาเทสโก้ โลตัสมีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งสิ้นจำนวนกว่า 16 ล้านคนทั่วประเทศ สำหรับปี 2555 นี้ เป้าหมายของเราจะท้าทายเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งเรามั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายในการเชิญชวนประชาชนทั่วประเทศอย่างน้อยจำนวน 6 ล้านคนเข้าร่วมโครงการฯ พร้อมทั้งการมีชุมชนเข้าร่วมการแข่งขันแอโรบิกจำนวน 100 ชุมชน ภายใต้กิจกรรมในโครงการฯ ไม่ว่าจะเป็น การแข่งขันเต้นแอโรบิกระดับประเทศ กิจกรรมเดินวิ่งเพื่อสุขภาพ ฟุตบอลคลินิกและการแข่งขันฟุตบอลเยาวชน 12 ปี เทสโก้โลตัส คัพ” 

โครงการ “สุขภาพดี ชีวิตดี กับเทสโก้ โลตัส ปีที่ 6” ถือเป็นการตอกย้ำถึงจุดยืนของเทสโก้ โลตัสในการเป็นองค์กรเอกชนที่มุ่งส่งเสริมให้คนไทยออกกำลังกายพร้อมสร้างความสามัคคีให้กับชุมชนชาวไทยแบบยั่งยืน ทั้งนี้ ยังเป็นการส่งเสริมให้คนไทยมีความสุขอย่างพอเพียง ตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ด้วยการสร้างความตระหนักและปลูกฝังแนวคิด 3G คือ Good Health Good Life Good Eating 

ซึ่งในครั้งนี้เป็นการเปิดตัวกิจกรรมแรกภายใต้โครงการ “สุขภาพดี ชีวิตดี กับเทสโก้ โลตัส ปีที่ 6” คือ การแข่งขันเต้นแอโรบิกระดับประเทศ เพื่อชิงถ้วยเกียรติยศของ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พร้อมเงินรางวัลมูลค่ารวมกันทั้งสิ้นกว่า 1,730,000 บาท โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับเยาวชนอายุไม่เกิน 15 ปี ระดับประชาชนทั่วไป และ ระดับประชาชนอายุ 35 ปีขึ้นไป ซึ่งจะคัดเลือกในรอบภูมิภาค โดยภาคใต้จะทำการคัดเลือกที่จังหวัดภูเก็ต ที่เทสโก้ โลตัส สาขาถลาง ก่อนจะเข้ามาแข่งขันรอบชิงชนะเลิศรอบสุดท้าย ในวันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน 2555 ณ สนามกีฬาธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

นอกจากนี้ เทสโก้ โลตัส มีความต้องการที่จะทำให้ผู้ที่สนใจในเรื่องการออกกำลังกายสามารถเข้าร่วมสนุกและร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการฯ ได้ในวงที่กว้างและสะดวกขึ้น ในปีนี้ เทสโก้ โลตัส จึงได้จัดการแข่งขันเต้นแอโรบิคผ่านทาง Facebook/gethealthywithtescolotus เป็นครั้งแรก โดยท่านสามารถถ่ายคลิปวีดีโอรวมกลุ่มที่เต้นแอโรบิคให้เข้ากับเพลงที่ท่านชอบ ซึ่งไม่จำกัดจำนวนคนและสถานที่ ทั้งนี้ ต้องเป็นวิดีโอคลิปที่ไม่มีการตัดต่อ และสมาชิกต้องเต้นให้จบเพลง แล้วโหลดวีดีโอคลิปลงใน Facebook/gethealthywithtescolotus ซึ่งเกณฑ์การตัดสินจะขึ้นกับการกด Like ของผู้ชม ผู้ชนะที่ได้รับ

การโหวตมากที่สุด 10 อันดับแรกจะได้รับเงินรางวัล ๆ ละ 5,000 บาท รวมมูลค่ากว่า 50,000 บาท และกิจกรรมนี้จะเริ่มในวันที่ 15 พฤษภาคม และหมดเขตการแข่งขัน เที่ยงคืนวันที่ 31 พฤษภาคม 2555

ทั้งนี้ภายในงานได้มีการเปิดตัว “12 เพื่อนรักสุขภาพ ปี 6” หนุ่มสาวสุขภาพดี ที่จะออกมาโชว์ความแอ็คทีฟ ซึ่งเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ จะมาทำหน้าที่ในการสร้างความตระหนักในเรื่องการออกกำลังกายและรักษาสุขภาพ ผ่านกิจกรรมโรดโชว์ประชาสัมพันธ์ที่เทสโก้ โลตัส สาขาต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งที่จังหวัดภูเก็ตสาขาถลาง ในวันที่ 26 มีนาคม 2555 พร้อมร่วมออกกำลังกายและทำกิจกรรมกับลูกค้า เล่นเกมส์มากมาย