จำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ผวจ.ภูเก็ตมอบน้ำตาลให้ 51 มัสยิดเดือนรอมฎอน


เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 20 สิงหาคม 2553 ที่ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต(หลังใหม่) นายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และนางไทศิกา ไพรสงบ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดภูเก็ต ร่วมเป็นประธานในพิธีมอบน้ำตาลทรายให้แก่มัสยิดต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ต จำนวน 51 มัสยิดๆ ละ 1 กระสอบ เพื่อนำไปใช้ในการปรุงอาหารช่วงละศีลอดในเดือนรอมฎอน โดยมีนายทวิชาติ อินทรฤทธิ์ วัฒนธรรมจังหวัดภูเก็ต นายมาโนช พันธ์ฉลาด นายก อบต.เชิงทะเล ส.ต.อ.โกมล ดุมลักษณ์ คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดภูเก็ต ร่วมเป็นเกียรติในพิธี มีผู้นำศาสนา/ผู้แทนจาก 51 มัสยิดเป็นผู้รับมอบ


โดยนายวิชัย ได้กล่าวกับผู้นำศาสนาก่อนที่จะเข้าสู่พิธีรับมอบน้ำตาลทรายว่า จังหวัดภูเก็ตมีประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามประมาณร้อยละ 30 ของประชากรทั้งหมด มีมัสยิดจำนวน 51 มัสยิด และในเดือนรอมฏอน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามทุกคนในการทำความดีด้วยการถือศีลอด และในช่วงดังกล่าวนี้ทางจังหวัดก็ได้หมุนเวียนเดินทางไปเยี่ยมเยียนพี่น้องมุสลิมที่มัสยิดเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการให้กำลังใจ ตลอดจนเป็นการสร้างความรัก ความสามัคคีของประชาชนในจังหวัด


“ต้องขอบคุณพี่น้องมุสลิมที่ให้ความร่วมมือกับตนและทางจังหวัดเป็นอย่างดีในที่ผ่านมา ในทุกๆ เรื่องที่ทางจังหวัดขอความร่วมมือไป ซึ่งจะเห็นได้ว่าประชาชนในจังหวัดภูเก็ตไม่ว่าจะเชื้อชาติหรือศาสนาใดสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ไม่มีปัญหาความแตกแยกที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต และประเทศไทย” นายวิชัย กล่าว


อย่างไรก็ตามผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ยังได้แสดงออกถึงความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าสานต่องานต่างๆ ที่ค้างคาให้แล้วเสร็จในห้วงระยะเวลา 40 วันที่เหลือ ของการทำหน้าที่ในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตก่อนที่จะเกษียนออกไป เพื่อให้พี่น้องประชาชนชาวภูเก็ตได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการสร้างที่ละหมาดให้กับพี่น้องมุสลิม ต.ไม้ขาว การแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำกิน น้ำใช้ในช่วงหน้าแล้ง โดยจะเดินหน้าโครงการ หนึ่งตำบล หนึ่งชุมชน หนึ่งแหล่งน้ำในพื้นที่ต่างๆ ให้แล้วเสร็จเพื่อให้ประชาชนได้มีน้ำกิน น้ำใช้ตลอดทั้งปี


ภูเก็ตซ้อม EMS MEDICIAI RALLY


เมื่อเวลา 09.30 น.ของวันที่ 20 สิงหาคม 53 ที่บริเวณปลายแหลมสะพานหิน อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายไพบูลย์ อุปัติศฤงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต (อบจ.ภูเก็ต) เป็นประธานพิธีเปิดการฝึกซ้อมสถานการณ์จำลอง (EMS MEDICIAI RALLY) ของการฝึกอบรมหลักสูตร DMAT (Diasaster Medical Asistant Team) โดยมีนายแพทย์วิวัฒน์ ศีตมโนชญ์ นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกัน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต Dr.Katsuhiko, Dr.Tatsuro kai ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการเหตุฉุกเฉินจากประเทศญี่ปุ่น นายสันต์ จันทรวงษ์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ต และหัวหน้าโครงการฝึกอบรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย วิทยาเขตภูเก็ต เข้าร่วมในพิธีและร่วมสังเกตการณ์การฝึกซ้อมฯ


นายแพทย์วิวัฒน์ กล่าวว่า ด้วยทางจังหวัดภูเก็ต ได้จัดให้มีการฝึกอบรมหลักสูตร DMAT (Diasaster Medical Asistant Team) เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของบุคลากรทางด้านการแพทย์ ทั้งด้านองค์ความรู้ เครื่องมือ ทีมงาน การสื่อสารประสานงาน รวมถึงการเตรียมโรงพยาบาลสนาม กรณีต้องอพยพผู้ป่วยทางอากาศ โดยทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต ซึ่งได้มีการจัดฝึกภาคทฤษฎีไปแล้ว และเพื่อให้มีความสมบูรณ์มากเพิ่มขึ้น รวมทั้งให้ผู้เข้ารับการอบรมได้เรียนรู้เหตุการณ์จริง จึงได้มีการฝึกซ้อมปฎิบัติด้านการแพทย์ในสถานการณ์จำลอง (EMS MEDICIAI RALLY) ขึ้น

การฝึกอบบรมในครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่ดียิ่ง ในการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินแก่บุคลากรทางด้านสาธารณสุข โดยกลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่กู้ชีพจากจังหวัดที่มีแพทย์ Emergency Physician ใน 7 จังหวัด ประกอบด้วยจังหวัดภูเก็ต, จังหวัดเพชรบุรี, จังหวัดอุดรธานี, จังหวัดอยุธยา, จังหวัดนครศรีธรรมราช, โรงพยาบาลกรมการแพทย์ทหารเรือ และสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ จำนวน 40 คน และที่สำคัญจะเป็นการฝึกอบรมทีมครูฝึกระดับประเทศ (Advance DMAT for The trainer) ด้วย นายแพทย์วิวัฒน์กล่าว


“ครบเครื่องเรื่องคอนโดฯ...ทำอย่างไรให้สมหวัง”


เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 20 สิงหาคม 2553 ที่ห้องใบเรือ โรงแรมโบ๊ทลากูน อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดสัมมนาเชิงวิชาการ หัวข้อ ซึ่งทางสำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต ร่วมกับสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต จัดขึ้น เพื่อให้ความรู้กับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการ ผู้ซื้ออาคารชุดและผู้สนใจทั่วไป โดยมีผู้เข้าร่วมจำนวนประมาณ 200 คน ทั้งนี้มีการให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการจัดสรรที่ดิน การออกแบบ การหาผู้รับเหมา ระเบียบกฎหมายในการขอใบอนุญาต การทำประเมินราคา การออกหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด และการจัดตั้งนิติบุคคล


นายธนันท์ ตัณฑ์ไพบูลย์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต กล่าวว่า ในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของจังหวัดภูเก็ตมีการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคอนโดมีเนียมหรืออาคารชุด ขณะเดียวกันก็เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของข้อกฎหมาย กฎเกณฑ์การขออนุญาต การจัดตั้งนิติบุคคล และอื่นๆ

“การจัดสัมมนาในครั้งนี้เป็นแนวคิดแบบบูรณาการที่จะทำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ได้รับความรู้ความเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้อกำหนด ข้อกฎหมายเบื้องต้น การวางแผนทางการเงิน และขั้นตอนการเตรียมงานและบริหารโครงการที่ถูกต้อง เพื่อเป็นแนวทางในการป้องกันมิให้เกิดปัญหาในการดำเนินกิจการและสามารถนำความรู้ความเข้าใจที่ได้รับไปแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาพพจน์โดยรวมของธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดภูเก็ต” นายธนันท์กล่าว

ขณะที่นายไพทูรย์ เลิศไกร เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ตลาดคอนโดมีเนียมภูเก็ตยังคงมีการลงทุนต่อเนื่อง แม้จะไม่หวือหวาเหมือนกับในช่วง2-3 ปีที่ผ่านก็ตาม ขณะเดียวกันก็มีปัญหาเกิดขึ้นเช่นกันโดยเฉพาะการจัดทำสัญญาซึ่งผู้ประกอบการบางรายยังมีความไม่เข้าใจว่าจะต้องดำเนินการตามรูปแบบที่ทางราชการกำหนด ปัญหาการจัดตั้งนิติบุคคล ปัญหาการดูแลอาคารชุด ดังนั้นการจัดสัมมนาในครั้งนี้ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างทางสำนักงานที่ดินจังหวัดกับสมาคมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต จึงเป็นเรื่องที่ดีที่จะได้มีการพูดคุย เพื่อให้ทิศทางการทำงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับเอกชนได้มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน


อย่างไรก็ตามขณะนี้มีปัญหาการร้องเรียนเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารชุดซึ่งได้มีการจ่ายเงินไปแล้วแต่ไม่มีการก่อสร้างหรือก่อสร้างไม่แล้วเสร็จผ่านทางคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดภูเก็ตประมาณ 3-4 ราย และเชื่อว่าในอนาคตจะมีเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงอยากฝากเตือนผู้บริโภคให้ตรวจสอบและหาข้อมูลให้ดีก่อนที่จะทำสัญญาซื้อขายทั้งกับสำนักงานที่ดินจังหวัด สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะท้องถิ่นเจ้าของพื้นที่ เนื่องจากก่อนที่จะก่อสร้างจะต้องขออนุญาตก่อสร้างก่อน นายไพทูรย์ กล่าว


วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ตร.ท่องเที่ยวจับผู้ต้องหาขโมยทรัพย์ นทท.

เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 19 สิงหาคม 2553 ที่ห้องประชุมกองกำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว อ.เมือง จ.ภูเก็ต พร้อมด้วย พ.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช รอง ผกก.กก.5 บก.ทท.พ.ต.ท.บัณฑิต ขาวสุธรรม สว.ส.ทท.3 กก.5 บก.ทท.และพ.ต.ต.นาคพันธ์ โพธา สว.งานสืบสวน แถลงข่าวการจับกุมนายพิชิต โนคำ อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 196 ม.13 ต.หัวนาดำ อ.ศรีธาตุ จ.อุดรธานี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 1619/2553 ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2553 ซึ่งก่อเหตุขโมยทรัพย์สินในร้านจำหน่ายจิวเวอรี่ ได้ที่บ้านไม่มีเลขที่อ่าวนาง ซอย 11 หมู่ที่ 2 ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่

พ.ต.อ.วิเศษ เกตุพันธ์ ผกก.กก.5 บก.ทท. กล่าวว่า ได้รับคำสั่งจาก พล.ต.ต.อดิศร์ งามจิตสุขศรี ผบก.ทท.และ พ.ต.อ.ประคัลภ์ แสงส่องฟ้า รอง ผบก.ทท.ให้ดำเนินการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาดังกล่าว เนื่องจากเป็นคดีที่น่าสนใจ โดยพฤติการณ์ของผู้ต้องหารายนี้ ซึ่งเดิมเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.)อยู่ที่หมู่บ้านประชาชื่นเพลส กรุงเทพมหานคร และมีแฟนสาวทำงานอยู่ที่ร้านจิวเวอรี่ ชื่อ ออนเจมส์ ตั้งอยู่ภายในห้างบิ๊กซี สาขาแจ้งวัฒนะ ซึ่งเป็นร้านจำหน่าย รับซ่อมและจำนำเครื่องประดับของชาวไทยและต่างประเทศ โดยได้ไปมาหาสู่กับแฟนสาวเป็นประจำจนรู้จักมักคุ้นกับทางเจ้าของร้านเป็นอย่างดี

ก่อนเกิดเหตุประมาณ 2 เดือนผู้ต้องหามีเรื่องทะเลาะกับแฟนสาว โดยแฟนสาวได้ลาออกจากร้านดังกล่าวและเดินทางกลับไปยู่บ้านที่ จ.เลย ขณะที่ผู้ต้องหาก็ออกจากการเป็น รปภ.แต่ยังคงอาศัยอยู่ที่ทำงานเดิม จนกระทั่งวันเกิดเหตุ 12 กรกฎาคม 2553 เวลาประมาณ 06.13 น. ผู้ต้องหาได้เข้าไปที่ร้านจิวเวอรี่ดังกล่าวก่อนเวลาเปิดบริการ โดยได้มีการแลกบัตรประจำตัวประชาชนและแจ้งกับเจ้าหน้าที่ของทางห้างฯ ว่า จะเข้าไปทำไฟที่ร้านจิวเวอรี่ เมื่อเข้าไปถึงร้านก็ได้ใช้ไขควงงัดลิ้นชักซึ่งเกิบสินค้าที่ลูกค้านำมาซ่อมแซม ขโมยเครื่องเพชร ทอง และของมีค่าต่างๆ รวมกว่า 20 รายการ รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท ทรัพย์สินส่วนหนึ่งเป็นของนักท่องเที่ยวที่นำมาทำการซ่อมแซมตกแต่งและมีมูลค่าสูง จึงได้มีการมาแจ้งเรื่องให้ทางตำรวจท่องเที่ยวช่วยสืบหาตัวผู้ต้องหา เพื่อนำของมีค่าดังกล่าวมาคืน จนกระทั่งสืบทราบว่าผู้ต้องหาหลบมาพักอาศัยอยู่ที่ จ.กระบี่ดังกล่าว จึงได้เดินทางไปตรวจสอบและพบผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าว จึงได้แสดงตัวและจับกุม และนำส่งผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งทองห้องเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

อย่างไรก็ตามจากการสอบสวนทราบว่า ทรัพย์สินที่ผู้ต้องหาขโมยมานั้นได้นำไปขายให้กับร้านทองและบางส่วนนำไปจำนำที่โรงรับจำนำในพื้นที่กรุงเทพฯหมดแล้ว เพื่อนำเงินไปใช้หนี้พนันและที่หยิบยืมมา


เครื่องบินบังคับตกใส่หลังคาโบถส์วัดหลวงปู่สุภา


เมื่อเวลา 12.30 น.ของวันที่ 19 สิงหาคม 53 ร.ต.อ.โชฎิพงศ์ เกศรินทร์ รองสวป.สภ.ฉลอง อ.เมืองภูเก็ต รับแจ้งจากนายปิยะวัฒน์ ลีหะวีรชาติ อายุ 45 ปี ไวยากรวัดสีลสุภาราม (วัดหลวงปู่สุภา) ถนนเจ้าฟ้าตะวันตก ม.6 ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต ว่ามีเครื่องบินบังคับตกลงบนหลังคาโบสถ์และหอฉันชีภายในวัด ทำให้หลังคาแตกได้รับความเสียหาย โดยไม่มีผู้รับผิดชอบ ขอให้เดินทางมาตรวจสอบด้วย หลังรับแจ้งก็ได้เดินทางไปตรวจสอบพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สายตรวจ

สำหรับวัดสีลสุภาราม ซึ่งมีหลวงปู่สุภา กันตสีโร เป็นเจ้าอาวาส ที่มีอายุ 115 ปี เมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางไปถึง ก็พบว่าบริเวณที่เกิดเหตุเป็นหลังคาหอฉันของแม่ชี มีเครื่องบินบังคับขนาดเล็กยาวประมาณ 1 เมตร กว้างประมาณ .50 เมตร ตกอยู่ 1 ลำ นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ยังพบว่า กระเบื้องหลังคาแตก 3 แผ่น นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบบริเวณโบสถ์หลังใหม่ราคากว่า 30 ล้าน กระเบื้องมีร่องรอยกระเบื้องแตกได้รับความเสียหาย 3 แผ่น ทางเจ้าหน้าที่จึงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน เพื่อติดตามผู้ที่เป็นเจ้าของมารับผิดชอบค่าเสียหายต่อไป

ทั้งนี้จากการสอบถามนายปิยะวัฒน์ ลีหะวีรชาติ อายุ 45 ปี ไวยากรวัดสีลสุภาราม (วัดหลวงปู่สุภา) กล่าวว่า ขณะนี้วัดได้รับความเสียหายเนื่องจากมีกลุ่มชมรมเครื่องบินเล็ก ได้นำเครื่องบินมาแล่นบริเวณใกล้กับวัด และมีอยู่หลายๆ ครั้งที่เกิดเครื่องบินหลุดพ้นรัศมีของการบังคับเครื่อง เครื่องก็จะตกลงมาใส่หลังคาโบสถ์ได้รับความเสียหาย ซึ่งก่อนหน้านี้เคยตักเตือนกลุ่มผู้มาเล่นเครื่องบินร่อนดังกล่าว แต่ไม่เชื่อฟัง ซึ่งเมื่อเกิดความเสียหายแบบนี้ก็ไม่มีใครมารับผิดชอบ ทางวัดจำเป็นที่จะต้องแจ้งความเพื่อดำเนินการต่อไป

ด้าน ร.ต.อโชฏิพงศ์ เกศรินทร์ รองสวป. ได้กล่าวว่า หลังจากที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของวัดเดินทางแจ้งความแล้ว ก็จะเรียนให้ผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นก็จะทำหนังสือถึงชมรมฯและเจ้าหน้าที่วัด มาประชุมที่สภ.ฉลอง เพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป


บูรณาการสกัดกั้นยาเสพติดทางทะเล



เมื่อเวลา 09.30 น.ของวันที่ 19 สิงหาคม 53 ที่ห้องรายา โรงแรมรอยัลภูเก็ต ซิตี้ อ.เมือง จ.ภูเก็ต พล.ร.ท.ชุมนุม อาจวงษ์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 เป็นประธานการประชุมคณะทำงานสกัดกั้นยาเสพติดตามแนวชายฝั่งทะเล และเกาะแก่งในเขตทัพเรือภาคที่ 3 (คสรภ.3) ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน ประกอบด้วย ภูเก็ต พังงา กระบี่ ระนอง ตรังและสตูล โดยมีหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องของแต่ละจังหวัดเข้าร่วม เช่น ปกครองจังหวัด ตำรวจภูธรจังหวัด ตำรวจน้ำ ศุลกากร เป็นต้น

โดย พล.ร.ท.ชุมนุม อาจวงษ์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 กล่าวว่า ด้วยปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของยาเสพติดในประเทศทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลได้ตระหนักถึงภัยคุกคามด้านยาเสพติดเป็นอย่างมาก จึงได้มอบนโยบายปฏิบัติการประเทศไทยเข้มแข็ง ชนะยาเสพติดยั่งยืน ภายใต้ยุทธศาสตร์ 5 รั้วป้องกัน ระยะที่ 2 ประกอบด้วย รั้วชายแดน รั้วชุมชน รั้วสังคม รั้วโรงเรียน และรั้วครอบครัว ซึ่งในส่วนของ คสรภ.3 เป็นส่วนหนึ่งของงานรั้วชายแดน และมีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นประธาน พร้อมทั้งได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานฯ ชุดนี้ขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ที่ผ่าน”

“การประชุมของ คสรภ.3 ถือเป็นครั้งแรก เพื่อให้คณะทำงานได้รับทราบสถานการณ์ยาเสพติดในพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณชายฝั่งทะเลและเกาะแก่งในพื้นที่ทะเลอันดามัน ตลอดจนบูรณาการการสกัดกั้นยาเสพติดให้สอดคล้องกับการปฏิบัติในรั้วอื่นๆ ทั้งรั้วชุมชน สังคม โรงเรียนและครอบครัว ที่ศูนย์ต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดจังหวัดต่างๆ กำลังดำเนินการอยู่ นอกจากนี้ยังมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นการเพิ่มพูนความสัมพันธ์ ความคุ้นเคยและความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหายาเสพติดให้มีความใกล้ชิดกันมากขึ้น”

พล.ร.ท.ชุมนุม กล่าวว่า ในส่วนของการปฏิบัติงานด้านการปราบปรามยาเสพติดของทหารเรือในช่วงที่ผ่านมานั้นได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน โดยเฉพาะทางด้านการข่าวซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ ส่งผลให้สามารถที่จะควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ และจากการทำงานร่วมกันในช่วงที่ผ่านมาส่งสามารถจับกุมผู้กระทำผิดมาได้โดยตลอดมีทั้งรายเล็ก รายใหญ่และรายกลาง ซึ่งจากการตั้งคณะทำงานฯ ขึ้นมาเชื่อว่าจะทำให้สามารถเพิ่มระดับความเข้มข้นในการตรวจตราและจับกุมผู้กระทำผิดได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น


คืบหน้าการก่อสร้างศูนย์วัฒนธรรมชาวเล


เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 53 ที่ผ่านมา ที่ห้องประชุม 2 อาคารหลังใหม่ ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการ การปฏิบัติงานระดับจับหวัดเพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล ครั้งที่ 3/2553 โดยมีนายทวิชาติ อินทรฤทธิ์ วัฒนธรรมจังหวัดภูเก็ตและหน่วยงานต่างๆ ที่รับผิดชอบร่วมประชุม

ทั้งนี้นายทวิชาติ ได้กล่าวว่า การจัดสร้างศูนย์วัฒนธรรมชาวเลบ้านแหลมตุ๊กแก (เกาะสิเหร่) อ.เมือง จ.ภูเก็ต ขณะนี้ทางจังหวัดภูเก็ตได้งบสำหรับการสร้างศูนย์ฯ มาแล้ว โดยเป็นงบเหลือจ่ายจากจังหวัดปี 2553 จำนวน 2,100,000 บาท และเป็นงบไทยเข้มแข็งอีก จำนวน 4,838,200 บาท และขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการนำเสนอสำนักงบประมาณ และถ้าหากได้รับการอนุมัติจะนำไปสมทบกับงบเหลือจ่ายดังกล่าว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 6,938,200 บาท ซึ่งสามารถสร้างศูนย์ฯ ได้เต็มรูปแบบตามแปลนที่กำหนด คือ 5,890,000 บาท ดังนั้นยังคงเหลืองบประมาณ เป็นเงิน 1,048,200 บาท สำนักงานโยธาธิการฯ ก็ได้ออกแบบก่อสร้างรั้วรอบพื้นที่ศูนย์ฯ แล้ว อันนี้ก็เป็นความก้าวหน้าที่จะจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมชาวเลบ้านแหลมตุ๊กแก

นายทวิชาติ กล่าวต่อไปอีกว่า อย่างไรก็ตามในที่ประชุมวันนี้ ได้เร่งรัดให้ทางเทศบาลตำบลรัษฎา ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานราชการเกี่ยวข้องทำโครงการนี้ร่วมกัน ซึ่งในปี 2554 ทางเทศบาลตำบลรัษฎาได้ตั้งงบประมาณไว้อีกส่วนหนึ่ง ที่จะไปดำเนินการ แต่ในขณะนี้ก่อนที่จะดำเนินการก่อสร้างได้ขอความอนุเคราะห์ให้ทางเทศบาลตำบลรัษฎาไปปรับปรุงพื้นที่ให้สมบูรณ์ ซึ่งเมื่อได้งบประมาณมา ก็จะสามารถเข้าไปดำเนินการได้ในทันที

"คิดว่าเดือนนี้น่าจะทราบผลว่าจะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้เมื่อไหร่ เพราะถ้าจะดำเนินการก็ต้องดำเนินการไปพร้อมๆ กันทั้งสองเฟส เพราะถ้าหากว่าเราทำเฟสหนึ่งเฟสใดไปส่วนงบประมาณที่เหลือยังไม่มาก็จะไม่สมบูรณ์ก็จะค้างคา ทำให้กลายเป็นที่รกร้างทำอะไรได้ไม่สมบูรณ์ เพราะว่าถ้าตอนนี้งบประมาณสมบูรณ์เราก็เสนอ TOR แล้วก็อีออกชั่นก็จะดำเนินการได้เลย"

นอกจากนี้ นายทวิชาติ ยังได้กล่าวถึงการมีส่วนร่วมของชาวเลในการก่อสร้างศูนย์ดังกล่าวด้วยว่า ที่มา ที่จะดำเนินการจัดตั้งศูนย์แห่งนี้ ได้มีการทำประชาพิจารณ์กับพี่น้องชาวเล การจัดตั้งศูนย์รูปแบบต่างๆ ก็เป็นความต้องการของพี่น้องชาวเล ว่าเขามีความต้องการอย่างไร ก่อนที่ทางโยธาฯจะไปออกแบบ ก่อนออกแบบก็ต้องเอาผู้แทนชาวเลมา ว่าเขาต้องการอะไรบ้างแล้วรูปแบบก็จะออกมา ซึ่งตอนนี้ก็ออกมาตามความต้องการของพี่น้องชาวเล ก็ดำเนินการได้เลยถ้าได้งบประมาณมา


วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มิจฉาชีพในคาบนักบุญกวาดไป 2 แสน



เมื่อเวลา 12.30 น.ของวันที่ 18 สิงหาคม 53 ที่สภ.ฉลอง อ.เมือง ภูเก็ต พ.ต.ท.บุญเลิศ อ่อนกลาง สารวัตรเวรสภ.ฉลอง อ.เมืองภูเก็ต ได้รับแจ้งจากนาย KJELL OLAV FORSETH อายุ 52 ปี สัญชาตินอรเวย์ ว่า ตนถูกชาวต่างชาติ มีลักษณะคล้ายแขกขาว เข้ามาตีสนิทแล้ว แล้วถูกขโมยบัตรเอทีเอ็มไปกดเงินสดประมาณ 2 แสนบาท จึงขอแจ้งความเพื่อเป็นหลักฐาน และขอเตือนนักท่องเที่ยวหากเจอนักท่องเที่ยวลักษณะแขกขาวเข้ามาตีสนิทและจะช่วยเหลือเรื่องการเบิกเงินจากเอทีเอ็ม ก็อย่าหลงเชื่อเป็นอันขาด


ทั้งนี้นาย KJELL OLAV FORSETH อายุ 52 ปี สัญชาตินอรเวย์ ได้ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่า ได้เดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 53 ที่ผ่านมา โดยได้เข้าพักที่โรงแรมทรอปิคคอล การ์เด้นท์ รีสอร์ท ต.กะรน จนกระทั่งในวันที่ 9 สิงหาคม 53 เวลาประมาณ 10.30 น. ได้เดินทางไปกดเอทีเอ็ม ที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขากะตะ ต.กะรน ซึ่งขณะที่กำลังกดเงินอยู่นั้น บัตรเกิดมีปัญหากดเงินไม่ออก พอดีมีชาวต่างชาติมีลักษณะคล้ายแขกขาว อายุประมาณ 25 – 30 ปี เดินเข้ามาหาและทำทีเป็นพลเมืองดี เข้ามาให้การช่วยเหลือ พร้อมทั้งให้เขาช่วยกดเงินให้ โดยที่ตนเป็นคนกดรหัสเอง โดยในระหว่างที่กำลังทำตามขั้นตอนอยู่นั้น ชาวต่างชาติคนดังกล่าวได้แจ้งให้ทราบว่า บัตรเอทีเอ็มถูกตู้เอทีเอ็มยึดไปแล้ว และให้เข้าติดต่อเจ้าหน้าที่ภายในธนาคาร เมื่อตนเข้าไปติดต่อและให้พนักงานมาเปิดตู้เอทีเอ็ม เพื่อที่จะเอาบัตรเอทีเอ็มที่ถูกริบไป ปรากฏว่า ไม่พบบัตรเอทีเอ็มของตนภายในตู้แต่อย่างใด จากนั้นพนักงานก็ได้บอกว่า อีกประมาณ 1 ชั่วโมงให้กลับมาให้ติดต่อใหม่อีกครั้ง เมื่อผ่านไป 1 ชั่วโมง ตนก็ได้เข้ามาติดต่อธนาคารใหม่อีกครั้ง และจากการตรวจสอบยอดเงินในบัญชี ซึ่งเดิมมีอยู่ประมาณ 7 แสนบาท ปรากฏว่าเงินในบัญชีเหลืออยู่เพียง 5 แสนบาท หายไปประมาณ 2 แสนบาท ซึ่งตนเชื่อว่า คนร้ายที่มากดเงินจำนวนดังกล่าว น่าจะเป็นชาวต่างชาติคนที่เข้ามาช่วยเหลือแน่นอน และที่เข้ามาแจ้งความในครั้งนี้ เพื่อลงบันทึกเป็นหลักฐาน และฝากเตือนนักท่องเที่ยวที่จะกดเอทีเอ็ม หากเห็นชาวต่างชาติที่มีลักษณะคล้ายแขกขาวมาช่วยเหลือในการกดเงิน อย่าหลงเชื่อโดยเด็ดขาดเพราะอาจจะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพดังกล่าวโดยไม่รู้ตัว


อาชีวะภูเก็ตจัดกิจกรรมเสริมสร้างทักษะ


เมื่อเวลา 08.30 น.วันที่ 18 สิงหาคม 2553 ที่หอประชุมวิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายสุนทร พลรงค์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต เป็นประธานเปิดการประชุมสามัญ องค์การวิชาชีพแห่งประเทศไทย ระดับหน่วยวิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต การแข่งขันทักษะวิชาชีพ และการแข่งขันทักษะวิชาการ ประจำปี 2553 โดยมีนักศึกษาจากสาขาวิชาต่าง ๆ ร่วมนำเสนอผลงานด้วยรูปแบบของนิทรรศการ ซึ่งได้รับความสนใจจากนักศึกษาและบุคคลทั่วไปเป็นอย่างมาก


นายนิธิ ชัยพิริยะพงศ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนากิจการนักศึกษา วิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต กล่าวว่า ด้วยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษามีนโยบายในการเสริมสร้างพัฒนาคุณภาพนักศึกษาให้เป็นผู้มีทักษะฝีมือ มีบุคลิกภาพ มีความเป็นผู้นำ มีความเชื่อมั่นในวิชาชีพ จึงได้กำหนดแนวทางการจัดกิจกรรมองค์การวิชาชีพเพื่อส่งเสริมให้สมาชิกองค์การวิชาชีพ มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์เพื่อมุ่งสู่มาตรฐานอาชีวศึกษา ทั้งการจัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้น เพื่อส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษาได้แสดงออกและปฏิบัติกิจกรรมในทางที่ถูกต้อง เหมาะสม ตลอดจนนำผลการปฏิบัติกิจกรรมไปเป็นแนวทางในการพัฒนาตนเองและหมู่คณะ ส่งเสริมประสบการณ์ ความรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมทั้งคัดเลือกนักศึกษาเป็นตัวแทนของวิทยาลัยฯ เข้าร่วมประกวด แข่งขันกิจกรรมทางวิชาการองค์การวิชาชีพและการแข่งขันทักษะวิชาชีพทุกวิชาชีพในระดับภาค


นายสุนทร พลรงค์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต กล่าวเสริมว่า การประชุมองค์การวิชาชีพ เป็นกิจกรรมที่จะฝึกฝนพัฒนานักเรียนนักศึกษา ให้มีคุณลักษณะพึงประสงค์ของตลาดแรงงาน ทั้งด้านภาวะผู้นำ ความสามัคคี รู้จักทำงานเป็นทีม มีความเป็นประชาธิปไตย ยอมรับฟังความเห็นของผู้อื่น การจัดการแข่งขันทักษะทางวิชาชีพและวิชาการเป็นการยกระดับคุณภาพนักเรียน นักศึกษา ซึ่งจะต้องมุ่งเน้นทักษะ ฝีมือ เทคโนโลยีและสมรรถนะของผู้เรียน โดยเฉพาะการพัฒนาผู้เรียนให้รู้จักคิดเป็น ทำเป็นและแก้ปัญหาเป็น ดังปรัชญาของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาที่ว่า รู้จริง ทำได้ เข้าใจชีวิต


Thailand Indy Barista Championship

ในระหว่างวันที่ 14 – 15 สิงหาคม ที่ผ่านมา ที่บริเวณชั้น 1 ศูนย์การค้าโฮมเวิร์คส อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต บริษัท อโรม่า กรุ๊ป จำกัด และบริษัท กรีนสปอต จำกัด ผู้ผลิตเครื่องดื่มน้ำนมถั่วเหลืองไวตามิลค์ โดยการสนับสนุนของสมาคมกาแฟไทย ได้จัดการแข่งขัน “Thailand Indy Barista Championship ครั้งที่ 3” รอบชิงชนะเลิศประจำภาคใต้ เพื่อค้นหาสุดยอดนักชงกาแฟหรือบาริสต้าของประเทศไทย พัฒนาขีดความสามารถและคุณภาพของบาริสต้าที่ประกอบอาชีพเปิดร้านกาแฟแบบอิสระมากถึงประมาณ 80,000 ร้านค้าทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ให้มีมาตรฐานและสามารถก้าวสู่ความเป็นเลิศระดับสากลได้ต่อไปในอนาคต

การแข่งขันในครั้งนี้ มีนักชงกาแฟทั้งชายและหญิง ที่อยู่ในสถานประกอบการภัตตาคาร ร้านอาหารหรือร้านกาแฟโดยเฉพาะในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้คือ จังหวัดชุมพร กระบี่ นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พังงา พัทลุง ระนอง สตูล สงขลา สุราษฎร์ธานี ตรัง ยะลาและจังหวัดภูเก็ตสนใจเข้าร่วมการแข่งขันมากถึง ประมาณ 20 คน โดยในวันที่ 14 สิงหาคม 53 เป็นการแข่งขันในรอบคัดเลือก และผ่านการคัดเลือกจำนวน 8 คน เพื่อเข้าแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศในวันที่ 15 สิงหาคม 53

ในรอบชิงชนะเลิศจะมีคณะกรรมการตัดสินด้านรสชาติ 2 คน และกรรมการตัดสินด้านทักษะและความรู้ ความสามารถอีก 1 คน โดยรูปแบบการแข่งขัน ผู้เข้าแข่งขันในแต่ละคน มีเวลาเสนอผลงานไม่เกิน 10 นาที โดยเสิร์ฟกรรมการ 2 คน คือเครื่องดื่มเอสเปรสโซ่ 2 ที่ เครื่องดื่มคาปูชิโน 2 ที่ และเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ดริ๊งค์สอีก 2 ที่ และคณะกรรมการมีหลักเกณฑ์การให้คะแนนโดยการประเมินจากรสชาติ พิจารณาที่ความกลมกล่อมระหว่าง ความหวาน ขม เปรี้ยวและกลิ่นหอมละมุน และสามารถอธิบายเกี่ยวกับวัตถุดิบและอุปกรณ์ที่ใช้รวมถึงรสชาติเครื่องดื่มของตนเองต่อคณะกรรมการได้โดยตรงทั้งนี้ผู้เข้าแข่งขันชงเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ดริ๊งค์สอีก บางรายนำเอาน้ำตาลมะพร้าว ข้าว หรือแม้แต่สับปะรด งา มะปริง มะระ ชะเอม และพริกมาเป็นส่วนผสม นอกจากนี้ ยังมีการให้คะแนนพื้นฐาน ในเรื่องของเทคนิคการชงกาแฟและเครื่องมือที่ใช้ ความสะอาดของอุปกรณ์ ความประณีตและใส่ใจของบาริสต้า ตลอดจนการนำเสนอ การแสดงออก บุคลิกภาพส่วนตัวของผู้เข้าแข่งขัน รวมทั้งการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมและคณะกรรมการ

สำหรับผลการแข่งขัน ปรากฏว่า นางสาวณิษาอร ยี่สุ้น จากโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ท ภูเก็ต สามารถชนะใจกรรมการจนคว้า 2 รางวัล คือ รางวัลชนะเลิศ รับรางวัลแทมเปอร์ทอง ประกาศนียบัตรและเงินรางวัล 10,000 บาท และรางวัลพิเศษการชงกาแฟเอสเปรสโซ่ หรือเบสต์เอสเปรสโซ่ รับประกาศนียบัตรและเงินรางวัล 3,000 บาท ส่วนรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้รับแทมเปอร์เงิน ประกาศนียบัตรและเงินรางวัล 5,000บาทและรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้รับแทมเปอร์ทองแดง เงินสด 3,000 บาท และทั้ง 3 จะได้เป็นตัวแทนภาคใต้ เข้าร่วมการแข่งขัน "Thailand Indy Barista Championship ครั้งที่3 Champ Of The Champ”ที่กรุงเทพมหานครในระหว่างวันที่ 11 – 12 กันยายน เพื่อชิงถ้วยประทานพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เงินรางวัลและเครื่องชงกาแฟรวมมูลค่าประมาณ 100,000 บาท หากชนะการแข่งขันในครั้งนี้ ยังจะได้เป็นตัวแทนแข่งขัน Thailand Indy Barista Championship 2012 ด้วย

ตร.เมืองรวบผู้ค้าและผู้เสพยาเสพติด


เมื่อเวลา 10.30 น.ของวันที่ 18 สิงหาคม 53 ที่ห้องประชุมชั้น 2 สภ.เมือง ภูเก็ต พ.ต.อ.โกมล วัตรากรณ์, พ.ต.อ.พรศักดิ์ นวนหนู รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต, พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุม นายสมมิตร นนทรี อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 152/4 หมู่ 7 ต.ป่าคลอก อ.ถลาง ภูเก็ต นางสาวอำภา คุ้มบ้าน อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 42/1 หมู่ 5 ต.เกาะแก้ว อ.เมือง จ.ภูเก็ตพร้อมด้วยของกลาง ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 30 เม็ด บรรจุอยู่ในภาชนะคล้ายหลอดพลาสติกพันด้วยเทปกาวสีดำมีฝาปิดสีน้ำเงิน 2 ด้าน จำนวน 1 หลอด, ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) บรรจุอยู่ในภาชนะคล้ายหลอดพลาสติกใสมีฝาปิดสีขาวด้านบน จำนวน 1 หลอด น้ำหนักรวมภาชนะบรรจุ 7 กรัม, ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน) บรรจุอยู่ในภาชนะทรงกลมยาว มีฝาปิดสีเหลืองด้านบน จำนวน 3 หลอด น้ำหนักรวมภาชนะบรรจุ 25 กรัม, อุปกรณ์การเสพยาไอซ์ จำนวน 2 อัน, อุปกรณ์การเสพเฮโรอีน (เข็มฉีด) จำนวน 1 อัน, อาวุธปืนพกสั้น ยี่ห้อสมิธแอนด์เวสสัน แบบลูกโม่ ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก พร้อมกระสุน ขนาด .38 จำนวน 5 นัดและอาวุธปืนลูกซองแบบยาว ยี่ห้อรีมิงตัน โมเดล 1100 เลขประจำปืน N 575811 V จำนวน 1 กระบอก เหตุเกิดภายในบ้านเลขที่ 35/127 หมู่บ้านเจ้าฟ้าการ์เด้นโฮม เกาะแก้ว ซอย 13 หมู่ 2 ต.เกาะแก้ว อ.เมือง จ.ภูเก็ต โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย, ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า,ยาไอซ์) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต

พ.ต.อ.โกมล วัตรากรณ์ รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต ได้กล่าวว่า ด้วยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับว่า มีการมั่วสุมเสพยาเสพติดและจำหน่ายยาเสพติดที่บ้านเกิดเหตุ ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ขอหมายศาลเพื่อเข้าทำการตรวจค้น เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นพบนางสาวอำภา อยู่ภายในบ้านดังกล่าว เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ นางสาวอำภาทำท่าจะหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวเอาไว้ จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็ได้เข้าทำการตรวจค้นภายในบ้านพบ นายสมคิด เกบุตร อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 92 หมู่ 6 ต.ป่าคลอก อ.ถลางภูเก็ต และนายชัยรัตน์ ผ่องใส อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 29 หมู่ 3 ต.ท่าอยู่ อ.ตะกั่วทุ่งพังงา กำลังเสพยาเสพติดอยู่ และเมื่อเข้าไปภายในห้องครัวหลังบ้านพบนายสมมิตร ซึ่งเป็นสามีของนางสาวอำภา ผู้เป็นเจ้าของบ้านเกิดเหตุ กำลังนั่งอยู่โดยมีอุปกรณ์การเสพของกลางวางอยู่ และตรวจสอบพบกล่องแว่นตาสีดำ ภายในพบ ยาเสพติดชนิดต่างๆ อยู่ภายใน และจากการสอบถามนายสมมิตรและนางสาวอำภา ยอมรับว่ายาเสพติดเป็นของผู้ต้องหาที่เอาไว้จำหน่ายให้กลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่เมืองภูเก็ตจริง นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ยังได้ตรวจค้นพบอาวุธปืนลูกโม่ ซุกซ่อนอยู่ภายในตู้เสื้อผ้าซึ่งอยู่ในห้องนอนของนายสมมิตรและนางสาวอำภา และพบอาวุธปืนลูกซองยาวของกลางรายการที่ 7 ซุกซ่อนอยู่ในกล่องกระดาษวางอยู่บริเวณที่เก็บของข้างบ้านพักที่เกิดเหตุ จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้นายสมมิตรและนางสาวอำภาทราบ

พร้อมทั้งได้ทำการตรวจยึดทรัพย์สินที่ต้องสงสัยว่าได้มาหรือเกี่ยวข้องจากการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดประกอบด้วย โทรทัศน์สียี่ห้อโซนี่ โมเดล No.k/v-40BX400 หมายเลข 18880108 จำนวน 1 เครื่อง, รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อยามาฮ่า ฟิโน่ สีชมพู ทะเบียน ขจษ 614 ภูเก็ต จำนวน 1 คัน, รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า ดรีม สีดำ ทะเบียน งฉฉ 599 เชียงใหม่ จำนวน 1 คัน, รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า สตรีท สีแดง ไม่มีทะเบียน จำนวน 1 คัน, รถยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า แอกคอร์ท สีม่วง ทะเบียน กค 253 ภูเก็ต จำนวน 1 คัน, รถยนต์ ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู สีน้ำเงิน ทะเบียน กข 3969 พังงา จำนวน 1 คัน, โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อโนเกีย รุ่น 6300 จำนวน 1 เครื่อง, โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อโนเกีย รุ่น 6120 จำนวน 1 เครื่อง, สร้อยคอ ทำด้วยวัสดุลักษณะคล้ายทองคำ จำนวน 3 เส้นและสร้อยข้อมือ ทำด้วยวัสดุลักษณะคล้ายทองคำ จำนวน 3 เส้น จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนนายสมคิด และ นายชัยรัตน์ ได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีนและยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีอีกส่วนหนึ่ง



ตม.ภูเก็ตรวบไต้หวันหนีคดียาไอซ์มูลค่ากว่า 100 ล.


เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 18 สิงหาคม 2553 ที่ห้องประชุมสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองภูเก็ต พ.ต.อ.ภาณุวัฒน์ ร่วมรักษ์ ผู้กำกับการตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดภูเก็ต แถลงข่าวการจับกุม นายอู๋ หลง มู่ (MR.WU JUNG-MU) อายุ 51 ปี สัญชาติจีน (ไต้หวัน) ซึ่งหนีการจับกุมคดียาเสพติดของแขวงเมืองผิงตง สาธารณรัฐประชาชนชนจีนมากบดานที่ภูเก็ตกว่า 8 ปี และสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำปะเทศไทยได้ประสานมายังตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดภูเก็ต โดยผ่านทางศูนย์หมายจับอาชญากรรมข้ามชาติ


พ.ต.อ.ภาณุวัฒน์ กล่าวถึงการจับกุมในครั้งนี้ ว่า ด้วยเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2545 นายอู๋ หลง มู่ ได้ว่าจ้างนายจวง ไฉ่ หยวน เป็นเงิน 600,000 เหรียญไต้หวัน นำเรือออกจากเมืองผิงตง ไต้หวัน เดินทางเข้าไปในเขตน่านน้ำเมืองฝู่เจียน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีเรือไม่ทราบชื่ออีกลำนำสินค้าใส่ถุงดำขนาดใหญ่ จำนวน 2 ถุง มาส่งให้จากนั้นได้เดินทางกลับ กระทั่งวันที่ 25 ธันวาคม 2554 เวลาประมาณ 01.00 น. เรือได้เข้าเขตน่านน้ำไต้หวันและถูกตำรวจน้ำไต้หวันจับกุมได้ และตรวจพบว่าภายในถุงดำทั้ง 2 ถุง บรรจุยาแอมแฟตามีน (ยาไอซ์) 99% จำนวน 30 ถุง น้ำหนัก 30.26 กิโลกรัม คิดราคาในประเทศไทยจำนวน 100 ล้านบาท และในประเทศไต้หวันคิดมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท หลังจากนั้นนายอู๋ หลง มู่ ได้เดินทางหลบหนีเข้ามาในประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2545 โดยศาลแขวงเมืองผิงตง สาธารณรัฐประชาชนจีน (ไต้หวัน) ได้ออกหมายจับเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2546 และสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปคาดว่านายอู๋ หลง มู่ อาจจะพักอาศัยอยู่ในจังหวัดภูเก็ต

อย่างไรก็ตามหลังจากได้รับการประสานงานเข้ามา ทางตรวจคนเข้าเมืองภูเก็ตก็ทำการตรวจสอบข้อมูลพบว่า นายอู๋ หลง มู่ เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2552 ทางท่าอากาศสุวรรณภูมิ ได้รับการตรวจลงตราประเภท “NON-B” อนุญาตถึงวันที่ 24 มกราคม 2553 และต่อมาเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2553 ได้ยื่นคำร้องขออยู่ต่อในราชอาณาจักรที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดภูเก็ต ประเภท “ใช้ชีวิตบั้นปลาย” อนุญาตถึงวันที่ 24 มกราคม 2554 จึงได้ดำเนินการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2553 และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมของตรวจคนเข้าเมืองภูเก็ตก็ได้ออกสืบสวนและติดตามตัว จนเกระทั่งเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2553 พบนายอู๋ หลง มู่ อาศัยอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์เหมยโจว ถ.หลวงพ่อ ต.ตลาดใหญ่ อ.เมืองภูเก็ต จึงได้ตรวจสอบและกักตัวเพื่อประสานกับสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย ในการผลักดันส่งกลับเพื่อดำเนินคดีในไต้หวันต่อไป

พ.ต.อ.ภาณุวัฒน์ กล่าวว่า สำหรับนายอู๋ หลง มู่ เข้ามากบดานอยู่ในภูเก็ตได้ประมาณ 8 ปีแล้ว โดยประกอบอาชีพเป็นนายหน้าส่งออกปลาทูน่าไปต่างประเทศ ที่บริเวณท่าเทียบเรือประมงเกาะสิเหร่ ซึ่งนอกจากรายนี้แล้ว ทางตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดภูเก็ตจะให้ความสำคัญในการตรวจสอบข้อมูลของคนไต้หวันที่เข้ามาอยู่อาศัยและประกอบอาชีพในภูเก็ตมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีการจับกุมคนไต้หวันที่เข้ามาทำผิดกฎหมายในประเทศไทยจำนวนหลายราย เช่น แก็งค์ Call Center เป็นต้น ส่วนชาติอื่นๆ ที่อยู่ในข่ายของการติดตามตัวนั้นมีอยู่หลายรายแต่จะเป็นจากประเทศใหญ่ๆ ซึ่งขณะนี้มีบัญชีชาวต่างชาติที่เข้ามาหลบซ่อนตัวในประเทศไทยซึ่งทางศูนย์หมายจับอาชญากรรมข้ามชาติได้รวบรวมไว้มีจำนวนถึง 3,000 ราย

พ.ต.อ.ภาณุวัฒน์ กล่าวด้วยว่า นับตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมาตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดภูเก็ตสามารถจับกุมชาวต่างชาติที่หลบหนีความผิดเข้ามาซ่อนตัวในภูเก็ตรายสำคัญได้แล้ว 4 ราย ประกอบด้วย ชาวเกาหลีใต้ เยอรมัน อเมริกัน และไต้หวัน นอกจากนี้ยังมีรายเล็กๆ อีกหลายรายด้วย ทั้งนี้อยากขอความร่วมมือประชาชนช่วยแจ้งเบาะแสชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยในภูเก็ตและมีพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ เพื่อทางเจ้าหน้าที่จะได้เข้าไปทำการตรวจสอบ และหากพบมีความผิดจะได้มีการผลักดันส่งกลับประเทศของเขาต่อไป


วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กินผักภูเก็ตเน้นสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม


เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 17 ส.ค. 53 ที่ห้องประชุมหลังใหม่ ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานประชุมเตรียมจัดงานประเพณีถือศีลกินผัก ประจำปี 2553 โดยมีนายทวิชาติ อินทรฤทธิ์ วัฒนธรรมจังหวัดภูเก็ต นายประเสริฐ ฟักทองผล ประธานชมรมอ๊ามจังหวัดภูเก็ต พร้อมส่วนราชการ ตัวแทนอ๊ามต่างๆ และภาคเอกชน เข้าร่วม

ทั้งนี้นายธีระยุทธ กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ต ร่วมกับศาลเจ้าและหน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ต จัดงานประเพณีถือศีลกินผัก ประจำปี 2553 ระหว่างวันที่ 8 – 16 ตุลาคม 2553 เพื่อสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามที่เก่าแก่ของชาวจังหวัดภูเก็ต ซึ่งได้ปฏิบัติสืบเนื่องมาประจำทุกปี โดยการประชุมวันนี้จะเป็นการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งเรื่อง การสนับสนุนกิจกรรมของศาลเจ้า การจัดระบบจราจร การดูแลรักษาความปลอดภัย ประชาชนและนักท่องเที่ยว การจัดหน่วยพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ ดูแลม้าทรงและกระบวนแห่ ต้องไม่หวาดเสียว และต้องดูแลความสะอาดของอาวุธด้วย นอกจากนี้ยังมีการพิจารณาเข้มงวดในการใช้ประทัด โดยในปีนี้ กำหนดให้มีการใช้ประทัดในขบวนแห่เท่านั้น ส่วนใครจะจำหน่ายต้องขออนุญาตให้ถูกต้อง ซึ่งหากตรวจพบการกระทำความผิด ทางจังหวัดจะมีการดำเนินการตามกฎหมายทันที ด้านมาตรการควบคุมราคาสินค้า จะมีการรณรงค์ให้ผู้ประกอบการไม่เอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว และการจัดส่งเจ้าหน้าที่ ตรวจสอบผู้ประกอบการว่าปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่ พร้อมทั้งมีการเปิดสายด่วนให้ร้องเรียนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบหมายเลข 1569

ด้านการประชาสัมพันธ์การจัดงานประเพณีถือศีลกินผักปีนี้ในเรื่องของป้ายคัทเอาท์ ไวนีล ธงญี่ปุ่น ต้องออกแบบให้เหมือนกัน อย่างทำแบบต่างคนต่างทำ และต้องติดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อดูแล้วจะได้สวยงาม ที่สำคัญปีนี้จะมีการทำไวนีล แผ่นเสียง ขนาดยาว เพื่อติดตั้งต้อนรับและสื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวให้ทราบ บริเวณทางเข้าสะพานสารสินด้วย

ด้านนายประเสริฐ ฟักทองผล ประธานชมรมอ๊ามภูเก็ต กล่าวว่า ทางชมรมอ๊ามได้จัดพิธีสวดมนต์ (ซงเก้ง) ถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในวันที่ 2 ของประเพณีถือศีลกินผัก ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 9 ตุลาคม 2553 เวลา 17.00 น. ณ บริเวณเวทีกลางสะพานหิน จ.ภูเก็ต อย่างไรก็ตามทางชมรมอ๊าม ก็ต้องขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยวร่วมนุ่งขาว ห่มขาวในช่วงประเพณีดังกล่าวด้วย


ภูเก็ตเตรียมยกร่างแผนพัฒนาคุณภาพชีวิต


เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 17 สิงหาคม 2553 ที่โรงแรมภูเก็ตเมอร์ลิน อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายตรี อัครเดชา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเตรียมจัดทำแผนยุทธศาสตร์พัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก เยาวชนและครอบครัวแบบบูรณาการจังหวัดภูเก็ต ซึ่งทางสถาบันประชาคมภูเก็ต ร่วมกับหน่วยงานภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจัดขึ้น เพื่อจัดทำยกร่างโครงการขอสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานจัดทำแผนโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก เยาวชนและครอบครัวแบบบูรณาการในระดับจังหวัด ตามแนวคิดและแนวทางของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ โดยให้สอดคล้องกับบริบทและสถานการณ์ของพื้นที่ในการปฏิบัติการ เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อไป นอกจากนี้เพื่อยกร่างกลไกและระบบการจัดการที่มีความพร้อมสมบูรณ์ต่อการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก เยาวชนและครอบครัวแบบบูรณาการในจังหวัดภูเก็ต

นายตรี อัครเดชา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ปัจจุบันเด็กและเยาวชน เป็นกลุ่มที่มีปัญหาค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาติดเกมส์ ยาเสพติด มั่วสุมหรือทะเลาะวิวาท จึงเป็นเรื่องที่ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชนและภาคประชาชน จะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนและบูรณาการการทำงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

นายสุพจน์ สงวนกิตติพันธ์ ประธานสถาบันประชาคมภูเก็ต กล่าวว่า จากการสรุปปัญหาของทุกองค์กรที่ทำเรื่องเด็ก เยาวชนและครอบครัว พบว่ามีข้อจำกัดอยู่ในหลายด้าน เช่น การได้รับงบประมาณสนับสนุนที่ไม่ต่อเนื่อง การมีส่วนร่วมไม่ครบถ้วน ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจปัญหาของเด็ก เยาวชน สังคมไม่ให้ความสำคัญกับการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ ศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรม หรือเด็กเยาวชนที่ด้อยโอกาส ไม่สามารถเข้าถึงโครงการที่จัดทำขึ้นมาได้ การรับรู้ของครอบครัวที่ต่างคนต่างอยู่เป็นต้น

อย่างไรก็ตามในการจัดทำร่างแผนยุทธศาสตร์พัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก เยาวชนและครอบครัวแบบบูรณาการจังหวัดภูเก็ต นั้นได้กำหนดวิสัยทัศน์ว่า สร้างคุณภาพ ทักษะการดำรงชีวิต เด็ก เยาวชนและครอบครัวจังหวัดภูเก็ต ด้วยขบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และได้ร่างยุทธศาสตร์เด็ก เยาวชนและครอบครัวไว้ คือ 1.เสริมทักษะในการดำรงชีวิตของเด็ก เยาวชนและครอบครัว 2.สร้างภูมิคุ้มกัน การเฝ้าระวัง คุณภาพ สุขภาพ วิถีชีวิต เด็กและเยาวชน และ 3.สร้างเสริมการเรียนรู้เรื่อง ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ศีลธรรม จริยธรรมและคุณธรรม นายสุพจน์กล่าว


ดึงผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นร่วมติวเข้มหน่วยกู้ชีพ

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 17 สิงหาคม 2553 ที่โรงแรมโบ๊ทลากูน รีสอร์ท อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายตรี อัครเดชา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดการอบรมการจัดการเหตุฉุกเฉินของหน่วยกู้ชีพ ซึ่งทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต (สสจ.ภูเก็ต) ร่วมกับสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ต และหน่วยงานภาคีเครือข่าย จัดขึ้น โดยมีทีมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่กู้ชีพจากจังหวัดที่มีแพทย์ Emergency Physician ใน 9 จังหวัด ประกอบด้วย ภูเก็ต เพชรบุรี อุดรธานี อยุธยา นครศรีธรรมราช เชียงราย โรงพยาบาลทหารเรือ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และผู้สังเกตการณ์ของจังหวัดภูเก็ต รวมประมาณ 55 คน

สำหรับการจัดอบรมในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนวิทยากรจากนายชาติชาย ไทยกล้า สถาบันฝึกดับเพลิงและกู้ภัยชั้นสูง (ทาฟต้า) ทีมผู้เชี่ยวชาญการจัดการเหตุฉุกเฉินจากประเทศญี่ปุ่น นำโดย Dr.Tatsuro Kai พร้อมผู้เชี่ยวชาญอีก 4 ท่าน โดยคาดหวังว่าหลังการฝึกอบรมผู้เข้ารับการอบรมจะมีความพร้อมในระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน มีการพัฒนาเครือข่ายในการรับมืออุบัติภัยในอนาคต ซึ่งการอบรมประกอบด้วยการบรรยาย การสาธิตและการฝึกปฏิบัติ ซึ่งเป็นการฝึกซ้อมสถานการณ์จำลอง (EMS Medical Rally) ที่บริเวณปลายแหลมสะพานหินในวันที่ 20 สิงหาคมนี้

นพ.วิวัฒน์ ศีตมโนชญ์ นายแพทย์เชี่ยวชาญ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จากเหตุการณ์พิบัติภัยสึนามิในปี 2547 ซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่ชีวิตและทรัพย์สินต่อประเทศไทย ประเทศรอบทะเลอันดามัน และมหาสมุทรอินเดีย หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวทางจังหวัดภูเก็ตได้ริเริ่มดำเนินการพัฒนาศักยภาพของการจัดการเหตุฉุกเกินของหน่วยกู้ชีพขึ้นมาตามลำดับ โดยได้มีการเพิ่มหน่วยแพทย์ฉุกเฉินครอบคลุมจนสามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตามการดูแลจัดการเหตุฉุกเฉินจำเป็นต้องอาศัยทักษะความรู้เฉพาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุบัติภัยขนาดใหญ่ ซึ่งในส่วนของจังหวัดภูเก็ตได้มีการฝึกอบรมหลักสูตร Disaster Medical Assistant Team มาตั้งแต่ปี 2551 และได้อาศัยศักยภาพของทีมในการดูแลนักท่องเที่ยว ตลอดจนการจัดประชุมที่สำคัญต่างๆ เช่น การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนครั้งที่ 42 การประชุมระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนกับรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศคู่เจรจา การประชุมว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ 16 เป็นต้น นอกเหนือจากนั้นในอนาคตอันใกล้จังหวัดภูเก็ตจะมีศูนย์การประชุมนานาชาติ ซึ่งทำให้ต้องมีการเตรียมความพร้อมทางด้านการแพทย์ฉุกเฉินให้มีประสิทธิภาพทัดเทียมนานาประเทศ นพ.วิวัฒน์กล่าว


งานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ ครั้งที่ 23


เมื่อเวลา 08.30 น.ของวันที่ 17 สิงหาคม 53 ที่ห้องประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต นายตรี อัครเดชา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ ครั้งที่ 23 ประจำปี 2553 ซึ่งคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต จัดขึ้น โดยผศ.ดร.ประภา กาหยี อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต คณะครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา แขกผู้มีเกียรติ และประชาชนผู้สนใจทั่วไปเข้าร่วมในพิธี

ทั้งนี้ ผศ.ณัฐพงศ์ ถือดำ คณะบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ได้กล่าวถึงการจัดงานในครั้งนี้ว่า สืบเนื่องจากมติของคณะรัฐมนตรีลงวันที่ 14 เมษายน 2525 ได้กำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคมของทุกปี เป็น “วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ” เพื่อเปิดโอกาสให้พสกนิกรได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติในพระปรีชาสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยการสนับสนุนของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตระหนักในพระมหากรุณาธิคุณ องค์พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย ที่ทรงเริ่มต้นประวัติศาสตร์การศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย

นอกจากนี้เพื่อเป็นการน้อมระลึกในพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ซึ่งทรงมีพระราชจริยวัตร อุทิศพระสติปัญญาศึกษาหาความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อนำมาพัฒนาชาติในด้านต่างๆ นับเป็นภูมิของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติในปีนี้ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต นำโดยคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับคณะเทคโนโลยีการเกษตร คณะครุศาสตร์ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียง ได้ร่วมกันจัดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้น ในระหว่างวันที่ 17 – 19 สิงหาคม 2553 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติในพระปรีชาสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแด่องค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย”เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทย เพื่อกระตุ้นให้เยาวชนและประชาชนทั่วไปมีความสนใจในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น และเพื่อประชาสัมพันธ์ให้เยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนได้ทราบถึงขีดความสามารถในการให้บริการทางวิชาการของคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ผศ.ณัฐพงศ์ กล่าวต่ออีกว่าสำหรับกิจกรรมภายในงานปีนี้ ประกอบด้วย นิทรรศการเทิดพระเกียรติฯ พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย นิทรรศการเทิดพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน นิทรรศการ การแสดงผลงานทางวิชาการ กิจกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คณะเทคโนโลยีการเกษตร คณะครุศาสตร์ และหน่วยงานภายนอก นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการแข่งขันทางวิชาการ เช่น การแข่งขันตอบปัญหาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ การประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ โครงงานคณิตศาสตร์ การประกวดวาดภาพสร้างสรรค์ตามจินตนาการทางวิทยาศาสตร์ การประกวดวาดภาพการ์ตูนทางวิทยาศาสตร์ การแข่งขันพูดทางวิทยาศาสตร์ การแข่งขันเครื่องบินกระดาษพับ การแข่งขันประดิษฐ์ของเล่นทางวิทยาศาสตร์จากวัสดุเหลือใช้ การประกวดละครวิทยาศาสตร์ และการแข่งขันกระบวนการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์