จำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ตร.เมืองภูเก็ตคนร้ายข่มขืน – ชิงทรัพย์


เมื่อเวลา 10.00 น.ของวันที่ 9 กรกฎาคม 53 ที่ห้องประชุมชั้น 2 สภ.เมืองภูเก็ต พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผบก.ภ.จ.ภูเก็ต พ.ต.อ.พรศักดิ์ นวนหนู รองผบก.ภ.จว.ภูเก็ต และพ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ตได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมนายวุฒิไกร ประสปษร อายุ 25 ปี พนักงานขับรถตู้ของบริษัทแห่งหนึ่งในตัวเมืองภูเก็ตพร้อมของกลาง คอมพิวเตอร์โน้ตบุคสีดำยี่ห้อ Asus พร้อมกระเป๋าจำนวน 1 เครื่องและปืนอัดลม 1 กระบอก ในข้อหา ลักทรัพย์ในเคหะสถาน ในเวลากลางคืน โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม หรือรับของโจร และข่มขืนกระทำชำเราหญิง ซึ่งมิใช้ภริยาของตนเอง โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยหญิงอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้หญิงเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น

ทั้งนี้พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ได้กล่าวว่า ด้วยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากนางสาวนี (นามสมมุติ)อายุ 22 ปีว่าเมื่อเวลา 23.00 น.ของวันที่ 29 มิถุนายน 53 ได้มีคนร้ายเข้าไปในห้องพักของผู้เสียหาย ภายในหอพักแห่งหนึ่งย่าน ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ต โดยใช้อาวุธปืน สีดำ จี้บังคับให้ยินยอมและกระทำเรา ด้วยความกลัวจึงยอม จากนั้นคนร้ายก็ได้ลงมือข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง และในช่วงที่คนร้ายเผลอ ผู้เสียหายก็ได้หลบหนีออกนอกห้อง ทำให้คนร้ายตกใจ และก่อนจะออกจากห้อง คนร้ายก็ได้คว้าเอาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กติดมือไปด้วย

หลังจากผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนออกติดตามตัวคนร้ายรายนี้ จนกระทั่งสืบทราบว่า คนร้ายรายนี้คือนายวุฒิไกร เป็นพนักงานขับรถตู้ ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ติดตามจนสามารถจับกุมตัวได้ และจากการสอบสวนนายวุฒิไกรก็ได้ให้การรับสารภาพ รวมทั้งคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่ได้ซ้อนไว้หลังรถตู้คันดังกล่าว จึงได้นำตัวมาให้ผู้เสียหายได้ชี้ตัว ทั้งนี้นายวุฒิไกรยังให้การรับสารภาพว่าแอบชอบ น.ส.นีและเฝ้าติดตามมาโดยตลอด เมื่อสบโอกาสจึงใช้ปืนอัดลมจี้บังคับเหยื่อและข่มขืน จนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง โดยใส่ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดต่อและตั้งครรภ์ ซึ่งคิดไม่ถึงว่า น.ส.แดงจะกล้าเข้าแจ้งความ ส่วนโน้ตบุ๊กแค่หยิบติดมือไปด้วยเท่านั้น

นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ยังได้จับกุมผู้พกพาอาวุธปืนในพื้นที่รับผิดชอบ ประกอบด้วย นายทรงพล พ้องงูเหลือม อายุ 18 ปีพร้อมของกลางอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ 1 กระบอก เครื่องกระสุนปืนเบอร์ 12 จำนวน 1 นัด ซองปืนแบบเหน็บเอว 1 อัน หลังถูกสายตรวจตรวจค้นจับกุมได้ขณะขี่รถ จยย.อยู่บริเวณวงเวียนสุรินทร์ ถ.ภูเก็ต อ.เมือง โดยพกอยู่ที่เอวด้านขวาของนายทรงพล เมื่อเวลา 03.00 น.วันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา จากนั้นเวลา 21.30 น.วันเดียวกัน สายตรวจ สภ.เมืองภูเก็ตได้จับกุมนายวิรสิทธิ์ ไพแก้ว อายุ 28 ปีพร้อมของกลางอาวุธปืนออโตเมติกยี่ห้อวอลเธอร์ขนาด 7.56 มม.จำนวน 1 กระบอก กระสุนปืนขนาด 7.56 มม.จำนวน 8 นัด ซองใส่ปืน 1 อัน ขณะที่นายวิรสิทธิ์ขี่รถ จยย.อยู่ที่ ถ.ร่วมพัฒนา ต.รัษฎา อ.เมืองภูเก็ต เมื่อเวลา 21.00 น.วันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยนายทรงพลและนายวิรสิทธิ์ต่างให้การรับสารภาพ แต่ยังไม่ยอมบอกถึงสาเหตุที่พกพาอาวุธปืนไปยังที่สาธารณะเพื่อประการใด


วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เตรียมจัด ”The Andaman Motor Expo 2010”


นายกฤชภณัฏฐ์ ภัทร์วราสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ เอ็น.ดี.โปรดักชั่นส์ จำกัด เปิดเผยว่า ทางบริษัทฯ ได้ร่วมกับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ต่างๆ ประกอบด้วย บีเอ็มดับเบิ้ลยู วอลโว่ บีอาร์จี (ผู้นำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศ) อีซูซุ โปรตอน มาสด้า โตโยต้า มิตซูบิชิ และเชฟโลเลต กำหนดจัดงาน The Andaman Motor Expo 2010 ในระหว่างวันที่ 6-12 สิงหาคม 2553 ที่เซ็นทรัล เฟสติวัลภูเก็ต โฮมพาราไดส์ (โฮมเวิร์ค) เพื่อเป็นการส่งเสริมการขายและกระตุ้นตลาดรถยนต์ในภูเก็ตให้มีความคึกคักมากยิ่งขึ้น ตลอดจนยกระดับการจัดงานมอเตอร์โชว์ให้เทียบเท่ากับในส่วนกลาง

“ภายในงานนอกจากจะมีการจัดแสดงและจำหน่ายรถยนต์จากค่ายต่างๆ ซึ่งนำนำเสนอรถรุ่นใหม่ๆ ระดับราคาตั้งแต่หลักแสนจนถึงหลักล้านแล้ว ยังจะมีการออกบูธเรือ เครื่องเสียงรถยนต์ ประดับยนต์ Finance และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับธุรกิจยานยนต์ต่างๆ รวมทั้งการจัดประกวดวงดนตรี The Andaman Music Contest ชิงรางวัลรวมกว่า 30,000 บาท การแข่งขันยิงปืน BB-Gun (ATCS) ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 20,000 บาท ตลอดจนร่วมลุ้นการประมูลของที่ระลึกกับพิธีกรดารานักแสดงชื่อดัง แทนคุณ จิตต์อิสระ และการแจกของรางวัลอีกมากมาย เช่น ทีวีพลาสมา ตู้เย็น เป็นต้น”

นายกฤชภณัฏฐ์ กล่าวว่า สำหรับการจัดงานในครั้งนี้คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมงานในแต่ละวันไม่ต่ำกว่า 1,000-2,000 คน โดยมียอดจองรถและการจับจ่ายซื้อสินค้าภายในงานรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 120 ล้านบาท โดยค่ายรถต่างๆ ที่เข้าร่วมงานจะมีการนำเสนอโปรโมชั่นใหม่ๆ ให้เลือกอย่างมากมายมีทั้งลดแลกแจกแถม เพื่อสร้างแรงดึงดูดให้กับผู้เข้าร่วมชมงาน เช่น ดอกเบี้ยต่ำ ผ่อนนาน เป็นต้น

อย่างไรก็ตามนายกฤชภณัฏฐ์ กล่าวด้วยว่า ปกติทางบริษัทจะมีการยกงานมอเตอร์โชว์ปีละ 2 ครั้งในช่วงต้นปีกับปลายปี แต่เนื่องจากได้รับการติดต่อจากค่ายรถซุปเปอร์คาร์ ซึ่งเป็นรถที่มีระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นได้ให้ทำการจัดงานดังกล่าว ดังนั้นหลังจากนี้จะมีการจัดงานในส่วนของรถซุปเปอร์คาร์เพิ่มขึ้นมาอีกรายการหนึ่งในเร็วๆ นี้ เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของตลาดซึ่งพบว่ายังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง


“เปิดลานบุญ ลานปัญญา” นำร่องของภูเก็ต

เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2553 ที่มัสยิดมูการ่ม หมู่ 2 ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี เป็นประธานเปิดโครงการลานบุญ ลานปัญญา มัสยิดมูการ่ม โดยมีนายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายก อบจ.ภูเก็ต นายมาโนช พันธุ์ฉลาด นายก อบต.เชิงทะเล ผู้นำศาสนา โต๊ะอิหม่าม แขกผู้มีเกียรติ และพี่น้องมุสลิมในพื้นที่ตำบลเชิงทะเลเข้าร่วม
ทั้งนี้การจัดกิจกรรมดังกล่าว สืบเนื่องจากจังหวัดภูเก็ตได้คัดเลือกมัสยิดมูการ่ม เป็นศาสนสถาน 1 ใน 8 นำร่องของจังหวัดภูเก็ต ที่เข้าร่วมโครงการลานบุญ ลานปัญญา ของกระทรวงวัฒนธรรมภายใต้แผนปฏิบัติไทยเข้มแข็ง 2555 (แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะ 2) ซึ่งริเริ่มในปีงบประมาณ 2553 โดยมีวัตถุประสงค์ในการเปิดพื้นที่ศาสนสถานของทุกศาสนาให้เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางศาสนา และกิจกรรมอื่นๆ ที่ชุมชนร่วมกันดำเนินการเพื่อให้เกิดจิตสำนึกและความภาคภูมิใจในศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตดั้งเดิมที่ดีงามของชุมชน ซึ่งเป็นการนำทุนทางวัฒนธรรมที่ใช้ศาสนาเป็นรากฐาน โดยผ่านทางศาสนสถาน ส่งผลให้เกิดความรัก ความสามัคคี และความเข้มแข็งของชุมชน

นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก นักท่องเที่ยวก็นำวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาเผยแพร่ ทำให้วัฒนธรรมดั้งเดิมที่ดีงามของพื้นที่อาจเปลี่ยนไป ดังนั้นเราต้องช่วยกันให้ความรู้แก่เด็ก เยาวชนในการปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมที่ดีงามของเราที่สืบทอดกันมาให้คงอยู่ตลอดไป นอกจากนี้ต้องเร่งสร้างความรักความสามัคคีของคนในชุมชนและประเทศชาติโดยรวมต่อไป


อบจ.ภูเก็ต เปิดเวทีประชาคมท้องถิ่นจัดทำแผนพัฒนา


เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2553 ที่ห้องประชุมโรงแรมเพิร์ล ภูเก็ต นายไพบูลย์ อุปัติฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต (อบจ.ภูเก็ต เป็นประธานการประชุมสัมมนาประชาคมท้องถิ่น การจัดทำแผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ประจำปี พ.ศ. 2554-2556 และแผนยุทธศาสตร์การพัฒนา 4 ปี พ.ศ.2554-2557 โดยมีผู้บริหาร สมาชิกสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ผู้แทนองค์กรภาคประชาชน ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมเสนอความคิดเห็น

นายอยุธ บางหลวง รองปลัด อบจ.ภูเก็ต กล่าวว่า อบจ.ภูเก็ต ได้กำหนดการจัดเตรียมทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาและแผนพัฒนาสามปี โดยการรวบรวมข้อมูลอย่างรอบด้าน และให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายรัฐบาล แผนพัฒนาจังหวัด และกลุ่มจังหวัด นโยบายของผู้บริหารท้องถิ่น ให้สามารถนำมาแก้ไขปัญหาและตอบสนองความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง จึงได้มีการจัดสัมมนาขึ้น เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากประชาชน ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคประชาชน ภาคเอกชนที่มีต่อทิศทางการพัฒนาจังหวัดภูเก็ต รับทราบปัญหาและความต้องการของประชาชนชนในจังหวัดภูเก็ตในภาพรวม เพื่อให้สอดคล้องกับระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจัดทำแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2548 ตลอดจนเพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2554 ด้วย

ขณะที่นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายก อบจ.ภูเก็ต กล่าวว่า ในการแถลงนโยบายการบริหารงานนั้นได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาไว้ 8 ด้าน ได้แก่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านสาธารณสุข ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านการศึกษา ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านคุณภาพชีวิต ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านการบริหาร การเมือง การปกครอง โดยในการพัฒนาด้านต่างๆ นั้นจำเป็นที่จะต้องฟังความเห็นอย่างรอบด้าน เพื่อจะได้จัดทำโครงการให้ตรงกับความต้องการและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง

“ในส่วนของ อบจ.ภูเก็ตนั้นสามารถจัดเก็บรายได้ได้ปีละประมาณ 700 ล้านบาท ซึ่งแผนงานในปีหน้านั้นจะเน้นหนักไปยังการแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งขณะนี้ก็มีท้องถิ่นเสนอความต้องการมาบ้างแล้ว เช่น กมลา ไม้ขาว เกาะแก้ว เป็นต้น รวมถึงการแก้ปัญหาความจำเป็นเร่งด่วนที่มีการนำเสนอเข้ามา ซึ่งเกินขีดความสามารถของท้องถิ่นที่จะดำเนินการได้เอง เช่น ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การจราจร เป็นต้น นายไพบูลย์ กล่าว

อย่างไรก็ตามภาพรวมของปัญหาที่มีการเสนอเพื่อให้ทาง อบจ.จัดสรรงบประมาณลงไปแก้ไขและช่วยเหลือ เช่น ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การคมนาคมขนส่ง ปัญหาด้านสาธารณสุข การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมด้านคุณธรรมจริยธรรม การแก้ปัญหาขยะ การขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค การขาดแคลนครูบุคลากรด้านการศึกษา การติดตั้งป้ายบอกทางและป้ายต้อนรับภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษายาวี เป็นต้น





พิจารณาวันดูดวงจันทร์ถือศีลอดประจำปี


เมื่อเวลา 14.00 น.ของวันที่ 7 กรกฎาคม 2553 ที่โรงแรมรอยัล พาราไดส์ แอนด์สปา อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดการสัมมนาคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทั่วราชอาณาจักร ประจำปี 2553 ซึ่งกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จัดขึ้น โดยมีนายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี นายมงคล สุระสัจจะ อธิบดีกรมการปกครอง นายไชยวัฒน์ เทพี ปลัดจังหวัดภูเก็ต ผู้แทนจุฬาราชมนตรี ผู้แทนคณะกรรมการกลางอิสลามประจำประเทศไทย และผู้แทนคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทั่วประเทศจาก 39 จังหวัด จำนวน 90 คน และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม โดยกำหนดจัดในระหว่างวันที่ 7-10 กรกฎาคม 2553 พร้อมกันนี้ยังได้มีการทัศนศึกษาดูงาน เยี่ยมชมกิจกรรมปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและวิถีชีวิตชาวไทยมุสลิม ชุมชนบ้านบางโรงด้วย
นายมงคล สุระสัจจะ อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวว่า พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 กำหนดให้มีองค์กรบริหารกิจการศาสนาอิสลาม 3 ระดับ ได้แก่ คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย(จุฬาราชมนตรีเป็นประธาน) คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด และคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ซึ่งในส่วนของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด นอกจากจะมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษา และเสนอความเห็นต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ตลอดจนควบคุม ดูแลการบริหารงานของคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดแล้ว ในทางปฏิบัติคณะกรรมการประจำจังหวัด ยังได้นำความเห็นหรือความต้องการของคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด และชาวไทยมุสลิมเสนอต่อทางราชการ เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่อไป
สำหรับการจัดสัมมนาคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดในครั้งนี้ เพื่อพิจารณาวันดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดถือศีลอดประจำปี ให้ผู้ศาสนาอิสลามรับทราบนโยบาย และการปฏิบัติงานของรัฐบาลในการสนับสนุนช่วยเหลือชาวไทยมุสลิม เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รับทราบปัญหา ความต้องการ และข้อเสนอแนะในปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตลอดจนเสริมสร้างความเข้าใจอันดี และการมีส่วนร่วมระหว่างทางราชการกับชาวไทยมุสลิมด้วย นายมงคลกล่าว

พื้นที่ต.กะทู้พบผู้ป่วยเป็นไข้เลือดออกแล้ว 4 ราย



เมื่อเวลา 09.00 น.ของวันที่ 8 กรกฎาคม 53 ที่บริเวณหน้าสำนักงานเทศบาลเมืองกะทู้ นายชัยอนันท์ สุทธิกุล นายกเทศมนตรีเมืองกะทู้ เป็นประธานเปิดกิจกรรมเดินรณรงค์สำรวจและทำลายแหล่งเพาะพันธ์ลูกน้ำยุงลายเพื่อป้องกันโรคไข้เลือดออก ภายใต้โครงการ เทศบาลเมืองกะทู้แข็งแรง กิจกรรมป้องกันการระบาดของโรคในพื้นที่ ด้วยโดยมีฝ่ายบริหาร สมาชิกสภา ข้าราชการเทศบาลเมืองกะทู้ สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต กลุ่ม อสม.กลุ่มนักเรียน และประชาชนในพื้นที่ เข้าร่วมในพิธี ในโอกาสเดียวกันได้มีการมอบทรายอเบทและปลาหางนกยูงให้แก่ตัวแทนชุมชน และโรงเรียนต่างๆ ในพื้นที่ เพื่อนำไปใส่ในแหล่งน้ำเพาะพันธ์ยุง


ทั้งนี้นายชัยอนันท์ สุทธิกุล นายกเทศมนตรีเมืองกะทู้ ได้กล่าวว่า ตามนโยบายเมืองไทยเข้มแข็ง เป็นแนวคิดเชิงยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลได้กำหนดขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการลดปัจจัยเสี่ยงพฤติกรรมสุขภาพ และลดโรคที่เป็นปัญหาที่สำคัญของประเทศ ดังนั้นการดำเนินงานเมืองไทยแข็งแรงจะบรรลุได้นั้นเริ่มต้นจากระดับชุมชนท้องถิ่นก่อนการดำเนินกิจกรรมต่างๆ การป้องกันและควบคุมโรคในระดับชุมชน เป็นกิจกรรมหนึ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก การป้องกันและควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าในชุมชน โรคไข้หวัดนก โรคไข้หวัด 2009 และโรควัณโรค เป็นต้น ทางกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมเทศบาลเมืองกะทู้ ได้จัดทำโครงการเทศบาลเมืองกะทู้แข็งแรง กิจกรรมป้องกันการระบาดของโรคในพื้นที่ขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดของโรค และเพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองกะทู้

สำหรับกิจกรรมประกอบด้วยการเดินรณรงค์สำรวจและทำลายแหล่งเพาะพันธ์ลูกน้ำยุงลาย เพื่อป้องกันโรคไข้เลือดออก ทั้งนี้เนื่องจากทางกองสาธารณสุขฯ มีนโยบายที่จะกำจัดยุงลายโดยเฉพาะการให้ความรู้เกี่ยวกับการทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายให้แก่กลุ่ม อสม. ซึ่งในเขตพื้นที่เมืองกะทู้ยังมีพื้นที่ป่าค่อนข้างเยอะและเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย จึงจำเป็นที่จะต้องมีการณรงค์ในกลุ่ม อสม.ให้รู้ถึงวิธีการป้องกัน เพื่อสามารถไปให้คำแนะนำแก่พี่น้องประชาชนเกี่ยวกับวิธีการป้องกันและทำลายแหล่งเพาะพันธ์ลูกน้ำยุงลาย ได้อย่างถูกต้อง

ด้านนายสมบูรณ์ อัยรักษ์ รองนายกเทศมนตรีเมืองกะทู้ ได้กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออกว่า ค่อนข้างน่าเป็นห่วง โดยภาพรวมทั้งประเทศก็เพิ่มขึ้นมากกว่าปกติประมาณร้อยละ 60 สำหรับในจังหวัดภูเก็ต ขณะนี้ถ้าคิดเป็นอัตราได้กระจายไปอยู่ในพื้นที่ถลางมากที่สุด แต่ถ้าคิดเป็นจำนวนแล้วในเมืองภูเก็ตยังมากอยู่ แต่ของอำเภอกะทู้ก็ไม่ได้น้อย ซึ่งตอนนี้เริ่มมีผู้ป่วยแล้วประมาณ 4 ราย

“สำหรับมาตรการป้องกันเราดำเนินการควบคุมโดยการสอบสวนโรค แล้วก็รอบบ้านประมาณ 100 เมตรจะมีการฉีดพ่นสารเคมีเพื่อกำจัดยุงลาย และสำหรับกิจกรรมวันนี้ซึ่งเป็นการสร้างจิตสำนึก ความตระหนักให้แก่ประชาชน ส่วนกิจกรรมหลังจากนี้ ทางกลุ่ม อสม.ก็จะเข้าไปให้ความรู้แก่พี่น้องประชาชนทุกชุมชนในการทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ ลูกน้ำยุงลาย พร้อมกับแจกทรายอเบท และปลาหางนกยูงกินยุง และนอกจากนี้ทางกลุ่ม อสม.ยังได้เข้าไปให้ความรู้กับทางโรงเรียนในเรื่องดังกล่าวด้วย”


วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ติวเข้มจนท.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2553 ที่โรงแรมรอยัล พาราไดส์ แอนด์สปา อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมพนักงาน เจ้าหน้าที่ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับจังหวัดใน 14 จังหวัดภาคใต้ เพื่อชี้แจงอนุบัญญัติหรือกฎหมายลูกที่ออกมาใหม่ตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2551 เป็นต้นมา จำนวน 4 ฉบับ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ใช้ดำเนินการควบคุมดูแลในพื้นที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย ในโอกาสเดียวกันนี้ได้มีการมอบป้ายประชาสัมพันธ์สถานที่ราชการปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด และมอบป้ายสวนสาธารณะปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่นายกเทศมนตรีทุกจังหวัดด้วย

ดร.พรรณสิริ กล่าวว่า อนุบัญญัติใหม่ 4 ฉบับตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ได้แก่ 1.กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการแสดงภาพลักษณ์เพื่อประกอบการโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีผลใช้บังคับวันที่ 1 เมษายน 2553 2.ประกาศคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ว่าด้วยรูปแบบและวิธีการแสดงข้อความคำเตือนประกอบภาพสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือภาพลักษณ์ของบริษัทผู้ผลิตเครื่องแอลกอฮอล์มีผลบังคับใช้วันที่ 28 พฤษภาคม 2553 3.ระเบียบคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ว่าด้วย หลักเกณฑ์การเปรียบเทียบอัตราค่าปรับผู้กระทำผิดกฎหมาย มีผลใช้บังคับวันที่ 15 มิถุนายน 2553 และ 4.คำสั่งคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เรื่องการมอบหมายให้ดำเนินการเปรียบเทียบอัตราค่าปรับ มีผลแต่งตั้งวันที่ 22 พฤษภาคม 2553 ดังนั้นนับจากนี้เป็นต้นไปเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกจังหวัดที่เกี่ยวข้อง คือ สาธารณสุข สรรพสามิต องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถดำเนินการควบคุมผู้ประกอบการให้ปฏิบัติตามกฎหมาย หากพบมีการฝ่าฝืนสามารถลงโทษได้ตามกฎหมายได้ทันที เพื่อเป็นการป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อการโฆษณาเหล้า

ทั้งนี้ผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เมื่อปี 2550 ในกลุ่มประชาชนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปซึ่งมีจำนวน 51.2 ล้านคน พบว่า เป็นผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 14.9 ล้านคน เป็นชาย 12.6 ล้านคน และหญิง 2.3 ล้านคน ในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี พบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 6 แสนกว่าคน หรือประมาณร้อยละ 13 ของผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด โดยจังหวัดที่มีความชุกของเยาวชนดื่มสูงสุด 10 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ จ.มุกดาหาร มีนักดื่มร้อยละ 34.2 หรือเกือบ 1 ใน 3 ของกลุ่มวัยรุ่น รองลงมา จ. เชียงรายร้อยละ 28 เลย ร้อยละ 25.3 จ. อำนาจเจริญ ร้อยละ 25.1 จ.หนองบัวลำภู ร้อยละ 24.2 จ.กำแพงเพชร ร้อยละ 24 จ.แพร่ ร้อยละ 23.4 จ.พะเยา ร้อยละ 23.1 จ.พิษณุโลก ร้อยละ 22.6 และ จ.ยโสธร ร้อยละ 22.2

ขณะที่นายแพทย์สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่ม กล่าวว่า ผลการดำเนินงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของภาคใต้ ในระหว่างเดือนสิงหาคม 2552 – มิถุนายน 2553 ศูนย์ร้องเรียนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หมายเลข 02-590-3342 ได้รับแจ้งจากประชาชน 12 ราย ประกอบด้วยจำหน่ายและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในสถานที่ห้ามขาย ห้ามดื่ม ได้แก่ วัด สถานที่ราชการ โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางป้ายไฟ ป้ายไวนิล และโปรโมชั่น นอกจากนี้ยังได้มีการออกตรวจเตือนสถานประกอบการร้านค้าจำนวน 292 ราย อยู่ระหว่างดำเนินคดี จำนวน 28 ราย



พิจารณาวันดูดวงจันทร์ถือศีลอดประจำปี


เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2553 ที่โรงแรมรอยัล พาราไดส์ แอนด์สปา อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดการสัมมนาคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทั่วราชอาณาจักร ประจำปี 2553 ซึ่งกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จัดขึ้น โดยมีนายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี นายมงคล สุระสัจจะ อธิบดีกรมการปกครอง นายไชยวัฒน์ เทพี ปลัดจังหวัดภูเก็ต ผู้แทนจุฬาราชมนตรี ผู้แทนคณะกรรมการกลางอิสลามประจำประเทศไทย และผู้แทนคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทั่วประเทศจาก 39 จังหวัด จำนวน 90 คน และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม โดยกำหนดจัดในระหว่างวันที่ 7-10 กรกฎาคม 2553 พร้อมกันนี้ยังได้มีการทัศนศึกษาดูงาน เยี่ยมชมกิจกรรมปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและวิถีชีวิตชาวไทยมุสลิม ชุมชนบ้านบางโรงด้วย

นายมงคล สุระสัจจะ อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวว่า พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 กำหนดให้มีองค์กรบริหารกิจการศาสนาอิสลาม 3 ระดับ ได้แก่ คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย(จุฬาราชมนตรีเป็นประธาน) คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด และคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ซึ่งในส่วนของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด นอกจากจะมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษา และเสนอความเห็นต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ตลอดจนควบคุม ดูแลการบริหารงานของคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดแล้ว ในทางปฏิบัติคณะกรรมการประจำจังหวัด ยังได้นำความเห็นหรือความต้องการของคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด และชาวไทยมุสลิมเสนอต่อทางราชการ เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่อไป

สำหรับการจัดสัมมนาคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดในครั้งนี้ เพื่อพิจารณาวันดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดถือศีลอดประจำปี ให้ผู้ศาสนาอิสลามรับทราบนโยบาย และการปฏิบัติงานของรัฐบาลในการสนับสนุนช่วยเหลือชาวไทยมุสลิม เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รับทราบปัญหา ความต้องการ และข้อเสนอแนะในปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตลอดจนเสริมสร้างความเข้าใจอันดี และการมีส่วนร่วมระหว่างทางราชการกับชาวไทยมุสลิมด้วย นายมงคลกล่าว




เตรียมขยายสวมหมวกกันน๊อค 100%


เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2553 ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมคณะ ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมและติดตามความคืบหน้าการดำเนินโครงการรณรงค์สวมหมวกนิรภัยในเขตเทศบาลนครภูเก็ต 100% ของสถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต โดยมีนายธีรยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายศุภชัย โภชนุกุล นายอำเภอเมืองภูเก็ต พ.ต.อ.โกมล วัตรากรณ์ รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต กก.ตร.สภ.เมืองภูเก็ต คณะผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทประจำ สภ.เมืองภูเก็ต ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับพร้อมบรรยายสรุปผลการดำเนินงาน และนำเยี่ยมชมห้องฉายภาพยนตร์อุบัติเหตุ บริเวณห้องประชุมชั้น 4 สภ.เมืองภูเก็ต ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อนำผู้ขับขี่และซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ไม่สวมใส่นิรภัยและสวมไม่ถูกต้อง เข้าชมพร้อมอบรมให้ความรู้แทนการจ่ายค่าปรับ หลังจากมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม เป็นต้นมา เพื่อยกระดับความปลอดภัยในชีวิตให้สูงขึ้น และลดระดับความสูญเสียจากอุบัติเหตุจราจรให้น้อยลง ตลอดจนมีจิตสำนึกและตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตเพิ่มมากขึ้น

นายถาวร กล่าวภายหลังการเยี่ยมชมและพบปะกับผู้ขับขี่และซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ซึ่งไม่สวมหมวกนิรภัย ว่า จากที่ได้สังเกตในเชิงประจักษ์การสวมใส่หมวกนิรภัยของผู้ที่ขับขี่และซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ตั้งแต่สนามบินภูเก็ตมาจนถึงตัวเมืองภูเก็ตปรากฏว่ามีประชาชนเกินกว่า 95% มีการสวมหมวกนิรภัย ซึ่งมีจำนวนน้อยมากที่ไม่สวมหมวกนิรภัย ซึ่งนับว่าการจัดทำโครงการรณรงค์สวมหมวกนิรภัย 100% ทำให้ประชาชนเกิดความตื่นตัวและเกิดความปลอดภัยเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้ประหยัดงบประมาณของภาครัฐเกี่ยวกับการดูและรักษาพยาบาลผู้ป่วยและผู้พิการ

“จากความสำเร็จดังกล่าวจึงอยากให้สถานีตำรวจภูธรอื่นๆ ได้นำโครงการดังกล่าวไปบังคับใช้ด้วยการรณรงค์ให้เกิดความจริงจัง รวมทั้งจะขยายไปยังจังหวัดอื่นๆ ใน 14 จังหวัดภาคใต้ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบเกี่ยวกับการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยใช้โครงการของ สภ.เมืองภูเก็ต เป็นต้นแบบและขยายความคิดทั้งในส่วนของตำรวจ ฝ่ายปกครอง และภาคประชาชน เพราะการรณรงค์ลดอุบัติเหตุและการสูญเสียจากการจราจรนั้นไม่ควรจะเน้นเฉพาะในช่วงเทศกาล แต่ควรที่จะดำเนินการต่อเนื่องตลอดทั้งปี”

นายถาวร กล่าวด้วยว่า การที่จัดให้มีการชมภาพยนตร์อุบัติเหตุนั้นนับเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นการสร้างจิตสำนึกให้เกิดขึ้นกับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายได้มากกว่า เพราะบางคนอาจจะคิดว่าจ่ายค่าปรับแล้วจบกันไป และเมื่อเกิดจิตสำนึกแล้วก็จะช่วยให้ลดการเกิดอุบัติและความสูญเสียลงได้ ต้องขอบคุณทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เสียสละ เนื่องจากในการจับกุมผู้ไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.จราจร ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้มีเงินค่าปรับถึง 35%


ปกครองติวเข้มคณะกรรมการหมู่บ้าน


เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2553 ที่ห้องประชุมโรงเรียนนักปกครองท้องที่ประจำจังหวัดภูเก็ต อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมเพิ่มศักยภาพคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) รุ่นที่ 1/2553 ซึ่งทางสำนักงานปกครองจังหวัดภูเก็ต จัดขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากทางจังหวัดภูเก็ต โดยมีคณะกรรมการหมู่บ้านเข้าร่วม จำนวน 120 คน

ทั้งนี้การฝึกอบรมเพิ่มศักยภาพคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) ประจำปีงบประมาณ 2553 ของจังหวัดภูเก็ต ได้รับงบประมาณจากจังหวัดภูเก็ตให้ดำเนินการฝึกอบรมคณะกรรมการหมู่บ้านกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 84 หมู่บ้าน ๆ ละ 10 คน รวมทั้งสิ้น 840 คน แบ่งการฝึกอบรมเป็น 7 รุ่น ๆ ละ 120 คน ฝึกอบรมรุ่นละ 2 วัน มีทั้งภาคทฤษฎีและการปฏิบัติจริง

ว่าที่ ร.ต.วิกรม จากที่ จ่าจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการจัดฝึกอบรม กม.หมู่บ้านนั้น เพื่อ พัฒนาศักยภาพคณะกรรมการหมู่บ้านให้เป็นกลไกสำคัญในการบูรณาการเพื่อขับเคลื่อน การดำเนินงานของทุกภาคส่วนในระดับหมู่บ้านให้มีประสิทธิภาพ ให้เป็นองค์กรหลักในการนำนโยบายของรัฐบาล กระทรวง กรมและจังหวัดไปปฏิบัติในพื้นที่หมู่บ้าน ให้ทราบถึงขอบเขตอำนาจหน้าที่ ภารกิจ ของตนเอง พัฒนาให้มีขีดความสามารถในการรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของหมู่บ้าน ตลอดจนเพื่อให้เป็นแกนนำในการสร้างความรักความสามัคคีของคนในหมู่บ้าน สร้างความสำนึกในความเป็นชนชาติไทยที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมใจ

ทางด้านนายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า หมู่บ้านเป็นองค์กรบริหารในระดับรากหญ้ามีความใกล้ชิดกับประชาชน ซึ่งตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่(ฉบับที่ 11) พ.ศ.2551 นอกจากจะกำหนดอำนาจหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในการบริหารงานบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับราษฎรในหมู่บ้านแล้ว ยังได้กำหนดให้มีคณะกรรมการหมู่บ้าน ซึ่งมีบทบาท อำนาจ หน้าที่ ให้ความช่วยเหลือ แนะนำ ให้คำปรึกษาแก่ผู้ใหญ่บ้าน เป็นองค์กรหลักที่รับผิดชอบในการบูรณาการจัดทำแผนพัฒนาหมู่บ้านและบริหารจัดการกิจกรรมที่ดำเนินงานในหมู่บ้านร่วมกับองค์กรอื่นทุกภาคส่วน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าคณะกรรมการหมู่บ้าน มีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาหมู่บ้านให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน นอกจากนี้ยังอยากเห็นคณะกรรมการหมู่บ้านเป็นสะพานลำเลียงนโยบายของรัฐบาล นโยบายของทุกกระทรวง ทบวง กรม ลงสู่พื้นที่ และอยากให้เป็นสะพานที่ชัดเจนมั่นคง และเป็นสะพานที่ทุกคนนิยมใช้ด้วย



ฝึกซ้อมแผนรับมือโรคไข้หวัดใหญ่


เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 7 กรกฎาคม 2553 ที่โรงแรมรอยัลภูเก็ตซิตี้ อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายแพทย์วิวัฒน์ ศีตมโนชญ์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อทดสอบคู่มือการฝึกซ้อมแผนชนิดบนโต๊ะ สำหรับการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ ประจำปี 2553 ซึ่งทางกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ตจัดขึ้น เพื่อให้หน่วยงานทุกภาคส่วนในจังหวัด ได้ฝึกซ้อมตามกระบวนการการฝึกซ้อมชนิดบนโต๊ะ มีการตอบสนองต่อสถานการณ์สมมติตามเวลาที่กำหนดไว้ โดยให้สอดคล้องตามแผนปฏิบัติงานและวิธีการปฏิบัติของจังหวัด โดยมีหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน ภาคประชาชน สื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วประเทศเข้าร่วมสังเกตการณ์ จำนวนประมาณ 300 คน

นายแพทย์วิวัฒน์ กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอเอช 1เอ็น1 รวมทั้งโรคไข้หวัดนก และโรคติดต่ออุบัติใหม่ระหว่างสัตว์มาสู่คน ยังคงพบมีการระบาดอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย จึงมีสัญญาณความเสี่ยงของการกลายพันธ์ที่จะก่อให้เกิดการระบาดใหญ่ในคน จนมีผู้ป่วยและเสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งทุกจังหวัดจะต้องมีการเตรียมความพร้อมแบบบูรณาการร่วมกันทุกภาคส่วน และมีการฝึกซ้อมแผนชนิดบนโต๊ะ รวมทั้งนำประสบการณ์จากการฝึกซ้อมแผนมาปรับปรุง เพื่อพัฒนาคู่มือและกระบวนการฝึกซ้อมแผนให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

“การเลือกจังหวัดภูเก็ตเป็นสถานที่ในการทดสอบคู่มือฯ ดังกล่าวเนื่องจากเป็นจังหวัดแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ มีสนามบินระหว่างประเทศ ด่านท่าเรือ และแรงงานต่างด้าวเป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานทุกภาคส่วนได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีความเหมาะสมในการทดสอบคู่มือการซ้อมแผน ประกอบกับในส่วนของจังหวัดภูเก็ตได้มีการกำหนดแผนการปฏิบัติงานในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคต่างๆ ทั้งทางด้านบุคคลากร อุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ และเป็นจังหวัดแรกของประเทศไทยที่มีเตียงสนามสำหรับรับมือกรณีมีอุบัติภัยขนาดใหญ่ต่างๆเกิดขึ้น”

นายแพทย์วิวัฒน์ กล่าวด้วยว่า นอกจากจะมีการซ้อมแผนแล้วยังมีการนำประสบการณ์จากการฝึกซ้อมแผนมาปรับปรุงเพื่อพัฒนาคู่มือและกระบวนการการฝึกซ้อมให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้การรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคต่างๆ ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและสมบูรณ์แบบ สามารถควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้อย่างแน่นอนและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งทำให้ทุกจังหวัดทั่วประเทศใช้เป็นแนวทางการเตรียมความพร้อมในการรับภัยสาธารณสุขฉุกเฉินจากโรคระบาดร้ายแรง หรือเป็นตัวอย่างการรับมือต่อภัยพิบัติอื่นๆ ของประเทศในอนาคตต่อไป

สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ตั้งแต่เดือนมกราคม-เดือนมิถุนายน 2553 พบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่จำนวน 199 ราย โดยแนวโน้มผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ในจังหวัดภูเก็ตมีสูงขึ้นตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ ซึ่งกลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุดคือระหว่าง 25-34 ปี ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับจ้าง นายแพทย์วิวัฒน์ กล่าว



วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

รัฐบาลจีนจัดงบทำแพทย์แผนไทย – จีน


เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 53 นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยคณะ ตรวจเยี่ยมสถานีอนามัยตำบลกมลา ต.กะทู้ จ.ภูเก็ต เพื่อติดตามความพร้อมการยกระดับสถานีอนามัยเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และโครงการศูนย์การแพทย์ไทย-จีน ซึ่งรัฐบาลจีนเสนอให้ความช่วยเหลืองบประมาณการก่อสร้าง และมีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างรัฐบาลจีนกับรัฐบาลไทยในการออกแบบก่อสร้างเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีนางนิทรา พลายละหาร นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ หัวหน้าสถานีอนามัยตำบลกมลา (ศูนย์สุขภาพชุมชน ต.กมลา) นายจรูญ กอบโกย ประธานสภา อบต.กมลา นายสันติ สาริยา กำนันตำบลกมลา เจ้าหน้าที่สถานีอนามัย และอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ตำบลกมลา ให้การต้อนรับ

นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สถานีอนามัยตำบลกมลาได้รับการส่งเสริมให้เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในรอบปีงบประมาณ 2553 ด้วยความสำคัญตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งทางรัฐบาลจีนได้เสนอให้ความร่วมมือสนับสนุนงบประมาณ จำนวน 30 ล้านบาท ในการดำเนินโครงการศูนย์การแพทย์ไทย-จีน รวมทั้งการยกระดับเพื่อพัฒนาสถานีอนามัยฯ ให้มีคุณภาพและรองรับการบริการสุขภาพ การส่งเสริมป้องกันโรคต่างๆ ในระบบของสถานีอนามัย ซึ่งขณะนี้ได้มีการเตรียมสถานที่และได้มีการลงนามความร่วมมือในการออกแบบก่อสร้าง ระหว่างตัวแทนของรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีนเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะสามารถก่อสร้างได้ในเร็วๆ นี้ โดยจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี

“เป้าหมายการพัฒนาจะอยู่ในรูปแบบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ซึ่งจะให้บริการทั้งในส่วนของการส่งเสริมสุขภาพอนามัยและการดูแลรักษาโรค ซึ่งจะมีการยกระดับที่สอดคล้องกัน โดยจะมีหัวหน้าสถานีอนามัยเป็นผู้อำนวยการฯ ส่วนของแพทย์และผู้ให้การดูแลรักษาจะเป็นลักษณะของเครือข่ายกับโรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลในละแวกใกล้เคียง และยังจะส่งแพทย์แผนไทยเข้ามาร่วม นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเข้ามาดูแลส่งเสริมและป้องกันโรค รวมถึงอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องในการดูแลรักษาสุขภาพของคนในพื้นที่”

นางพรรณสิริ กล่าวด้วยว่า เนื่องจากตำบลกมลาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดภูเก็ต จึงจะต้องมีแนวทางในการบริหารจัดการพิเศษ เช่น ทันตภิบาล การรักษาโรคเฉพาะทาง หน่วยเคลื่อนที่เร็วในเรื่องของระบบส่งต่อหรือการบริหารจัดการที่เอื้ออำนวยมากยิ่งขึ้น เป็นต้น นอกจากนี้ยังจะเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในรูปแบบของ 3 S ได้แก่ Structure ได้แก่ โครงสร้างทั่วไปซึ่งมีภูมิทัศน์ที่เป็นธรรมชาติ เช่น จุดตรวจ จุดคัดกรองโรค ห้องน้ำ เป็นต้น Service ได้แก่ การให้บริการทางการแพทย์และพยาบาลที่เชื่อมโยงมาจากโรงพยาบาลอื่นๆ และ Satisfy ได้แก่ การบริการเชิงต้อนรับ ซึ่งจะต้องให้ความอบอุ่นสำหรับผู้ป่วยหรือญาติ เช่น จุดต้อนรับ จุดให้ความรู้เพิ่มเติม เป็นต้น ทั้งนี้จะเน้นในเรื่องของแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก ตามโครงการความร่วมมือไทย-จีน ซึ่งจะเน้นเป็นกรณีพิเศษโดยจะมีการพัฒนาทั้งเรื่องของหมอพื้นบ้านและแพทย์แผนไทย-จีน ซึ่งจะจัดส่งให้จังหวัดละ 2 คน โดยในส่วนของสถานีอนามัยกมลาได้จัดส่งมาให้แล้วเป็นพื้นที่นำร่องแห่งแรกของประเทศ ส่วนความร่วมมือที่ทางการจีนให้การสนับสนุนนอกจากงบประมาณนั้นก็จะได้มีการหารือกันต่อไป


ทต.รัษฎา รับงบไทยเข้มแข็ง 26 ล้านบาท แก้ปัญหาน้ำท่วม


นายสุรทิน เลี่ยนอุดม นายกเทศมนตรีตำบลรัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต กล่าวว่า จากปัญหาน้ำท่วมขังในช่วงหน้าฝนซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำ จึงได้มีการจัดทำแผนงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อแก้ปัญหาเบื้องต้นได้สั่งการให้กองช่างฯ ทำการสำรวจคูคลองระบายน้ำในเขตพื้นที่เทศบาลตำบลรัษฎาทั้งหมด หากพบว่าลำรางสาธารณะจุดใดตื้นเขินก็ให้นำเครื่องจักรกลเข้าไปทำการขุดลอกคลองเพื่อให้ทางน้ำไหลได้อย่างสะดวก ส่วนระยะยาวได้วางแผนในการจัดวางท่อระบายน้ำและขุดลอกลำรางสาธารณะ เพื่อให้น้ำไหลได้สะดวก โดยได้รับงบประมาณจากรัฐบาล ในโครงการแผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็งปี 2555 จำนวน 12 ล้านบาทเศษ ซึ่งกำหนดดำเนินการวางท่อระบายน้ำบริเวณถนนบายพาสหมู่ 5 ไปลงยังขุมน้ำพะเนียงของเทศบาลฯ เพื่อแก้ไขปัญหาไม่ให้น้ำไหลลงมายังบริเวณหมู่บ้านอิรวดีมากนัก เนื่องจากปัจจุบันเมื่อมีฝนตกลงมามากๆ น้ำจะท่วมขังเป็นเวลานาน สร้างความเสียหายและความเดือดร้อนให้กับประชาชนบริเวณดังกล่าวเป็นอย่างมาก ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างและเชื่อจะสามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมขังในอนาคตได้อย่างยั่งยืน

“สำหรับพื้นที่ที่ได้ดำเนินการมาแล้วก่อนหน้านี้ ได้แก่ บริเวณถนนเทพกระษัตรี บริเวณซุปเปอร์ชีป โดยได้วางท่อระบายน้ำไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมขังในช่วงที่มีฝนตกหนักได้เป็นที่น่าพอใจ รวมถึงบริเวณหน้าบริษัทหนึ่งยานยนต์ ถนนเทพกระษัตรี ซึ่งเมื่อฝนตกหนักจะมีน้ำไหลมาจากเชิงเขาโต๊ะแซะ ทำให้น้ำท่วมขังเป็นจำนวนมาก ก็ได้มีการวางท่อพาดผ่านถนนเพื่อให้น้ำไหลไปลงยังคลองบางใหญ่ และปัจจุบันปัญหาดังกล่าวก็ลดน้อยลง ขณะที่ปัยหาดินสไลด์ดินถล่มนั้นก็ได้มีการออกแผนในการปฏิบัติเฝ้าระวังจุกเสี่ยงต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะในช่วงที่มีฝนตกหนัก โดยที่ต้องระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ บริเวณบ้านเกาะสิเหร่ กับ บริเวณถนนบายพาส”

อย่างไรก็ตามนายสุรทิน กล่าวด้วยว่า นอกจากงบในการแก้ปัญหาน้ำท่วมขังแล้ว เทศบาลตำบลรัษฎา ยังได้รับงบในแผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็งปี 2555 ในการปรับปรุงภูมิทัศน์ 2 ข้างทางตั้งแต่บริเวณหัวสะพานเกาะสิเหร่ไปจนถึงจุดชมลิงเกาะสิเหร่ จำนวน 14 ล้านบาทเศษ ทำการปรับขยายไหล่ทางให้กว้างขึ้น ปรับทางเท้าให้มีความสวยงาม รวมถึงการปลูกต้นไม้ จัดวางที่นั่งเพื่อให้ประชาชนได้พักผ่อนและติดตั้งไฟแสงสว่าง และในอนาคต จะได้ของบจากรัฐบาลเพิ่มเติมให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการคืนความสวยงามให้กับเกาะสิเหร่และจะเป็นจุดท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในอนาคต นอกจากนี้ยังมีโครงการถนนไร้ฝุ่นอีกจำนวน 2 โครงการ โครงการละไม่เกิน 6 ล้านบาท ประกอบด้วย การปรับปรุงก่อสร้างถนนสายเข้าหมู่บ้านบางชีเหล้าและชุมชนหาดแสนสุข

รวบลูกเมียเก่าใช้มีดแทงอดีตสามีแม่


เมื่อเวลา 14.00 น.ของวันที่ 6 กรกฎาคม 53 ที่ห้องประชุมชั้น 2 สภ.เมือง ภูเก็ต พ.ต.อ.โกมล วัตรากรณ์ รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พร้อมด้วยพ.ต.อ.พรศักดิ์ นวนหนู, พ.ต.อ.พีรยุทธ การะเจดีย์ รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ตและเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุม นายจตุภูมิ โชคทวีกิจทรัพย์ อายุ 18 ปี ที่อยู่ 45/3 ถนนปฏิพัทธิ์ ตำบลตลาดเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดภูเก็ตที่ จ.435/2553 ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2553 ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, ร่วมกันพกพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่ร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ หน้าโรงพยาบาลพญาไท ถนนอนุภาษภูเก็ตการ ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

ทั้งนี้พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต ได้กล่าวว่า เมื่อเวลา 22.40 น.ของวันที่ 4 กรกฎาคม 53 พ.ต.ท.พีระพันธ์ มีมาก สารวัตรเวร ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุสภ.เมือง ภูเก็ต ว่ามีเหตุแทงกันที่บริเวณถนนเจ้าฟ้าตะวันออกเยื้องกับร้านชุมพรคาราโอเกะ หมู่ 3 ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต โดยผู้บาดเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต และถึงความตายในเวลาต่อมา ทราบชื่อผู้ตายคือ นายสุรศักดิ์ วินิจนันทรัตน์ อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 14 ม.1 ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต มีอาชีพเปิดร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ไม่มีชื่อ ตั้งอยู่เยื้องซอยศาลเจ้าตาเอียด ถนนเจ้าฟ้าตะวันออก ต.ฉลอง ถูกแทงด้วยของมีคมเข้าที่บริเวณเหนือราวนม 1 แผล ใต้ราวนมตัด ขั้วหัวใจ 1 แผล ชายโครงซ้าย 1 แผล

และจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ทราบว่านายสุรศักดิ์ ได้มานั่งดื่มเบียร์ที่ร้านคาราโอเกะชื่อชุมพร อยู่เพียงลำพัง ซึ่งเป็นร้านที่มานั่งอยู่เป็นประจำ โดยผู้ตายเป็นคนมือหนัก ใจดีชอบแจกทิป เป็นที่รู้จักกันดีของพนักงานเสิร์ฟ จนเด็กเสิร์ฟเรียกชื่อว่า ป๋าศักดิ์ จากนั้นก็มีชาย 2 คน เป็นวัยรุ่น 1 คน ลักษณะเด่นคือขาเป๋ และชายวัยกลางคน ขับรถจักรยานยนต์มาจอดที่หน้าร้านคาราโอเกะ ที่ผู้ตายนั่งดื่มอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นทั้ง 2 คน ก็ได้เดินเข้าไปภายในร้านและสั่งดื่มเบียร์ดื่มอยู่ใกล้กับโต๊ะของผู้ตาย ในระหว่างนั้นทั้ง 2 โต๊ะ ก็ได้เกิดการเขม่นกัน เรื่องเกี่ยวกับการร้องเพลงที่อวดพลังเสียงให้สาวเสิร์ฟฟัง และได้มีการพูดจาเขม่นกัน โดยผู้ตายได้เช็คบิลออกจากร้านก่อน เพื่อที่จะเข้าไปต่ออีกร้าน จากนั้นชายทั้ง 2 คน ก็ได้ออกตามมาแล้วใช้มีดแทงนายสุรศักดิ์ได้รับบาดเจ็บจนกระทั่งเจ้าหน้าที่มูลนิธิภูเก็ตร่วมใจกู้ภัยนำร่างส่งรพ.วชิระ แต่นายสุรศักดิ์ ทนพิษบาลแผลไม่ไหว เสียชีวิตในขณะนำส่งรพ.

จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ออกสืบสวนติดตามคนร้ายและรวบรวมพยานหลักฐานเรื่อยมา จนกระทั่งมีพยานหลักฐานน่าเชื่อว่า นายจตุภูมิ หรือเกอร์ โชคทวีกิจทรัพย์ และนายเกรียงไกร โชคทวีกิจทรัพย์ เป็นผู้ร่วมกันใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย พนักงานสอบสวนจึงได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งสอง และศาลอนุมัติตามหมายจับที่ จ.435/2553 และ 436/2553 ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2553 ตามลำดับ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหมายจับเข้าทำการจับกุมตัวนายจตุภูมิ โชคทวีกิจทรัพย์ ได้และนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ส่วนนายเกรียงไกร ฯ จะได้สืบสวนติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีต่อไป


สภ.เมืองภูเก็ตจัดฉายภาพยนตร์อุบัติเหตุแทนค่าปรับ





เมื่อเวลา 10.00 น. ของวันที่ 6 กรกฎาคม 2553 ที่ห้องประชุมชั้น 4 สภ.เมืองภูเก็ต นายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานในฉายภาพยนตร์เกี่ยวกับอุบัติเหตุในรอบปฐมฤกษ์ และการบรรยายเกี่ยวกับการขับขี่ปลอดภัย ตามโครงการรณรงค์สวมหมวกนิรภัยในเขตเทศบาลนครภูเก็ต 100% ของสถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต เพื่อเป็นการว่ากล่าวตักเตือนพี่น้องประชาชน นักเรียน นักศึกษาผู้ขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์ที่ได้ฝ่าฝืนกฎหมาย ทั้งขับขี่ และซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์โดยไม่สวมหมวกนิรภัยหรือสวมไม่ถูกต้อง นับตั้งแต่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม เป็นต้นมา ซึ่ง สภ.เมืองภูเก็ตได้จับกุมและนัดหมายให้ผู้ที่ถูกจับกุมเข้าฟังการบรรยายเกี่ยวกับการขับขี่ปลอดภัย และชมภาพยนตร์อุบัติเหตุ แทนการจ่ายค่าปรับ รวมทั้งสิ้น 395 คน

ทั้งนี้พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต กล่าวว่า ตามที่ สภ.เมืองภูเก็ต ได้มีโครงการรณรงค์สวมหมวกนิรภัย ในเขตเทศบาลนครภูเก็ต 100% ขึ้น เพื่อยกระดับความปลอดภัยในชีวิตให้สูงขึ้น และลดระดับความสูญเสียจากอุบัติเหตุจราจรให้น้อยลง ปรากฏว่าขณะนี้ประชาชนทั่วไป ตลอดจนนักเรียน นักศึกษาในเขตเทศบาลนครภูเก็ต ได้สวมหมวกนิรภัยเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วในขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ นับว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีที่ประชาชนได้มีจิตสำนึกและตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามยังคงมีนักเรียน นักศึกษาบางคนและประชาชนบางส่วนที่ยังคงฝ่าฝืนกฎหมายอยู่ ซึ่งทางสถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ตจะได้กวดขันจับกุมดำเนินคดีต่อไป ทั้งนี้เพื่อยกระดับความปลอดภัยในชีวิตให้สูงขึ้นและลดระดับความสูญเสียจากอุบัติเหตุจราจรให้น้อยลง

อนึ่งมาตรการบังคับใช้กฎหมายตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2553 เป็นต้นไป ซึ่งในระยะเริ่มต้น ดำเนินการกรณีผู้ขับขี่คนเดียวจะลงโทษปรับไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของอัตราโทษสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด และกรณีผู้ขับขี่ที่ยินยอมให้ผู้โดยสารหรือผู้ซ้อนท้ายไม่สวมหมวกนิรภัยมาด้วย นอกจากจะถูกลงโทษปรับตามกฎหมายแล้ว ยังจะต้องถูกว่ากล่าวตักเตือน โดยเข้ารับฟังการบรรยายเกี่ยวกับการขับขี่ปลอดภัยและชมภาพยนตร์อุบัติเหตุอีก 1 ชั่วโมง ส่วนผู้โดยสารหรือผู้ซ้อนท้ายไม่ได้สวมหมวกนิรภัย จะต้องถูกว่ากล่าวตักเตือนโดยให้เข้ารับฟังการบรรยายเกี่ยวกับการขับขี่ปลอดภัยและชมภาพยนตร์อุบัติเหตุอีก 1 ชั่วโมง เช่นกัน หากมีการกระทำผิดซ้ำอีกก็จะถูกเพิ่มโทษสูงขึ้นตามลำดับ พ.ต.อ.วันไชย

พ.ต.อ.วันไชย กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้สำหรับผู้ที่ไม่ยอมเข้ารับฟังคำบรรยายและชมภาพยนตร์ตามกำหนดนัด หรือผิดนัดไม่มาเข้ารับฟังคำบรรยายและชมภาพยนตร์ตามกำหนด โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรก็จะถูกปรับในอัตราโทษสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด และในระยะต่อไปทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารหรือผู้ซ้อนท้ายที่กระทำผิดจะต้องถูกลงโทษตามกฎหมายในอัตราสูงสุด

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า จากการสอบถามผู้ที่เข้ารับการอบรมส่วนใหญ่บอกว่าทราบว่ามีการรณรงค์ดังกล่าว และหากเกิดอุบัติเหตุจะเป็นอย่างไร แต่เนื่องจากว่ามีความรู้สึกไม่สะดวกในการเดินทาง โดยเฉพาะกรณีที่มีผู้ซ้อน 2 – 3 คน และบางครั้งก็เชื่อว่าจะไม่เจอเจ้าหน้าที่ตำรวจ


วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทุ่มงบ 300 ล.ต่อพื้นที่สันเขื่อนบางวาด


นายอิสระ อนุกูล ผู้ช่วยผู้อำนวยการโครงการชลประทานภูเก็ต เปิดเผยว่า ในปี 2553 จังหวัดภูเก็ตมีความต้องการน้ำประมาณ 51 ล้านบาศก์เมตร หรือ 145,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน ซึ่งระยะยาวในปี 2570 จะมีความต้องการน้ำเพิ่มเป็นประมาณ 78 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือประมาณ 214,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน ปัจจุบันสถานการณ์น้ำดิบตามแหล่งกักเก็บน้ำต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ต ประกอบด้วยเขื่อนบางวาดและเขื่อนบางเหนียวดำ มีปริมาณน้ำรวมประมาณ 11 ล้านลูกบาศก์เมตร เฉลี่ยร้อยละ 50 ของความจุอ่าง โดยอ่างบางวาดมีปริมาณน้ำ 2.5 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะที่อ่างบางเหนียวดำ มีปริมาณน้ำ 6.5 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยการประปาเทศบาลนครภูเก็ต และการประปาส่วนภูมิภาค มีความต้องการใช้น้ำเดือนละ 1.2 ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำที่มีอยู่ในขณะนี้จึงสามารถใช้ได้ในระยะ 7 เดือน หรือไปจนถึงเดือนมกราคมปี 2554 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเก็บสะสมน้ำให้เต็มอ่างเพื่อให้มีน้ำสำรองเพียงพอช่วงหน้าแล้ง

ส่วนแนวทางการแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำในระยะยาว ชลประทานภูเก็ตมีแผนงานก่อสร้างอ่างเก็บน้ำคลองกะทะ ความจุ 5.7 ล้านลูกบาศก์เมตร ในปี 2553-2555 อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังติดขัด ปัญหากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่ได้อนุญาตให้มีการใช้พื้นที่ป่า เนื้อที่ประมาณ 60 ไร่ นอกจากนี้มีแผนเพิ่มความจุอ่างบางวาด ด้วยการเพิ่มพื้นที่สันเขื่อนอีก 1 เมตร ใช้งบประมาณ 300 ล้านบาท สามารถเพิ่มความจุได้ จาก 7.3 ล้านลูกบาศก์เมตรเป็น 10.6 ล้านลูกบาศก์เมตร

และโครงการสร้างระบบสูบผันน้ำเติมในอ่างบางเหนียวดำ มีแผนก่อสร้างในปี 2554-2555 เพิ่มศักยภาพการจ่ายน้ำประปาจาก 6 ล้าน เป็น 20 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี พร้อมกับวางระบบท่อส่งน้ำไปยังโรงกรองน้ำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอถลาง เพื่อแก้ไขปัญหาแหล่งน้ำดิบไม่เพียงพอ ซึ่งตามแผนงานทั้งสามนี้ สามารถจ่ายน้ำประปาได้รวม 46 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี

ส่วนแผนงานที่ 4 การก่อสร้างระบบท่อประปาสายหลักจากทิศเหนือถึงทิศใต้ของเกาะภูเก็ต ตามแนวทางหลวงเส้นทาง 402 ระยะทาง 50 กิโลเมตร เพื่อรับท่อน้ำจากโรงกรองน้ำที่ตั้งอยู่ตามแหล่งน้ำต่างๆ ส่งเข้าสู่ท่อถนนสายหลัก ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำได้อย่างเพียงพอและทั่วถึง



ค่ายสร้างเกราะกันภัยห่างไกลยาเสพติด

เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2553 ที่อาคารสัมมนาคาร สำนักบริการยุทธศาสตร์และบูรณาการการศึกษาที่ 10 อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดโครงการค่ายสร้างเกราะกันภัยห่างไกลยาเสพติด เพื่อชีวิตและสุขภาพที่ดี ซึ่งทางสำนักงานคุมประพฤติจังหวัดภูเก็ต โดยมีผู้กระทำผิดในคดียาเสพติดและกลุ่มเสี่ยงที่มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ซึ่งศาลพิพากษารอการลงโทษ โดยใช้วิธีคุมประพฤติ เข้าร่วมจำนวนประมาณ 100 คน ใช้ระยะเวลา 5 วัน ระหว่างวันที่ 5-9 กรกฎาคม 2553

นายคงศักดิ์ ปานสะอาด ผู้อำนวยการสำนักงานคุมประพฤติจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า สำนักงานคุมประพฤติ กรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม เป็นหน่วยงานหลักในการบำบัดฟื้นฟูผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด ในระบบบังคับบำบัดตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 และยังมีหน้าที่รับผิดชอบในการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิดในคดียาเสพติด และกลุ่มเสี่ยงที่มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ได้แก่ กลุ่มผู้ถูกคุมความประพฤติ ตามมาตรา 56 ประมวลกฎหมายอาญา ผู้ถูกคุมคามความประพฤติพัก/ลดโทษ ซึ่งไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณหลักในการบำบัดรักษา แต่มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการแก้ไขฟื้นฟู ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ เพื่อจะได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ และสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข

ดังนั้นจึงได้จัดทำโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดภายใต้ชื่อ โครงการค่ายสร้างเกราะกันภัยห่างไกล เพื่อชีวิตและสุขภาพที่ดี ขึ้น เพื่อให้ผู้กระทำความผิดในคดียาเสพติดและกลุ่มเสี่ยงที่ทีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติดเกิดการเรียนรู้ และปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข มีความรู้ความเข้าใจตนเองและผู้อื่น เห็นคุณค่าตนเองและไม่หวนกลับไปเสพซ้ำหรือกระทำผิดซ้ำอีก นายคงศักดิ์ กล่าว

ด้านนายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ในการปฏิบัติงานตามยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดภูเก็ต ประจำปีงบประมาณ 2553 ซึ่งได้กำหนดแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดไว้อย่างต่อเนื่อง จังหวัดภูเก็ตให้ความสำคัญในด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้หมดไปจากจังหวัดภูเก็ต โดยในการจัดการกับปัญหายาเสพติดจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือร่วมใจ ร่วมดำเนินงานอย่างจริงจังในทุกภาคส่วนเพื่อเอาชนะยาเสพติด โดยในปัจจุบันปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดยังคงเป็นปัญหาที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมกันแก้ไขอย่างจริงจังทั้งภาครัฐและเอกชน ในการระวังป้องกันมิให้ยาเสพติดแพร่ระบาด โดยการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ ปลูกฝังให้ความรู้ถึงพิษภัยของยาเสพติด และมีค่านิยม ตลอดจนทัศนคติที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต เข้าใจถึงหน้าที่และความรับผิดชอบทั้งต่อตนเอง ครอบครัว รวมทั้งประเทศชาติ เพื่อทุกคนจะได้เติบโตขึ้นเป็นกำลังสำคัญในการสร้างสรรค์พัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป


อบรมภาษาอังกฤษครูเอกชนภาคใต้


เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2553 ที่ห้อง 6310 อาคารเรียนรวม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ผศ.ดร.เมธี สรรพานิช รองอธิการบดีวิทยาเขตภูเก็ต มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นประธานเปิดอบรมภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารระดับพื้นฐานแก่ครูผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนเอกชน และสำนักงานเขตพื้นที่ภาคใต้ ตามโครงการ Education Hub ของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งทางคณะวิเทศศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และสำนักบริหารงาน คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ร่วมกันจัดขึ้น เป็นเวลา 5 วัน ระหว่างวันที่ 5-9 กรกฎาคมนี้ โดยมีครู/ผู้สอน และบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนเอกชนในเขตพื้นที่การศึกษาภาคใต้เข้าร่วมจำนวนประมาณ 80 คน นอกจากนี้ยังมี น.ส.วิมลพร พันธุมนตรี ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและประธานโครงการ Education Hub ดร.วีรวัฒน์ วรรณศิริ นายกสมาคมโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย น.ส.จิราภรณ์ บุญสุขแก้ว นักวิชาการการศึกษาชำนาญการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ผู้บริหารและคณะกรรมการจัดการ ร่วมเป็นเกียรติ

นายศุภชัย แสงปัญญา คณบดีคณะวิเทศศึกษา กล่าวว่า ด้วยคณะวิเทศศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และสำนักบริหารงาน คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาความรู้และทักษะการใช้ภาษาอังกฤษให้แก่บุคลากรทางการศึกษาซึ่งเป็นการตอบสนองนโยบาย Education Hub ของกระทรวงศึกษาธิการ จึงได้ร่วมกันจัดอบรมการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารระดับพื้นฐาน และระดับ Advance ให้แก่ครู/ผู้สอน และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าและทันต่อกระแสความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ซึ่งสำนักบริหารงาน คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้

“การอบรมดังกล่าว เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ เพื่อการสื่อสาร รวมทั้งวัฒนธรรมและประเพณีต่างประเทศ ให้แก่ครู/ผู้สอน และบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนเอกชน รวมทั้งข้าราชการในสังกัดสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ตลอดจนนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ในการสื่อสาร หรือพัฒนาการเรียนการสอนต่อไป”นายศุภชัย

น.ส.วิมลพร พันธุมนตรี ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและประธานโครงการ Education Hub กล่าวว่า จากนโยบายในการให้สถาบันการศึกษาทุกระดับสามารถที่จะพัฒนาเป็น Education Hub และการอบรมภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารระดับพื้นฐานแก่ครูผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนเอกชน และสำนักงานเขตพื้นที่ภาคใต้ เป็นหนึ่งในหลายกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อรองรับนโยบาย Education Hub โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณในโครงการไทยเข้มแข็ง จำนวน 36 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายในการจัดอบรมบุคลากรทั่วประเทศจำนวน 7,000 คน



“Jungceylon Junior Soccer 2010”


นายประวิช จรรยาสิทธิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทภูเก็ตสแควร์ จำกัด ได้กล่าวถึงการจัดการแข่งขันฟุตบอลสนามเล็กระดับอนุบาล ครั้งที่ 3 “Jungceylon Junior Soccer 2010” ว่า ด้วยศูนย์การค้าจังซีลอน ป่าตอง ภูเก็ต เกาะกระแสฟุตบอลโลกฟีเวอร์ จึงได้จัดการแข่งขันฟุตบอลสนามเล็กระดับอนุบาล ครั้งที่ 3 “Jungceylon Junior Soccer 2010” เพื่อชิงถ้วยรางวัลจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมทุนการศึกษารวมกว่า 60,000 บาท โดยการแข่งขันดังกล่าวจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 9 – 11 กรกฎาคม 2553 ณ โซนเดอะพอร์ท ศูนย์การค้าจังซีลอน ป่าตอง ภูเก็ต เพื่อส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนด้านการกีฬา และการออกกำลังกาย ตลอดจนการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ อีกทั้งยังมุ่งปลูกฝังให้เยาวชนมีน้ำใจเป็นนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย

โดยภายในงานยังมีกิจกรรม เกมชิงรางวัลและไฮไลท์ที่น่าสนใจให้ได้ร่วมสนุกอีกมากมาย อาทิ การแข่งขันเชียร์ลีดเดอร์ระดับอนุบาล, การประกวดภาพวาดระบายสี, การเพ้นท์หน้าลายธงชาติต่างๆ, แข่งขันเตะฟุตบอลชิงดาวซัลโว เป็นต้น จึงขอเชิญชาวภูเก็ตทุกท่านร่วมเชียร์และเป็นกำลังใจให้กับหนูน้อยที่ร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ระหว่างเวลา 11.00 – 18.00 น. ณ โซนเดอะพอร์ท ศูนย์การค้าจังซีลอน ป่าตอง ภูเก็ต