จำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

ตัวอ่อนปูชายฝั่งลอยติดหาดกะรนภูเก็ต


เมื่อวันที่ 23 เมษายน 54 นายวรรณเกียรติ ทับทิมแสง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน กล่าวถึง การตรวจสอบสัตว์ทะเลขนาดเล็กลักษณะคล้ายกุ้งมังกรที่ถูกคลื่นซัดเข้ามาติดอยู่บริเวณชายหาดกะรน ต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต จำนวนมากตลอดแนวชายหาด เมื่อคืนที่ผ่านมา ว่า ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่จากสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน รวมทั้งเจ้าหน้าที่จากศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 5 จ.ภูเก็ต ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว พบว่าสัตว์ทะเลดังกล่าวเป็นตัวอ่อนของปูชายฝั่ง อายุประมาณ 20-30 วัน ขนาดเท่าหัวไม้ขีดไฟ ซึ่งเป็นระยะที่กำลังลอยอยู่ในทะเลก่อนที่จะลงเกาะพื้นทะเล แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นตัวอ่อนของลูกปูชนิดใด

“ขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนว่าทำไมตัวอ่อนของปูถูกคลื่นซัดเข้าฝั่งมาเป็นจำนวนมาก เท่าที่ตรวจสอบทั้งคุณภาพน้ำ อุณหภูมิน้ำ และแพลงตอนพืช พบว่าปกติทุกอย่าง ซึ่งปูชายฝั่งเป็นปูที่วางไข่ครั้งละจำนวนมากๆ และจะลอยไปตามกระแสน้ำและปกติจะอยู่บริเวณน้ำตื้น ขนาดตัวจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆจึงยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นปูชนิดใด”

นายวรรณเกียรติ กล่าวต่อไปว่า ปกติตัวอ่อนของปูชายฝั่งจะเป็นอาหารของปลา แต่คาดว่าปลาที่กินตัวอ่อนปูเป็นอาหารลดน้อยลง ทำให้ตัวอ่อนของปูมีโอกาสรอดเพิ่มมากขึ้น เชื่อว่าเหตุดังกล่าวน่าจะเป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อสัตว์ที่กินลูกปูเป็นอาหารลดลงก็ทำให้ลูกปูมีโอกาสรอดมากขึ้น

ด้าน น.ส.วราริน วงษ์พานิช นักวิชาการประมงชำนาญการพิเศษ สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน แหลมพันวา อ.เมืองภูเก็ต กล่าวว่า เบื้องต้นหากดูตามลักษณะของสัตว์ทะเลขนาดเล็กดังกล่าวที่พบคาดว่าเป็นปู แต่ยังไม่ทราบว่าเป็นปูอะไร โดยมีลักษณะคล้ายหรือใกล้เคียงกับลูกปูกระดุกมากที่สุด โดยบริเวณชายหาดหรือทะเลในละแวกนี้จะมีปูกระดุกอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยจะนำตัวอย่างกลับไปตรวจสอบในห้องแล็ป 2-3 วัน จึงจะทราบว่าเป็นสัตว์ชนิดใด เนื่องจากมีขนาดเล็กมาก ส่วนที่ลอยมาเกยชายหาดคาดว่าจะมีพ่อหรือแม่พันธุ์อยู่บริเวณดังกล่าวเป็นจำนวนมาก และเมื่อผสมพันธุ์จนเป็นตัวอ่อนก็จะออกสู่ทะเลเป็นจำนวนมาก จึงถูกคลื่นซัดลอยขึ้นมาเกยชายหาด ส่วนสาเหตุที่แน่ชัดยังไม่ทราบ จากการตรวจสอบน้ำทะเลบริเวณชายหาดดังกล่าวปรากฎว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ

ขณะที่นางอรุณศรี กลั่นมา ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 ต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต เปิดเผยว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา(22 เม.ย.) ได้รับแจ้งจากชาวบ้านที่อยู่บริเวณชายหาดกะรนว่ามีสัตว์ทะเลขนาดเล็กลักษณะคล้ายกุ้งมังกรถูกคลื่นซัดมาเกยบริเวณชายหาดเป็นจำนวนมาก จนถึงขณะนี้ชาวบ้านก็ยังคงเฝ้าติดตามอยู่ เพราะคิดว่าเป็นปรากฏการณ์ผิดปกติที่เกิดขึ้น จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้สัตว์ทะเลดังกล่าวเข้าเกยตื้นเป็นจำนวนมาก

คอนเสิร์ต “คนใต้ไม่ทิ้งกัน”


เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2554 ที่เวทีกลางสะพานหิน อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ได้เป็นประธานในพิธีเปิด โครงการมหกรรมคอนเสิร์ตการกุศล “คนใต้ไม่ทิ้งกัน”

สำหรับโครงการมหกรรมคอนเสิร์ตการกุศล “คนใต้ไม่ทิ้งกัน” จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 22 – 24 เมษายน 2554 เวลา 18.00 – 24.00 น. ณ เวทีกลางสะพานหิน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ เนื่องจากเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2554 ได้เกิดภัยพิบัติร้ายแรงกับพี่น้องชาวใต้หลายจังหวัด ทั้งพายุพัดถล่ม น้ำท่วม โคลนถล่ม สร้างความเสียหายมากมาย ซึ่งต้องสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ทำให้พี่น้องชาวใต้ได้รับความลำบาก ดังนั้น กลุ่มพ่อค้า นักธุรกิจ พร้อมด้วยหน่วยงาน องค์กร สมาคม ชมรม ห้างร้านต่างๆ รวมทั้งประชาชนชาวจังหวัดภูเก็ต จึงได้มีแนวคิดจัดคอนเสิร์ตการกุศลขึ้น เพื่อจัดหารายได้มอบแด่พี่น้องชาวใต้ โดยผ่านทางสภากาชาดไทย และมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภา) ยามยาก ที่จะเป็นองค์กรกลางนำรายได้ทั้งหมดมอบแด่พี่น้องชาวใต้ผู้ประสบภัยทั้ง 10 จังหวัดต่อไป

นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายก อบจ.ภูเก็ต กล่าวว่า จากการร่วมแรงร่วมใจของกลุ่มพ่อค้า นักธุรกิจ สมาคม ชมรม และประชาชน ในจังหวัดภูเก็ต นับเป็นความมีจิตใจอันดีงาม ร่วมแรงร่วมใจกันจัดงานในครั้งนี้ขึ้น ดังที่ได้ทราบกันแล้วว่า พี่น้องประชาชนภาคใต้ได้ประสบปัญหาภัยพิบัติน้ำท่วม จึงทำให้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนพื้นที่ทำกิน ซึ่งหลายภาคส่วนก็ได้มีส่วนร่วมทำการฟื้นฟู เยียวยา ทั้งเร่งด่วนในระยะสั้น และโครงการระยะยาว สำหรับงานในครั้งนี้ก็เป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งจะเป็นอีกแรงใจ ให้พี่น้องชาวใต้ได้ยืนหยัด และพร้อมที่จะเผชิญกับปัญหา ไม่ว่าจะมากมายสักเพียงใด เชื่อว่างานในครั้งนี้ เกิดจากจิตใจอันบริสุทธิ์ที่มีความตั้งใจแน่วแน่ ที่จะช่วยเหลือและฟื้นฟูพี่น้องชาวใต้ให้มีชีวิตความเป็นอยู่กลับมาดังเดิมโดยเร็ววัน

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

ราไวย์ ทุ่ม 2.8 ล.สร้างสถานที่ละหมาดบนแหลม


นายอรุณ โสฬส นายกเทศมนตรีตำบลราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต กล่าวว่า ด้วยแหลมพรหมเทพ ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมของจังหวัดภูเก็ต กับจุดเด่นที่เป็นแหลมยื่นลงไปในทะเล และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกน้ำที่สวยที่สุด ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก และในจำนวนดังกล่าวก็จะมีนักท่องเที่ยวที่นับถือศาสนาอิสลามด้วย ดังนั้นเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวที่นับถือศาสนาอิสลาม ทางเทศบาลฯ จึงได้ร่วมกับคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดภูเก็ตจะทำการจัดสร้างสถานที่ละหมาดขึ้นบริเวณแหลมพรหมเทพ โดยเทศบาลฯ ได้ใช้งบในการจัดสร้างจำนวนประมาณ 2.8 ล้านบาท และ จ.ส.ต.โกมล ดุมลักษณ์ คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย สนับสนุนงบในการสำรวจและออกแบบจำนวนประมาณ 150,000 บาท ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถก่อสร้างได้ภายในเดือนพฤษภาคมนี้

เหตุที่จะต้องมีการจัดสร้างสถานที่ละหมาด เนื่องจากในช่วงที่พระอาทิตย์ตกเป็นช่วงเวลาที่พี่น้องที่นับถือศาสนาอิสลามจะต้องประกอบพิธีละหมาด ดังนั้นการที่มีการจัดสถานที่ในการทำละหมาดให้เหมาะสมก็จะเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม เพื่อให้มีความเป็นสัดส่วนและมีความเหมาะสม รวมทั้งทำให้ผู้ที่มีความเคร่งครัดในการปฏิบัติตามหลักศาสนาไม่เสียโอกาส รวมถึงยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีด้วย นายอรุณกล่าว

งานวัน อสม.เชิดชูเกียรติผู้ปฏิบัติงาน


เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2554 ที่ห้องจามจุรี โรงแรมภูเก็ตเมอร์ลิน อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดงาน “วันอาสาสมัครสาธารณสุขแห่งชาติ จังหวัดภูเก็ต ประจำปี 2554 ซึ่งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต สมาคม อสม.จังหวัดภูเก็ต ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจัดขึ้น โดยมีนายเรวัต อารีรอบ ส.ส.ภูเก็ต นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ตัวแทนจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และอาสาสมัครสาธารณสุขในจังหวัดภูเก็ตเข้าร่วม

ทั้งนี้การจัดงานดังกล่าว เพื่อเป็นการสร้างขวัญ กำลังใจให้กับ อสม.ที่ปฏิบัติงานด้วยความมุ่งมั่น เสียสละตั้งมั่นทำความดี เพื่อเชิดชูเกียรติแก่ อสม.ที่ผ่านการคัดเลือกเป็น อสม.ดีเด่น ระดับอำเภอ/จังหวัด และระดับเขตรวมทั้ง อสม.ที่ปฏิบัติงานครบ 10 ปี และ 20 ปี รวมทั้งเพื่อสร้างความรัก ความสามัคคีในหมู่คณะ อสม.ให้มีพลังในการสร้างสรรค์ชุมชน และเป็นที่ยอมรับของสังคม

นางเอมอร กิตติธรกุล หัวหน้ากลุ่มงานพัฒนารูปแบบบริการ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) เป็นบุคคลสำคัญยิ่งในการดำเนินงานสาธารณสุขในชุมชน เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2520 จนถึงปัจจุบัน นับเป็นระยะเวลา 34 ปี ปัจจุบันจังหวัดภูเก็ตมี อสม.จำนวน 1,970 คน แบ่งเป็น อสม.อ.เมือง จำนวน 926 คน อ.ถลาง จำนวน 670 คน และ อ.กะทู้ จำนวน 374 คน ปฏิบัติภารกิจด้านสุขภาพของประชาชนใน 5 มิติ ได้แก่ การส่งเสริมสุขภาพ การควบคุมป้องกันโรค การรักษาพยาบาลเบื้องต้น การฟื้นฟูสุขภาพให้ประชาชน และการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งผลงานเป็นที่ประจักษ์และได้รับการยอมรับของคนในสังคม ทั้งในระดับชาติและระดับสากล โดยดร.มากาเรด ชาลล์ ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ประกาศยกย่องชมเชยระบบอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านของประเทศไทย ในเวทีประชุมระดับสากล สามารถสร้างการมีส่วนร่วม และประสบความสำเร็จในการดูแลสุขภาพของประชาชนให้มีความก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วกว่าในหลายประเทศ ดังนั้นภาครัฐจึงมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนบทบาท อสม.เชิงรุกมากขึ้น การสนับสนุนค่าป่วยการเดือนละ 600 บาท ควบคู่กับการสร้างขวัญและกำลังใจ เช่น การจัดงานวัน อสม.แห่งชาติ ทุกวันที่ 20 มีนาคมของทุกปี เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติของ อสม. เป็นต้น

ขณะที่นายตรี อัครเดชา ผู้ว่ารากชารจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า การจัดงานวัน อสม.แห่งชาติของจังหวัดภูเก็ตนั้น เป็นการเชิดชูเกียรติ และสร้างขวัญกำลังใจแก่ อสม. ซึ่งได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยเฉพาะ อสม.ที่ผ่านการคัดเลือกเป็น อสม.ดีเด่นในแต่ละสาขาตั้งแต่ อสม.ดีเด่นระดับอำเภอ/จังหวัด และระดับเขต ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงความสำเร็จและพัฒนาการของ อสม.นอกเหนือจากการปฏิบัติงาน ด้วยความเสียสละแล้ว ยังมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนากระบวนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้ง อสม.ที่ปฏิบัติงานครบ 10 ปี 20 ปี ที่ได้รับเข็มเชิดชูเกียรติเป็นสัญลักษณ์ของความตั้งใจในการดำเนินงานของ อสม.ที่มีความต่อเนื่องเป็นประจำสม่ำเสมอ

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

ภูเก็ตห่วงไข่ไก่ปรับราคาเหตุต้องการสูง


นายสมพงษ์ อ่อนประเสริฐ พาณิชย์จังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จากกรณีการปรับขึ้นราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคในขณะนี้ ทางกระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างหามาตรการมาดำเนินการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน โดยเฉพาะไข่ไก่ที่ราคาขยับเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงหน้าร้อนทำให้ปริมาณไข่ไก่ออกสู่ตลาดน้อยลง ขณะที่ความต้องของผู้บริโภคมีสูง ซึ่งในส่วนของจังหวัดได้มอบหมายให้สำนักงานการค้าภายในจังหวัดลงไปตรวจสอบราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งในส่วนของเนื้อสัตว์และราคาไข่ไก่แล้ว




“ผลการตรวจสอบพบว่าราคาไข่ไก่และเนื้อสัตว์มีการปรับเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อย จากความต้องการบริโภคที่มีสูงทั้งในส่วนของประชาชนทั่วไปและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยว ประกอบกับไข่ไก่และเนื้อสัตว์จะต้องนำเข้ามาจากต่างจังหวัดเกือบทั้งหมด แต่ในส่วนของผักผลไม้ และอาหารต่างๆ นั้น ไม่ได้มีการปรับราคาแต่อย่างใด สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดในขณะนี้ คือ ราคาไข่ไก่ที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งได้มีการสำรวจข้อมูลส่งไปยังกระทรวงพาณิชย์ทุกวัน เพื่อหามาตรการในการดูแลไม่ได้ประชาชนเดือดร้อนมากนัก” นายสมพงษ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับราคาเนื้อสัตว์ในภูเก็ต โดยเฉพาะเนื้อหมูชำแหละที่จำหน่ายในตลาดเกษตร (ตลาดเทศบาล 2) ราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 120 บาท ซึ่งไม่ได้มีการปรับราคา ขณะที่ราคาที่จำหน่ายตามตลาดนัดต่างๆ อยู่ที่ประมาณ 130 – 140 บาท

อบต.กมลาจัดงานวันผู้สูงอายุประจำปี 2554


เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2554 ที่บริเวณโรงจอดรถองค์การบริหารส่วนตำบลกมลา อ.กะทู้ ภูเก็ต นายจุฑา ดุมลักษณ์ นายก อบต.กมลา ได้เป็นประธานเปิด โครงการวันผู้สูงอายุและวันครอบครัวแห่งชาติ ประจำปี 2554 โดยมีคณะผู้บริหาร สมาชิกสภา หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ พนักงาน อบต.กมลา กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและผู้สูงอายุในเขตตำบลกมลา เข้าร่วมงานกันจำนวนมาก

ทั้งนี้นายจุฑา ดุมลักษณ์ นายก อบต.กมลา ได้กล่าวว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีมีมติให้วันที่ 13 – 14 เมษายน ของทุกปี เป็นวันผู้สูงอายุและวันครอบครัวแห่งชาติ และหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรสาธารณประโยชน์และภาคธุรกิจ ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเป็นพิเศษเนื่องในโอกาสดังกล่าวเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนให้สังคมตระหนักในคุณค่าความสำคัญของผู้สูงอายุและครอบครัว และส่งเสริมให้ครอบครัวหันมาดูแลผู้สูงอายุให้มากขึ้น และเป็นการเผยแพร่เชิดชูเกียรติผู้สูงอายุและสืบสานวัฒนธรรมพื้นบ้านสู่ชุมชน สนับสนุนให้สังคมร่วมรับประโยชน์จากการถ่ายทอดภูมิปัญญาของผู้สูงอายุ การรดน้ำขอพรจากผู้สูงอายุ การมอบของขวัญของรางวัล การจัดกิจกรรมทางศาสนาให้แก่ผู้สูงอายุ เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูที่บุตรหลานที่มีต่อบุพการี หรือผู้สูงอายุและเป็นการปลูกฝังให้เด็กและเยาวชน ได้เห็นคุณค่ารู้จักหวงแหนและรักษาไว้ซึ่งประเพณีอันดีงามคงอยู่สืบไป โดยเน้นการดำเนินงานในลักษณะที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวในทุกภาคส่วนของสังคมให้เห็นความสำคัญของผู้สูงอายุ และครอบครัว

นายกจุฑา กล่าวอีกว่า องค์การบริหารส่วนตำบลกมลา เป็นหน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่นที่มีหน้าที่สนับสนุนส่งเสริมและรักษาไว้ซึ่งประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญพลังศักยภาพ ภูมิปัญญาของผู้สูงอายุและความสำคัญของสถาบันครอบครัว องค์การบริหารส่วนตำบลกมลา จึงได้ร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลกมลา ศูนย์พัฒนาครอบครัว องค์กรชุมชนในตำบลกมลา ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กกมลา จึงได้จัดทำ โครงการวันผู้สูงอายุและวันครอบครัวแห่งชาติ ขึ้นเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติผู้สูงอายุและส่งเสริมสถาบันครอบครัว

ซึ่งภายในงาน มีการให้บริการตรวจสุขภาพ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ตรวจระดับ โคเลสเตอรอล ฯลฯ พร้อมกันนี้ อบต.กมลา มีบริการเตรียมอาหารเช้าสำหรับผู้สูงอายุที่มาตรวจสุขภาพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และยังมีการบรรยายเรื่องการดูแลสุขภาพสำหรับผู้สูงวัย การแสดงจากบุตรหลานศูนย์พัฒนาเด็กเล็กกมลา การมอบของที่ระลึกให้กับผู้สูงอายุที่มาร่วมกิจกรรมพร้อมทั้งร่วมรับประทานอาหารกลางวัน เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนในครอบรัว และชุมชน

ติวเข้ม กต.ตร.ภูเก็ต ร่วมต่อต้านยาเสพติด


เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2554 ที่ห้องประชุมตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดการสัมมนา โครงการสัมมนาคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจจังหวัดภูเก็ตและสถานีตำรวจ ต่อต้านอาชญากรรมและยาเสพติด ซึ่งตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตจัดขึ้น โดยมีรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรในสังกัด คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตและสถานีตำรวจ (กต.ตร.) ต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ต เข้าร่วม

พ.ต.อ.ชาณุชาญ ชลสุวัฒน์ ผกก.ฝ่ายอำนวยการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า สืบเนื่องจากตำรวจภูธรภาค 8 ได้มอบหมายให้ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ดำเนินการจัดสัมมนา ตามโครงการสัมมนาคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจจังหวัดและสถานีตำรวจ ต่อต้านอาชญากรรมและยาเสพติด เพื่อทำความเข้าใจถึงแนวทางการพัฒนา กต.ตร.ในทุกระดับ ประสานความเข้าใจระหว่างข้าราชการตำรวจกับประชาชนในการปฏิบัติงานร่วมกัน ในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมยาเสพติด การจราจร ที่เกิดขึ้นในชุมชน เพื่อร่วมกันสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง กำหนดข้อเสนอแนะและแนวทางในการพัฒนาด้านการบริหารจัดการสถานีตำรวจหรือหน่วยงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการ ตามนโยบายของรัฐบาล

ด้านพล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต กล่าวตอนหนึ่งของการสัมมนาฯ ว่า เป้าหมายของการสัมมนาฯ มุ่งเน้นที่จะให้การประสานความเข้าใจของข้าราชการตำรวจกับภาคประชาชนเกิดประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาหน่วยงานแบบมีส่วนร่วมกับภาคประชาชนอย่างแท้จริง มุ่งเน้นให้ความรู้ความเข้าใจกับคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคประชาชน เพื่อจะได้ปรับกลยุทธ์ในการทำงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อหน่วยงาน และทราบถึงปัญหาในชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด การจราจร และปัญหาอื่นๆ เพื่อนำมาเสนอแนะและกำหนดแนวทางในการพัฒนาร่วมกัน

พล.ต.ต.พิกัด กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ปัญหาใหญ่ของภูเก็ต คือ การแพร่ระบาดของยาเสพติดแม้ว่าจะมีการจับกุมอย่างต่อเนื่อง ในปี 2553 มีการจับกุมดำเนินคดีถึง 3,000 คดี และในช่วงระหว่างเดือนมกราคม-เมษายนนี้จับกุมได้แล้วประมาณ 1,500 คดี แต่นั่นเป็นการดำเนินการที่ปลายเหตุ สำคัญ คือ ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันอย่างยิ่งจริงจัง จะทำเพียงหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไม่ได้ โดยให้นโยบายไปกับทุกสถานีตำรวจในการตั้งคณะกรรมการที่มีภาคประชาชนในหมู่บ้านหรือชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา และให้เลือกหมู่บ้านหรือชุมชนนำร่องพื้นที่ละหนึ่งแห่งในการแก้ปัญหาให้เห็นเป็นรูปธรรม โดยปลุกจิตสำนึกและสร้างความตระหนักให้เห็นถึงโทษภัยที่เกิดจากยาเสพติด มีการสำรวจผู้เสพและผู้ค้า จากนั้นก็ร่วมกันกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาและ ยับยั้งการแพร่ระบาดของยาเสพติด ถัดมาเรื่องของปัญหาอาชญากรรม โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากปัญหายาเสพติด เมื่อคดียาเสพติดมีจำนวนมากก็ทำให้ปัญหาอาชญากรรมเกี่ยวกับทรัพย์ก็จะมากตามไปด้วย ในส่วนของตำรวจได้เน้นย้ำให้มีการสั่งฟ้องดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา และส่วนใหญ่การจับกุมได้จะมาจากการขยายผลการจับกุมจากคดีหนึ่งไปยังอีกคดี ส่วนของทรัพย์ที่ได้คืนก็เพียง 20% เท่านั้น

Phuket Great Time Clik and Go


นางบังอรรัตน์ ชินะประยูร ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานภูเก็ต กล่าวว่า ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ถือว่าได้รับการตอบรับจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดีทั้งชาวไทยและต่างชาติ เนื่องจากได้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวจำนวนหลายกิจกรรม ส่งผลให้มีเงินสะพัดในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตไม่ต่ำกว่า 800 ล้านบาท ภาพรวมอัตราการเข้าพักของนักท่องเที่ยวอยู่ที่ประมาณ 70 % แค่ส่วนใหญ่จะพักโรงแรมที่ตั้งอยู่บริเวณชายหาด ซึ่งมีอัตราเข้าพักประมาณ 70 – 80% ส่วนโรงแรมในเมืองมีอัตราเข้าพักประมาณ 40 – 50% เมื่อเทียบกับช่วงสงกรานต์ของปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน


อย่างไรก็ตามหลังจากเทศกาลสงกรานต์ไปแล้วก็จะเข้าสู่ช่วงกรีนซีซั่นหรือโลว์ซีซัน ทาง ททท.ก็ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งโรงแรมและบริษัทนำเที่ยวใน จ.ภูเก็ตและพังงา จำนวนประมาณ 100 แห่ง จัดโครงการส่งเสริมการขายตลาดในประเทศ โดยจัดทำแพ็คเกจทัวร์ราคาพิเศษภายใต้ชื่อ Phuket Great Time Clik and Go เช่น แพ็คเกจเที่ยวภูเก็ต – พังงาราคาจิ๊บ, แพ็คเกจลัดฟ้าตะลุยเกาะภูเก็ต – พังงา, แพ็คเกจเที่ยวสนุกมีสไตล์สบายกระเป๋า เป็นต้น ในระหว่างเดือนพฤษภาคม – ตุลาคม 2554 เริ่มต้นที่ราคา 2,450 บาทต่อคน สำหรับที่พัก 3 วัน 2 คืน และรถเช่า 3 วัน

นอกจากนี้ยังมีส่วนลดพิเศษในการซื้อโปรแกรมนำเที่ยว กิจกรรมท่องเที่ยวและร้านอาหาร มูลค่าประมาณ 50,000 บาท ตั้งเป้าการจำหน่ายไว้ประมาณ 1,000 – 2,000 แพ็คเกจ โดยจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 เมษายน 2554 นี้ โดยผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ WWW.Phuket Great Time .com นางบังอรรัตน์กล่าว





วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

ภูเก็ตตั้งกก.สอบปล่อยน้ำเสียที่หาดกะรน


นายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ได้กล่าวถึงความคืบหน้าที่กงสุลกิตติมศักดิ์เยอรมนี ประจำจังหวัดภูเก็ตเข้าพบ และได้ให้ข้อมูลพร้อมแผ่นซีดีเกี่ยวกับการลักลอบปล่อยน้ำเสียลงทะเลของโรงแรมบางแห่งในพื้นที่กะตะ-กะรน อ.เมืองภูเก็ต ซึ่งมีบริษัทถ่ายทำสารคดีท่องเที่ยวจากประเทศเยอรมนีเข้ามาถ่ายทำ และจะมีการนำไปเผยแพร่ที่ประเทศเยอรมัน ด้วยเกรงว่าเมื่อมีการเผยแพร่ไปแล้วจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต และจากการตรวจสอบภาพจากซีดีดังกล่าวพบว่า มีหลักฐานชัดเจนอยู่ 2 โรงแรมที่มีการปล่อยน้ำเสียลงในทะเล โดยลักลอบปล่อยในเวลาประมาณ 3 – 4 นาฬิกา


“ขณะนี้ได้มอบหมายให้นายวีระวัฒน์ จันทร์เพ็ญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เข้าไปกำกับดูแลตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้ว และตั้งคณะกรรมการดูแลปัญหาน้ำเสียซึ่งมีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทสจ.) เป็นเลขานุการ และเน้นย้ำให้คณะกรรมการเข้มงวดตรวจสอบโรงแรมที่ลักลอบปล่อยน้ำเสียให้มากขึ้น หากพบว่ายังมีการลักลอบปล่อยน้ำเสียโดยไม่มีการบำบัดก็จะต้องมีการยกเลิกใบอนุญาตต่อไป”






นายตรี กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมานอกจากหลักฐานของการปล่อยน้ำเสียลงทะเลของโรงแรมในพื้นที่กะตะ-กะรน ที่มีการถ่ายทำเป็นวิดีโอไว้แล้ว ก่อนหน้านี้ก็เคยได้รับการร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไป ว่า มีการลักลอบปล่อยน้ำเสียจากโรงแรมบางแห่งในพื้นที่ป่าตองลงทะเลด้วยเช่นกัน ซึ่งทางจังหวัดได้เข้าไปตรวจสอบพร้อมสั่งให้ทางโรงแรมปรับปรุงแก้ไข ส่วนกรณีของหาดกะตะกะรนหากตรวจสอบแล้วพบว่ามีการปล่อยน้ำเสียลงทะเลจริงก็จะต้องสั่งให้มีการปรับปรุงแก้ไข แต่หากไม่ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขก็จะสั่งพักใบอนุญาต ทั้งนี้ก็จะได้สั่งให้มีการตรวจสอบโรงแรมอื่นๆ ที่อยู่บริเวณชายหาดทั้งจังหวัดด้วย


ก.พาณิชย์ กระตุ้นตลาด Organic


เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมรอยัล ภูเก็ต ซิตี้ อ.เมือง จ.ภูเก็ต นางพิมพาพรรณ ชาญศิลป์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงาน Organic : Alternative Life หรือ เกษตรอินทรีย์ กับชีวิตที่เลือกได้ โดยมีนายวีระวัฒน์ จันทร์เพ็ญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายสมพงศ์ อ่อนประเสริฐ พาณิชย์จังหวัดภูเก็ต นางนูรอ โซ๊ะมณี เสต๊ปเป้ เชฟกิตติมาศักดิ์ ผู้ประกอบการร้านอาหาร โรงแรม ร้านของฝากที่ระลึก สปา ผู้ประกอบการเกษตรอินทรีย์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วม ทั้งนี้ภายในงานมีกิจกรรมมากมาย เช่น กิจกรรมการจัดประชุมสัมมนาทางวิชาการ การแสดงสินค้าเกษตรอินทรีย์เพื่อส่งเสริมการตลาด โดยการออกบู๊ธแสดงสินค้า จำนวน 30 บูธ เป็นต้น

นายสมพงศ์ กล่าวว่า เป้าหมายในการจัดทำโครงการดังกล่าวเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าอินทรีย์ ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค และต่างประเทศ ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย ทำให้เกิดการตื่นตัวและกระตุ้นให้ประชาชนนิยมบริโภคเพื่อสุขภาพ รวมถึงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สนับสนุนให้มีการจัดทำฐานข้อมูลสินค้าเกษตรอินทรีย์ ผู้ประกอบการรวมทั้งข้อมูลทางด้านการตลาดที่ทันสมัย สามารถใช้ในการจัดทำแผนงานด้านการตลาด เชิงรุก ส่งผลให้ประชาชน เกษตรกร ผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก รวมทั้งหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชนสามารถใช้ประโยชน์ได้ ขณะเดียวกันเพื่อกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายตระหนักถึงความสำคัญ โอกาสทางการตลาด และมีส่วนร่วมในการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์เพื่อการท่องเที่ยว ด้วยมาตรฐานด้านความปลอดภัยเรื่องอาหาร โดยให้กลุ่มเป้าหมายร่วมขับเคลื่อนการนำเกษตรอินทรีย์สู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ อาทิ เมนูอาหารจากเกษตรอินทรีย์ สปาอินทรีย์ จัดมุมจำหน่ายสินค้าอินทรีย์ และร้านอาหารอินทรีย์ เป็นต้น

ขณะที่นางพิมพาพรรณ ชาญศิลป์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ได้สนับสนุนเกษตรอินทรีย์มาตั้งแต่ปี 2550 ทำให้ขณะนี้มีเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ทั่วประเทศ 30 – 40 จังหวัด เพื่อผลักดันเกษตรอินทรีย์ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย โดยภาคเหนือมุ่งเน้นเกษตรอินทรีย์ที่เป็นสมุนไพร ภาคอีสานเรื่องข้าว ภาคกลางเน้นผลไม้ และภาคใต้มีความโดดเด่นเรื่องธุรกิจบริการที่เป็นเกษตรอินทรีย์ ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร สปา โดยเฉพาะภูเก็ตจะทำตลาดบริการเกษตรอินทรีย์ หรือ organic ค่อนข้างดี และโรงแรม สปา ในภูเก็ตหลายๆ แห่งเป็น organic มากกว่าในต่างประเทศ ซึ่งจุดนี้ถือเป็นจุดเด่นที่จะนำผลผลิตเกษตรอินทรีย์สู่กลุ่มเป้าหมายที่เป็นต่างชาติมากขึ้น

“กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าหมายที่จะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเกษตรอินทรีย์ (Hub organic) ในเอเซียน ภายใน 4 – 5 ปีจากนี้ ด้วยการส่งเสริมตลาดเชิงรุกมากขึ้น โดยมีการนำผู้ประกอบการเกษตรอินทรีย์ในประเทศไปพบปะกับผู้ซื้อทั้งในยุโรป อังกฤษ เยอรมัน และสหรัฐอเมริกา ซึ่งสินค้าของไทยได้รับการตอบรับที่ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันมะพร้าว สบู่ ที่ใช้ในกิจการสปา ซึ่งสินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทยมีช่องทางและโอกาสในการทำตลาดต่างประเทศ เช่น ยุโรป สหรัฐฯ ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน สเปน เป็นต้น ส่วนของตลาดในประเทศจะมีการจัดงานขึ้นในระหว่างวันที่ 4 – 5 สิงหาคมนี้ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ ซึ่งจะเป็นการรวมผลผลิตเกษตรอินทรีย์ทั้งหมดภายในประเทศ พร้อมส่งเสริมร้านที่เป็น organic shop โมเดิร์นเทรด ซูเปอร์มาร์เก็ต ให้มีมุมที่เป็น organic ด้วย”

นางพิมพาพรรณ กล่าวว่า ขณะนี้รายได้ที่เกิดจากการจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ทุกระดับ ไม่ต่ำกว่าปีละ 6,000 ล้านบาท และตั้งเป้าเพิ่มขึ้นปีละ 10% คาดว่าภายใน 5 ปี รายได้ที่เกิดจากการจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ปีละไม่ต่ำกว่า 8,000 – 9,000 ล้านบาท โดยมีตลาดในประเทศเป็นตลาดหลัก

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

ชาวบ้านเกาะราชายื่นหนังสือขอความเป็นธรรม


เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2554 ชาวบ้านเกาะราชาใหญ่ หมู่ที่ 3 ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต นำโดยว่าที่ร้อยตรียุทธนา จันทร์ดี พร้อมตัวแทนชาวบ้าน ยื่นหนังสือ กับเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดภูเก็ต และนายพีระพงษ์ ผลประมูล ประธานชมรมผู้สื่อข่าวภูเก็ต เพื่อขอเป็นธรรมเกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินบนเกาะราชา อันเป็นผลมาจากการออกสารสิทธิ์ให้กับนายทุนบนเกาะไปแล้วประมาณ 8 แปลง ส่วนของชาวบ้านไม่สามารถออกเอกสารได้

ว่าที่ร้อยตรียุทธนา กล่าวว่า การยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมดังกล่าว เนื่องจากชาวบ้านบนเกาะราชาไม่ได้รับความเป็นธรรมจากหน่วยงานราชการในการยื่นขอออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินบนเกาะ โดยมีการออกเอกสารสิทธิ์ให้กับนายทุนจำนวนไม่ต่ำกว่า 8 แปลง ในขณะที่ของชาวบ้านไม่สามารถออกเอกสารฯ ให้ได้ ทั้งๆ ชาวบ้านบนเกาะราชาได้ยื่นขอออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินมาตั้งแต่ปลายปี 2546 และในช่วงต้นปี 2547 กรมที่ดิน แจ้งให้ทราบว่าไม่สามารถออกเอกสารสิทธิที่ดินบนเกาะราชาได้ เนื่องจากติดกฎกระทรวงฉบับที่ 43 (พื้นที่ที่เป็นเกาะไม่สามารถออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินได้) รวมทั้งไม่มีภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาชาวบ้านได้ติดต่อสอบถามไปยังสำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงการแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้สามารถออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินได้ แต่ก็ได้รับคำตอบว่าไม่สามารถดำเนินการได้

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 5 เมษายน ที่ผ่านมา ชาวบ้านได้รับแจ้งจากนายสุชาติ ใจเหล็ก ว่าได้รับหนังสือจากสำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต ที่ภก.0019/5218 ลงวันที่ 10 มีนาคม 2554 เรื่องการรังวัดชี้แนวเขตและลงชื่อรับรองเขตที่ดินกรณีออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของบริษัทเอกชนรายหนึ่ง เพื่อขอออกโฉนดที่ดิน ตามหลักฐาน น.ส. 3 ไม่ระบุเลขที่ และไม่ระบุที่ดินระวาง ตั้งอยู่ ต.ราไวย์ อ.เมืองภูเก็ต ในวันที่ 22 เมษายนนี้ จึงเกิดเป็นประเด็นคำถามในกลุ่มของชาวบ้านซึ่งมีที่ดินทำกินบนเกาะราชาใหญ่ ถึงความไม่ชอบมาพากลของการขอออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินทำกินบนเกาะดังกล่าว แม้ว่าในระยะเวลาที่ผ่านมายังคงมีการยื่นขอออกเอกสารสิทธิ์บนเกาะราชามาโดยตลอด แต่ชาวบ้านไม่สามารถสามารถนำข้อมูลมาอ้างอิงได้เท่าที่ควร เนื่องจากถูกปกปิดข้อมูลจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง

แต่มาครั้งนี้ชาวบ้านได้ประสบเหตุด้วยตนเองจากกรณีของนายสุชาติ ใจเหล็ก จึงเกิดคำถามว่าทำไมกรมที่ดินแจ้งกับชาวบ้านว่าไม่สามารถออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินทำกินบนเกาะราชาใหญ่ให้กับชาวบ้านได้ แต่สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตยังสามารถดำเนินการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินบนเกาะราชาใหญ่ให้กับนายทุนได้ ซึ่งชาวบ้านคาดว่าที่ดินที่จะทำการรังวัด คือ แปลงที่ดินที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ (กบร.) ภูเก็ต ได้มีมติเพิกถอนไปแล้ว

กกต.อบรมหลักสูตรการพัฒนาการเมือง


เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2554 ที่โรงแรมรอยัลภูเก็ตซิตี้ อ.เมือง จ.ภูเก็ต นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นประธานเปิดการศึกษาอบรมหลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง รุ่นที่ 1 ประจำปี 2554 ระดับภูมิภาค (ภาคใต้) จำนวน 11 จังหวัด ยกเว้น จ.ยะลา นราธิวาสและปัตตานี ซึ่งทางสำนักพัฒนาบุคลากร สถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งจัดขึ้น โดยมีผู้เข้าร่วม ประกอบด้วย นักการเมืองระดับชาติและระดับท้องถิ่น ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน นักวิชาการและประชาชนผู้สนใจ จำนวน 80 คน ทั้งนี้ในปี 2554 กำหนดจัดการอบรมทั่วประเทศจำนวน 5 รุ่น

นายกฤช เอื้อวงศ์ ผู้อำนวยการ สำนักพัฒนาบุคลากร สถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง กล่าวว่า สืบเนื่องจากรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550 ได้บัญญัติถึงบทบาทและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่านอกจากจะมีหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้งทุกระดับให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมแล้ว ยังได้บัญญัติให้มีอำนาจหน้าที่ในการส่งเสริมและสนับสนุนในการให้การศึกษาแก่ประชาชนเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน

ซึ่งจากภารกิจตามอำนาจหน้าที่ดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยดำริของคณะกรรมการการเลือกตั้ง จึงได้จัดให้มีการศึกษาอบรมหลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูงขึ้นในสำนักงานฯ และได้ดำเนินการศึกษาอบรมแล้ว 2 รุ่น โดยถือเป็นหลักสูตรอันเป็นที่รู้จักและประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง จึงทำให้เกิดแนวความคิดที่จะขยายผลการศึกษาอบรมในทำนองเดียวกันนี้มายังส่วนภูมิภาคต่างๆ และนำมาสู่การจัดทำหลักสูตรระยะสั้นตามโครงการฝึกอบรมในหลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งประจำปี 2554 ที่จัดขึ้น

ยื่นหนังสือ “สดศรี” ค้านแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส.ภูเก็ต


เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2554 โรงแรมรอยัลภูเก็ตซิตี้ อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายสรนันท์ เสน่ห์ กรรมการธรรมาภิบาล ประจำจังหวัดภูเก็ต ได้ยื่นหนังสือคัดค้านการแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จังหวัดภูเก็ต ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้นำเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งกลาง ต่อนางสดศรี สัตยธรรม คณะกรรมการการเลือกตั้งในโอกาสที่เดินทางมาเป็นประธานเปิดการสัมมนาโครงการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับภูมิภาค (ภาคใต้) ซึ่งสำนักพัฒนาบุคลากร สถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งจัดขึ้น

ทั้งนี้นายสรนันท์ เสน่ห์ กรรมการธรรมาภิบาลประจำ จังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า การแบ่งเขตการเลือกตั้งซึ่งมีการเสนอไป 3 รูปแบบ ประกอบด้วย เขตเลือกตั้งที่ 1 พื้นที่ อ.เมือง ยกเว้น ต.ฉลอง เทศบาลตำบลราไวย์ เทศบาลตำบลกะรน มี ราษฏร 170,123 คน เขตเลือกตั้งที่ 2 พื้นที่ อ.ถลาง อ.กะทู้ ต.ฉลอง เทศบาลตำบลราราไวย์ เทศบาลตำบลกะรน มีราษฏร 174,944 คน รูปแบบที่ 2 เขตเลือกตั้งที่ 1 พื้นที่ อ.เมือง ยกเว้นเทศบาลตำบลรัษฎา ต.เกาะแก้ว มีราษฏร 161,276 คน เขตเลือกตั้งที่ 2 พื้นที่ อ.กะทู้ อ.ถลาง ต.เกาะแก้ว เทศบาลรัษฏา มีราษฎร 183,771 คน และรูปแบบที่ 3 เขตเลือกตั้ง 1 พื้นที่ อ.เมือง ยกเว้นเทศบาลตำบลราไวย์ เทศบาลตำบลกะรน มีราษฎร 191,000 คน เขตเลือกตั้งที่ 2 พื้นที่ อ.ถลาง อ.กะทู้ เทศบาลตำบลราไวย์ เทศบาลตำบลกะรน มีราษฎร 154,067 คน

“เท่าที่ได้มีการพูดคุยกับหลายฝ่าย และส่วนตัวเห็นว่า ควรจะเลือกรูปแบบที่ 2 ซึ่งเป็นรูปแบบเดิมที่ใช้กับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา มีความเหมาะสมกับสภาพชุมชน ความใกล้ชิด ความสะดวกในการคมนาคม ตลอดจนสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนา จ.ภูเก็ต แม้ปัจจุบันจำนวนประชากรในเขตเลือกตั้งที่ 2 จะเพิ่มขึ้นแต่ไม่ถือว่ามากเกินไป เพราะเกินจากค่าเฉลี่ย ส.ส.1 ต่อจำนวนราษฏรของ จ.ภูเก็ตเพียง 6.51 % เท่านั้น”

นายสรนันท์ กล่าวด้วยว่า สำหรับรูปแบบที่ 1 มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นการแบ่งเขตเลือกตั้งเพื่อเอื้อประโยชน์ทางการเลือกตั้งให้แก่ ส.ส.บางคนในพื้นที่ที่อาจมีการผันตัวมาสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 2 เนื่อง ส.ส.ปัจจุบันมีภูมิลำเนาและฐานคะแนนเสียงในพื้นที่ ต.ฉลอง ต.กะรน ต.ราไวย์ อ.เมือง ทั้ง 3 ตำบลมารวมกันจะทำให้มีราษฏรจำนวน 43,630 คน ส่อให้มีการได้เปรียบเสียเปรียบและส่อให้เห็นถึงความไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมในการเลือกตั้งของ กกต.ภูเก็ต รวมทั้งปัญหาการคมนาคมด้วย

ขณะที่นางสดศรี กล่าวว่า ขณะนี้การแบ่งเขตเลือกตั้งของจังหวัดต่างๆ ที่ส่งให้กับ กกต.กลางพิจารณานั้นยังไม่ครบทุกจังหวัด ซึ่งหลังจากส่งมาครบแล้วจะมีการพิจารณาคัดเลือกแบ่งเขตคาดว่าจะดำเนินการได้ประมาณต้นเดือนพฤษภาคมนี้ โดยการเสนอแบ่งเขตการเลือกตั้งนั้นทางจังหวัดได้มีการกลั่นกรองและพิจารณาอย่างละเอียดมาแล้วระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามหากมีการยื่นคัดค้านมาทางกกต.กลาง ก็จะนำเรื่องที่ยื่นคัดค้านมาพิจารณาร่วมด้วย และจะเชิญผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเข้าให้ข้อเท็จจริง โดยขณะนี้มีการยื่นคัดค้านเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งเข้ามาแล้วจำนวนมากโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนพื้นที่ภาคใต้นั้นภูเก็ตเป็นจังหวัดแรกที่มีการยื่นคัดค้าเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งเข้ามา

“ส่วนความพร้อมในการจัดการเลือกตั้งนั้น ถือว่ามีการเตรียมความพร้อมตลอดเวลา เพราะเป็นหน้าที่อยู่แล้ว รอเพียงรัฐบาลจะประกาศยุบสภาเมื่อใด โดยที่ผ่านมา กกต.ได้ทำหน้าที่ในการกำกับดูแลการเลือกตั้งไ และซักซ้อมความตลอดเวลา นอกจากนี้ยังได้มีการเชิญ กกต.จังหวัด ผู้อำนวยการการเลือกตั้งทุกจังหวัดมาร่วมพูดคุยถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น และในเดือนพฤษภาคมนี้ จะมีการประชุมผู้บริหารพรรคการเมืองทุกพรรคเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง รวมทั้งเรื่องการจัดเวทีกลางและความพร้อมของพรรคการเมืองด้วย”

นางสดศรี กล่าวยอมรับว่า การเลือกตั้งในครั้งนี้เชื่อว่าจะมีการแข่งขันสูง เพราะเมื่อเกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งอำนาจในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ฉะนั้นเชื่อว่าการแข่งขันจะมีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งทาง กกต.ก็ต้องเตรียมความพร้อมและจะต้องรู้เท่าทัน ดังนั้นหากมีการยุบสภาตามที่รัฐบาลประกาศไว้ รวมถึงเมื่อกฏหมายลูกผ่านการพิจารณาก็ไม่น่าจะมีปัญหา สามารถที่จะดำเนินการจัดการเลือกตั้งได้ แต่ขอให้พรรคการเมืองทุกพรรคร่วมมือกันในการจัดการการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เพราะหากการเมืองไม่นิ่ง การเลือกตั้งก็ไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหาความไม่สงบเรียบร้อยที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตามนางสดศรี ยังกล่าวด้วยว่า สำหรับเรื่องการออกระเบียบการเลือกตั้งไม่ให้นำสถาบันมาเกี่ยวข้องขณะนี้ยังไม่ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน ซึ่งเรื่องของสถาบันนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนไม่อยากให้ดึงมาเกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะสถาบันอยู่เหนือการเมืองอยู่แล้ว และในส่วนของรัฐธรรมนูญก็ระบุชัดเจนในมาตรา 12 ว่าพระมหากษัตริย์นั้นอยู่เหนือการเมือง

ตร.ถลางรวบโจรลักมิเตอร์น้ำ


เมื่อวันที่ 19 เมษายน 54 ที่ห้องประชุมสถ.ถลาง อ.ถลาง ภูเก็ต พ.ต.อ.วิฑูรย์ กองสุดใจ ผกก.สภ.ถลาง พ.ต.ท.พิศิษฐ์ ชื่นเพ็ชร รอง.ผกก.สส.สภ.ถลาง พ.ต.ท.วีรยุทธ สิทธิรัตนกุล สว.สส.สภ.ถลางพร้อมด้วยชุดจับกุม ได้ร่วมกันแถลงข่าว การจับกุมนายสมใจ ศรีวิลัย อายุ 42 ปี และนายจำเนียร สมัยชูเกียรติ อายุ 58 ปี พร้อมของกลางมิเตอร์วัดน้ำ 6 อัน ค้อน 1 อัน ชะแลง 1 อัน ไขควง 1 อัน มีดอีโต้ 2 เล่ม และท่อพีวีซีลักษณะชำรุดมีร่องรอยแตกหัก 1 ถุง ในข้อร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.ถลาง ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า ได้มีโจรเข้ามาขโมยมิเตอร์น้ำในพื้นที่หมู่ 1 ต.เทพกระษัตรี อ.ถลางหายไปเป็นจำนวนมาก จากนั้นผกก.สภ.ถลางก็ได้สั่งการณ์ให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนออกติดตามสืบสวนหาตัวคนร้ายมาลงโทษให้ได้ จากนั้นพ.ต.ท.วีรยุทธ สิทธิรัตนกุล สว.สส.สภ.ถลาง จึงนำกำลังออกสืบสวน พบบ้านไม่มีเลขที่มีลักษณะเป็นเพิงพักรับซื้อของเก่าริม ถ.บ้านป่าครองชีพ ม.9 ต.เทพกระษัตรี อ.ถลาง จึงได้เข้าทำการตรวจสอบ เมื่อเข้าตรวจสอบภายในเพิงพัก เจ้าหน้าที่พบนายสมใจและนายจำเนียรพักอาศัยอยู่ นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ก้ได้พบของกลาง วางอยู่จำนวนมาก

จากนั้นทางเจ้าหน้าก็ได้นำตัวนายสมใจและนายจำเนียร พร้อมด้วยของกลางไปสอบสวนเพิ่มเติม โดยทั้ง 2 ได้ให้การรับสารภาพว่าได้ร่วมกันลักมิเตอร์น้ำตามบ้านเรือนต่างๆ ในพื้นที่ ม.1 ต.เทพกระษัตรี อ.ถลางในช่วงเดือน ก.พ.จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งสิ้น 18 ครั้ง หลังจากได้มิเตอร์น้ำมาแล้วจะนำมาแยกชิ้นส่วน เพื่อจำหน่ายที่ร้านรับซื้อของเก่าใน อ.ถลาง และ อ.เมืองภูเก็ต จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวได้ในที่สุด

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยันขุดลอกคลองทำได้


เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2554 ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายสมเกียรติ สังข์ขาวสุทธิรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบกรณีร้องเรียนการขุดเบี่ยงคลองปากบาง หมู่ที่ 3 ต.สาคู อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยมีส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เช่น เจ้าพนักงานที่ดินส่วนแยกถลาง ตัวแทนนายอำเภอถลาง ตัวแทนสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดภูเก็ต ตัวแทนองค์การบริหารส่วนตำบลสาคู เป็นต้น



ทั้งนี้เนื่องจากทางศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดภูเก็ต ได้รับการร้องเรียนว่า มีการขุดเบี่ยง คลองบางปาก หมู่ที่ 3 ต.สาคู อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ทำให้คลองเปลี่ยนสภาพจากแนวเดิมที่เกิดจากธรรมชาติ เกรงว่าจะมีปัญหาในช่วงฤดูน้ำหลาก จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการตรวจสอบและดำเนินการแก้ไขปัญหา และทางจังหวัดได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ปัญหาดังกล่าว




หลังจากที่หน่วยงานต่างๆ มีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว นายสมเกียรติ กล่าวสรุปว่า ในกรณีดังกล่าวทาง อบต.สาคูเป็นผู้ดำเนินการขุดลอกคลองดังกล่าวซึ่งตื้นเขิน เพื่อให้ชาวบ้านสามารถนำเรือเข้ามาหลบคลื่นลมได้โดยเบี่ยงออกจากลำคลองเส้นเดิมสามารถทำได้ แต่จะต้องได้รับความเห้นชอบจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ ส่วนกรณีที่มีผู้ร้องเรียนด้วยเกรงว่าเส้นลำคลองเดิมเมื่อตื้นเขินจะมีผู้เข้าไปครอบครอง เนื่องจากมีรอยต่อกับที่ดินของเอกชน จากการตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพบว่าคงไม่สามารถทำได้ แม้ว่าลำคลองจะตื้นเขิน แต่ที่ดินยังคงเป็นที่สาธารณะอยู่เหมือนเดิม เพราะมีพิกัดระบุชัดเจนและสามารถตรวจสอบได้ แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากการขุดลอกและเปลี่ยนเส้นทางน้ำไหลจะต้องขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อำเภอถลาง อุทยานแห่งชาติสิรินาถ ขนส่งทางน้ำ เป็นต้น ให้ถูกต้องเพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาขึ้นมาภายหลัง