จำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

“ล้านนาสู่อันดามัน” โรดโชว์ทางการท่องเที่ยว


เมื่อคืนวันที่ 5 สิงหาคม 53 ที่ผ่านมา ที่โรงแรมภูเก็ตเมอร์ลิน นายตรี อัครเดชา รองผวจ.ภูเก็ต ได้เป็นประธานเปิดเงิน “ล้านนาสู่อันดามัน” โดยการนำผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวในจังหวัดภาคเหนือประกอบด้วย สำนักงานเชียงใหม่ เชียงราย แพร่ และแม่ฮ่องสอน ได้นำผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนทั้งหมด 60 กว่าราย เดินทางมาทำโรดโชว์ส่งเสริมการขายในภูมิภาคอันดามันตามโครงการ “ล้านนาสู่อันดามัน” ที่ จังหวัดกระบี่ และภูเก็ต

ทั้งนี้นายเฉลิมศักดิ์ สุรนันท์ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ ได้กล่าวถึง งาน “ล้านนาสู่อันดามัน” ว่า เป็นการนำผู้ประกอบการท่องเที่ยวในภาคเหนือมาพบปะกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวในภูเก็ตและกระบี่ ซึ่งที่กระบี่ได้จัดไปเมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้งได้มีการนำเสนอสินค้าทางการท่องเที่ยวของภาคเหนือที่ได้ยกวัฒนธรรมอันงดงามและแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามมานำเสนอขาย และต้องการที่จะให้เกิดการติดต่อทางธุรกิจระหว่างกันในเวลาถัดไป

นายเฉลิมศักดิ์ ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้สายการบินแอร์เอเชียได้เปิดเส้นทางบินระหว่างภูเก็ต – เชียงใหม่ ทำให้นักท่องเที่ยวสะดวกในการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น โดยใช้เวลาบินแค่ 1 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ผู้ประกอบการท่องเที่ยวสามารถที่จะแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวที่เป็นชาวต่างชาติระหว่างกันได้ โดยนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปท่องเที่ยวเพื่อชมวัฒนธรรมที่งดงามและท่องเที่ยวในลักษณะภูเขา และสามารถมาเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นหาดทราย ชายทะเลที่ภูเก็ตได้ เช่นเดียวกัน นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวภูเก็ต ก็สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวต่อที่เชียงใหม่ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

นายเฉลิมศักดิ์ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากนี้เมื่อเดินทางไปท่องเที่ยวที่จังหวัดทางภาคเหนือ ยังสามารถที่จะเชื่อมการท่องเที่ยวต่อไปยังประเทศในลุ่มแม่น้ำโขงในโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ พม่า ลาว จีน และไทย ได้สะดวกอีกด้วย เพราะขณะนี้มีเที่ยวบินจากตรงจากสิบสองปันนาของจีนมายังเชียงใหม่และประมาณเดือนก.ย.นี้ก็จะมีเที่ยวบินจากคุนหมิงมายังเชียงใหม่อีกด้วย ซึ่งจุดนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวในภาพรวมมาก เพราะนักท่องเที่ยวจากจีนเมื่อมาเชียงใหม่แล้วก็สามารถเดินทางมาภูเก็ตได้สะดวกและนักท่องเที่ยวจากภูเก็ตก็สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้สะดวกเช่นกัน

สำหรับการท่องเที่ยวของเชียงใหม่และภาคเหนือตอนบนขณะนี้เริ่มที่จะดีขึ้นภายหลังจากที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตทางการเมืองที่เกิดขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวลดลงอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามในขณะนี้ถือว่าเป็นช่วงโลว์ชีชั่นของภาคเหนือ อัตราการจองห้องพักอยู่ที่ 40 – 45% แต่หากเป็นช่วงวันหยุดยาวจะเพิ่มเป็น 70 – 80% เนื่องจากนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเชียงใหม่ 70% เป็นคนไทย และ 30% เป็นคนต่างชาติ โดยแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเข้าเชียงใหม่ปีละ 5 ล้านคน ทำรายได้ประมาณปีละ 38,000 ล้านบาท และในช่วงนี้ซึ่งเป็นโลว์ชีชั่นผู้ประกอการท่องเที่ยวทุกภาคส่วนในเชียงใหม่ได้ร่วมมือกันจัดโครงการเชียงใหม่แกรนด์เซลขึ้น ลดราคาสินค้าทางการท่องเที่ยวกว่า 50% ไปจนถึงสิ้นเดือน ส.ค.นี้


คลื่นสูงซัดร่าง 2 นักเรียนจมทะเล เจ้าหน้าที่ช่วยทัน

เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 53 พ.ต.ท.อนุกูล หนูเกต สารวัตรเวรสภ.ฉลอง อ.เมืองภูเก็ต รับแจ้งจากชาวบ้าน ว่า มีนักท่องเที่ยวถูกคลื่นซัดจมลงในทะเล 2 ราย เหตุเกิดที่หาดในหาน ม.1 ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ขอให้เดินทางตรวจสอบและให้การช่วยเหลือด้วย หลังจากได้รับแจ้งจึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นก็ได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต (ศูนย์ไข่มุก) เจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเลองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต (บีชการ์ด) นำเรือดิ้งกี้ 1 ลำ ออกไปช่วยเหลือ

ที่เกิดเหตุเป็นชายหาดในหาน ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งของจังหวัดภูเก็ต มีธงแดงปักเรียงรายตลอดแนวชายหาด เห็นคลื่นสูงกว่า 2 เมตร ที่ริมฝั่งเห็นนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศกำลังมุงดูเหตุการณ์จำนวนมาก กลางทะเลเห็นร่างผู้ประสบเหตุกำลังดำผุดดำว่ายคลื่นซัดร่างห่างออกจากฝั่งไปเรื่อยๆ เจ้าหน้าที่จึงรีบไปช่วยเหลือท่ามกลางกระแสคลื่นลมแรง เจ้าหน้าที่ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็สามารถนำร่างผู้ประสบเหตุกลับขึ้นมาชายฝั่งได้ แต่ทั้ง 2 คน ไม่รู้สึกตัว เจ้าหน้าที่ต้องให้ออกซิเจน และรีบนำส่งรักษาที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เพื่อให้แพทย์ทำการช่วยเหลือเป็นการด่วน

ทั้งนี้จากการสอบถามด.ญ.ณัฐพร แก้วน้อย อายุ 14 ปี นักเรียนโรงเรียนพุทธมงคลนิมิตร ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ชั้น ม.3/6 ซึ่งเป็นเพื่อนของผู้ที่จมน้ำก็ทราบว่า คนที่จมน้ำชื่อด.ญ.กมลรัตน์ ด่าหมาน อายุ 14 ปี และด.ช.บุญฤทธิ์ บุญมา อายุ 15 ปี ทั้ง 2 คนเป็นนักเรียนโรงเรียนพุทธมงคลนิมิตร เช่นกัน โดยก่อนเกิดเหตุ วันนี้ซึ่งเป็นวันหยุดเพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียนจำนวน 6 คน จึงได้ชวนกันไปเล่นน้ำทะเลที่หาดในหาน เพราะเป็นชายหาดที่มีความสวยงามเป็นอย่างมาก ประกอบกับเพื่อนๆ ทุกคนที่ไปเที่ยวครั้งนี้ไม่มีใครเคยลงเล่นน้ำทะเลที่หาดในหานมาก่อน ขณะที่ตนและเพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียนอีก 5 คน กำลังเล่นน้ำทะเลอยู่อย่างสนุกสนานที่บริเวณใกล้ๆ ชายหาด แต่ด.ญ.กลมรัตน์ ด่าหมาน และด.ช.บุญฤทธิ์ บุญมา ได้ลงไปเล่นที่น้ำลึก ระหว่างนั้นเกิดคลื่นลูกใหญ่ 2 ลูกซ้อน ซัดเข้าฝั่ง คลื่นก็ได้ซัดเอาร่างของ ด.ญ.กมลรัตน์ และด.ช.บุญฤทธิ์ ออกไปกลางทะเล ทั้ง 2 คน ว่ายน้ำไม่แข็งแรง ไม่สามารถว่ายโต้คลื่นได้ จนทั้งให้ 2 คน ดำผุดดำว่ายอยู่กลางทะเล จากนั้นตนได้พยายามเรียกให้เจ้าหน้าที่บีชการ์ด เข้าทำการช่วยเหลือเพื่อนของตน จนสามารถช่วยเหลือกลับขึ้นฝั่งได้และเจ้าหน้าที่รีบนำร่างส่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ตเป็นการด่วน


อบจ.ภูเก็ตส่งเสริมความรู้ผู้นำศาสนาอิสลาม

เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2553 ที่โรงแรมโบ๊ทลากูน อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต (อบจ.ภูเก็ต) เป็นประธานเปิด โครงการประชุมสัมมนาผู้นำศาสนาอิสลามจังหวัดภูเก็ต ประจำปี 2553 ซึ่งทาง อบจ.ภูเก็ต ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดภูเก็ตและสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดภูเก็ต จัดขึ้น โดยมีกรรมการอิสลามประจำจังหวัด อิหม่าม คอเต็บบิหลั่น และคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด เข้าร่วมจำนวน 300 คน



ทั้งนี้นายจีระศักดิ์ ท่อทิพย์ ที่ปรึกษานายก อบจ.ภูเก็ต ได้กล่าวว่า การจัดสัมมนาดังกล่าวเพื่อเป็นการสนองนโยบายขององค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ในการส่งเสริมและพัฒนาผู้นำศาสนาอิสลาม ซึ่งมีหน้าที่พัฒนาองค์กรมัสยิดและการอบรมสั่งสอนประชาชนในชุมชนนั้นๆ ให้เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรมตามหลักศาสนาอิสลาม อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ และสมรรถนะความเป็นผู้นำศาสนาให้สามารถเป็นผู้นำในการถ่ายทอดความรู้สู่ประชาชนให้มีคุณธรรม จริยธรรม ภายใต้คำว่า เมืองน่าอยู่ คู่คุณธรรม และนำเอาหลักศาสนาของศาสนาอิสลามมาเป็นแนวปฏิบัติในการดำเนินชีวิตประจำวัน พร้อมทั้งส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ทั้งด้านต่างๆ เช่น พระราชบัญญัติศาสนาอิสลาม การพัฒนาองค์กรมัสยิดให้เป็นศูนย์กลางในการบริหารชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างภาครัฐและชุมชนมากขึ้น

ขณะที่นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายก อบจ.ภูเก็ต กล่าวว่า ผู้นำศาสนาและคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการความเป็นอยู่ของประชาชนในชุมชน ให้มีความผาสุกอยู่ในกรอบของหลักศาสนบัญญัติและความมีคุณธรรม โดยใช้มัสยิดเป็นศูนย์กลาง ซึ่งจากการที่ได้สัมผัสการดำเนินการของผู้นำศาสนาและคณะกรรมการมัสยิด มีความรู้สึกอบอุ่น และจากการทำงานของคณะกรรมการมัสยิดแต่ละมัสยิด ได้รับความสำเร็จมาโดยตลอด แต่ด้วยสถานการณ์สิ่งแวดล้อมทางสังคม และชุมชนมีการเปลี่ยนแปลง จึงมีปัญหาตลอดเวลา จึงต้องมีการพัฒนากระบวนการคิด วางแผนการแก้ปัญหาและพัฒนางานตลอดเวลา ซึ่งการพบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ซึ่งกันและกัน รวมทั้งข้อมูลความรู้จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ จะเป็นส่วนสำคัญในการนำไปปรับใช้ในการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพต่อไป



กระทรวงยุติธรรมภูเก็ตจัดงานวันรพี


เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 53 ที่บริเวณด้านหน้าศาลแรงงานภาค 8 จ.ภูเก็ต นายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยข้าราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ได้ประกอบพิธีทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งแด่พระสงฆ์ 70 รูป พร้อมทั้งประกอบพิธีสดุดีเทิดพระเกียรติกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ และวางพวงมาลาเนื่องในวันรพี ประจำปี 2553 โดยมีนางไทศิกา ไพรสงบ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดภูเก็ต นายศุภศักดิ์ เยาว์วิวัฒน์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานภาค 8 นายสุพาทน์ สุชาตานนท์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดภูเก็ต นายก่อเกียรติ สุพลพงศ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลแรงงานภาค 8 น.ส.ยุวิสส์ร์ชญา ยกซิ่ว ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลแรงงานภาค 8 นางเมธินี ทิพย์มณเทียร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดภูเก็ตแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว นายไพศาล สุวรรณรักษา ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดภูเก็ต นายพิชัย ศรีจำนอง อัยการจังหวัดภูเก็ต และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมในพิธี จากนั้นได้มีการมอบทุนการศึกษาให้กับบุตร หลานข้าราชการในกระทรวงยุติธรรม สังกัดจังหวัดภูเก็ตด้วย

สำหรับวันรพี ซึ่งตรงกับวันที่ 7 สิงหาคม ของทุกปี จะเป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ซึ่งนักกฎหมายยกย่องพระองค์เป็น “พระบิดาแห่งกฎหมายไทย” และเรียกกันว่า “วันรพี” ตามพระนามเดิมคือ “พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์” ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 14 ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาตลับ เมื่อวันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ.2417 ทรงไปศึกษาวิชากฎหมาย ณ สำนักไครสต์เชิร์ช มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด ประเทศอังกฤษ จนสำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาเกียรตินิยม แล้วเสด็จกลับมารับราชการในประเทศไทย ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม

และดำรงตำแหน่งนายกสภาข้าหลวงพิเศษ ทำหน้าที่สะสางกฎหมายต่างๆ เนื่องจากกิจการศาลและกระทรวงยุติธรรมในสมัยนั้น ยังไม่เรียบร้อย เสด็จในกรมฯ ทรงสนพระทัย และหาหนทางในการปรับปรุงแก้ไขจัดระเบียบศาล และการยุติธรรมทั่วประเทศให้เรียบร้อย ทรงมีพระราชดำเนินในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว 2 แนวทาง คือการทำให้บ้านเมืองมีกฎหมายที่ดีและการทำศาลให้มีผู้พิพากษาที่ดี และมีคุณธรรม พร้อมทั้งปรับปรุงแก้ไขกฎหมายวิธีพิจารณาคดีความแพ่ง กฎหมายวิธีพิจารณาคดี ความอาญาเสียใหม่ ทำให้ราชการศาลยุติธรรมของประเทศไทยเจริญมั่นคง ทัดเทียมนานาอารยประเทศ มาจนทุกวันนี้ และในปี พ.ศ.2462 พระองค์ทรงประชวรด้วยวัณโรคที่พระวักกะ ได้เสด็จไปรักษาพระองค์ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จนกระทั่งสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ.2463 เวลา 21.00 น.พระชนม์มายุได้ 47 พรรษา



วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

รวมใจไทยทั้งชาติ สร้างหัวใจให้แผ่นดิน


เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 53 ที่บริเวณด้านอาคารประชุมหลังใหม่ ศาลากลาง จ.ภูเก็ต นายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ประธานในพิธีเปิดและร่วมพับกระดาษเป็นรูปต่างๆ ประกอบด้วย รูปดาว สื่อถึงศรัทธาและความหวัง รูปนก สื่อถึงความหมายแห่งสันติภาพ และรูปหัวใจ ที่สื่อถึงการรวมใจถวายแด่แม่ของแผ่นดิน ในกิจกรรมพับกระดาษบันทึกสถิติโลกใหม่ “รวมใจไทยทั้งชาติ สร้างหัวใจให้แผ่นดิน” “แม่” คือ พระผู้เป็นแรงบันดาลใจ

เพื่อร่วมสร้างสถิติใหม่ด้วยจำนวนผู้เข้าร่วมพับกระดาษมากที่สุดในโลก ภายในระยะเวลา 30 นาที เพื่อแสดงให้ชาวโลกได้รับรู้ว่าคนไทยมีหัวใจให้แผ่นดิน ซึ่งทางกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จัดขึ้นทั่วประเทศ โดยในส่วนของจังหวัดภูเก็ตมีประชาชน นักเรียน ข้าราชการ สมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดภูเก็ต เข้าร่วมจำนวนมาก

นางสาวพรรณี สิทธิการ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ครบ 78 พรรษา และในวโรกาสวันแม่แห่งชาติ ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดจัดงาน “ร้อยใจ ร้อยมาลัย ร้อยล้านดวงใจ เทิดไท้ราชินี ประจำปี 2553” “แม่” คือ พระผู้เป็นแรงบันดาลใจ รวมใจไทยทั้งชาติ สร้างหัวใจให้แผ่นดินขึ้น และในส่วนของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้จัดกิจกรรมเพื่อจุดประกายความรักและความสามัคคีขึ้น ภายใต้กิจกรรม พับกระดาษบันทึกสถิติโลกใหม่ “รวมใจไทยทั้งชาติ สร้างหัวใจให้แผ่นดิน” เพื่อร่วมเทิดพระเกียรติ และแสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ต่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นแม่ของแผ่นดิน รวมทั้งเพื่อร่วมบันทึกสถิติโลกในการรวมพลังของชาวไทยทั้งประเทศให้มาร่วมพับกระดาษมากที่สุดในโลกเพื่อเป็นการจุดประกายความรักความสามัคคี ปรองดอง และสมาฉันท์ให้กับคนไทยทั้งชาติ และเพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้แสดงพลังความรัก ความสามัคคีต่อแผ่นดิน

“จุรินทร์” มอบนโยบาย จนท.สาธารณสุข


เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 53 ที่โรงแรมรอยัลภูเก็ตซิตี้ อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสภาพปัญหาของโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ ในโอกาสที่เดินทางมาเป็นประธานในพิธีปิดการประชุมวิชาการสาธารณสุขประจำปี 2553 เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 78 พรรษา 12 สิงหาคม 2553 “รพสต.สะพานเชื่อมปฐมภูมิ สู่ตติยภูมิ” ซึ่ง มีแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขจากทั่วประเทศเข้าร่วมประมาณ 3,500 คน ว่า ปัจจุบันมีโรงพยาบาลอยู่จำนวนหนึ่งอยู่ในภาวะขาดทุน ปัญหาเกิดจาก 3 เรื่องหลักๆ คือ

 1.การไร้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ 2.ปัญหาระบบการจัดสรรเงินให้กับโรงพยาบาลไม่เพียงพอกับค่าบริหารจัดการที่เน้นให้งบประมาณแบบรายหัวของผู้ที่มารับการรักษาในโรงพยาบาลนั้นๆ ตกหัวละ 2,546 บาท ในปี 2554 ทำให้งบประมาณที่ได้บางโรงพยาบาลไม่เพียงพอกับค่าใช้ประจำ ทำให้บางโรงพยาบาลต้องนำเงินค่าหัวในการรักษาพยาบาลมาใช้ในการบริหารจัดการ โดยได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขไปหารือกับทางสปสช.ในการจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายประจำของแต่ละโรงพยาบาล หลังจากนั้นก็จะจัดสรรงบประมาณตามจำนวนประชากรที่ไปรับการรักษาในแต่ละโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นไปอีก เพื่อให้การให้บริการด้านการแพทย์มีประสิทธิภาพ ประชาชนได้รับการรักษาพยาบาลที่ดีต่อไป

ส่วนปัญหาที่ 3 คือ รายได้ที่เกิดขึ้นไม่เพียงพอกับรายจ่ายในการแบกรักภาระผู้ที่ไม่มีสิทธิ์รับบริการด้านสาธารณสุข โดยแบ่งเป็นกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งส่วนนี้จะมีการทำประกันสุขภาพหัวละ 1,900 บาทอยู่แล้วจะไม่มีปัญหามากนัก แต่ที่เป็นปัญหาหนักคือแรงานต่างด้าวผิดกฎหมายซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่พอสมควรและยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะดำเนินการอย่างไร และสุดท้ายคือกลุ่มนักท่องเที่ยว ซึ่งในปี 2554 นี้ได้มีการจัดสรรงบประมาณให้โรงพยาบาลตามแนวชายแดนที่ต้องดูแลรักษาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย 1,000 ล้านบาท รวมถึงกลุ่มคนไทยไร้สัญชาติและกลุ่มคนไทยที่กำลังอยู่ระหว่างการพิสูจน์สัญชาติ

นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป ผู้ที่อยู่ในข่ายประกันสุขภาพทั่วหน้า ไม่ต้องใช้บัตรทองในการเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลอีกโดยใช้บัตรประจำตัวประชาชนแทน แต่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงระบบการให้บริการ โดยผู้ป่วยปกติทั่วไปจะต้องเข้ารับการรักษาขั้นปฐมภูมิในโรงพยาบาลที่สังกัด หลังจากนั้นก็จะส่งต่อการรักษาในขั้นที่สูงต่อไป แต่หากเป็น



คิ๊กออฟถนนไร้ฝุ่นบรรเทาปัญหาการจราจรคับคั่ง


เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2553 ที่สำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่เขต 4 นายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการก่อสร้าง โครงการถนนไร้ฝุ่นภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กจำนวน 4 ช่องจราจร สายผังเมือง ค เทศบาลนครภูเก็ต โดยมีนายเรวัต อารีรอบ ส.ส.จังหวัดภูเก็ต นายธีรพร จิระรัตนากร ผู้อำนวยการสำนักงานทางหลวงชนบทจังหวัดภูเก็ต นางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต นายโชค นวลได้ศรี ผู้อำนวยการสำนักงานทางหลวงชนบทที่ 18 (กระบี่) เข้าร่วม

นายธีรพร กล่าวว่า การก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กจำนวน 4 ช่องจราจร มีช่องจราจรกว้างช่องละ 3.25 เมตร ไหล่ทางข้างละ 2.00 เมตร ไฟฟ้าแสงสว่าง ช่วงละ 35 เมตร เกาะกลางถนนกว้าง 2.00 เมตร รวมความกว้างทั้งหมด 22 เมตร ระยะทางก่อสร้าง 0.684 กม.รวมระยะเวลาก่อสร้าง 180 วัน เริ่มต้นสัญญาวันที่ 12 มิ.ย.53 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 8 ธ.ค. 53 ในวงเงินค่าก่อสร้างจำนวน 24.5 ล้านบาท

ทั้งนี้การก่อสร้างถนนสายดังกล่าวได้รับอนุญาตจากเทศบาลนครภูเก็ตให้ก่อสร้างในที่ดินของราชพัสดุ ผู้รับจ้างก่อสร้างล่าช้ากว่าแผนงานเล็กน้อย เพราะต้องรอการตรวจสอบพื้นที่จากสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดภูเก็ต

ซึ่งไม่ได้อยู่ในป่าสงวนแห่งชาติ และไม่เข้าข่ายการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม เรื่องการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ตแต่อย่างใด สำหรับการก่อสร้างถนนสายนี้ได้แบ่งการก่อสร้างออกเป็นถนน 4 ช่องจราจร มีไหล่ทางสำหรับรถจักรยาน กว้างข้างละ 2 เมตร มีทางเท้าสำหรับคนเดินเท้าข้างละ 1.50 เมตร มีระบบท่อระบายน้ำ 2 ข้างทาง และมีแนวรั้วกั้นแบ่งเขตถนนที่ชัดเจน ระบบไฟฟ้าแสงสว่างเพียงพอ และคาดว่าจะแล้วเสร็จตามแผนการก่อสร้าง จะช่วยระบายการจราจรภายในเขตเทศบาล และลดปัญหาการจราจรคับคั่งในชั่วโมงเร่งด่วนบนถนนเจ้าฟ้าเชื่อมถนนบางกอก – ปฏิพัทธ์ ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่สัญจรไปมาได้อย่างถาวร

ไฟไหม้บ้านห้องแถวเก็บของคาดเหตุไฟฟ้าลัดวงจร


เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2553 พ.ต.ท.ยงยุทธ กรองมาลัย สารวัตรเวร สภ.เมืองภูเก็ตได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นที่บ้านเลขที่ 24/1 ถ.มนตรี ต.ตลาดใหญ่ อ.เมืองภูเก็ต ภายในซอยหลังคิวรถตู้ภูเก็ต-สุราษฎร์ธานี จึงพร้อมด้วยรถดับเพลิงเทศบาลนครภูเก็ต 4 คัน รุดไปยังจุดเกิดเหตุ และได้มีการฉีดน้ำเพื่อสกัดไม่ให้เพลิงลุกไหม้ไปยังบริเวณใกล้เคียง โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที จึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ โดยมีห้องแถวได้รับความเสียหายเพียง 1 ห้อง จากทั้งหมด 10 ห้อง

สำหรับที่เกิดเหตุเป็นห้องแถวครึ่งปูนครึ่งไม้ชั้นเดียวปลูกเรียงรายกว่า 10 ห้อง ที่เกิดเหตุเป็นห้องแรกมีกลุ่มควันลอยพวยพุ่งออกมาจากภายในบ้าน จากการตรวจสอบพบปลั๊กไฟบริเวณประตูทางเข้าบ้านมีร่องรอยไหม้เกรียม ซึ่งคาดว่าเป็นต้นเพลิง โดยห้องดังกล่าวเป็นห้องเก็บของของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ภายในเก็บสิ่งของต่างๆไว้ รวมทั้งรถจักรยานยนต์จำนวน 1 คัน โดยไม่มีผู้อยู่อาศัย ส่วนสาเหตุคาดว่าเกิดจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจร เนื่องจากสภาพห้องแถวและสายไฟที่มีสภาพเก่ามาก อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ตำรวจจะตรวจสอบหาสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ที่แท้จริงอีกครั้ง ส่วนค่าเสียหายกว่า 2 หมื่นบาท



ติวเข้มผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ชุมชน


เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2553 ที่โรงแรมคาทีน่า อ.เมือง จภูเก็ต นายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดโครงการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และผลิตภัณฑ์ชุมชน ซึ่งทางสภาอุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ต โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ศูนย์บริการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสมาคมการพิมพ์ไทย จัดขึ้น ซึ่งมีผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนและผลิตภัณฑ์ชุมชน เช่น บริการอาหารเครื่องดื่ม สิ่งพิมพ์ สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม บริการสปา นวดแผนไทย เป็นต้น เข้าร่วมจำนวน 150 ราย

นางอรอนงค์ สุวัณณาคาร ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ปัจจุบันสภาวการณ์การแข่งขันทางธุรกิจได้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กลยุทธ์อย่างหนึ่งที่จะช่วยในการเพิ่มมูลค่าของสินค้านั้นๆ ได้ คือ การสร้างความแตกต่างในด้านผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ เพราะจะช่วยส่งเสริมให้สามารถแข่งขันทางด้านการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศได้มากขึ้น ประกอบกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และศูนย์บริการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาเรื่องนี้

การจัดโครงการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และผู้ประกอบการสินค้าชุมชนในจังหวัดภูเก็ต ขึ้น เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และผู้ประกอบการสินค้าชุมชนในจังหวัดภูเก็ต รวมทั้งเพื่อเพิ่มศักยภาพในแก่ผู้ประกอบการในด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ให้มีความแปลกใหม่ สามารถต่อยอดทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน นางอรอนงค์กล่าว


ขณะที่นายฉัตรชัย มีมารยาตร์ รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ศูนย์บริการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสมาคมการพิมพ์ไทย ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาและยกระดับให้กับผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการและกลุ่มชุมชนเกิดความสามารถในการแข่งขันด้านการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศได้มากขึ้น จึงได้ร่วมกันจัดตั้งโครงการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และผลิตภัณฑ์ชุมชนขึ้น โยมุ่งหมายที่จะให้คำปรึกษาด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากทีมงานผู้เชี่ยวชาญ โดยมอบหมายให้สภาอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เป็นผู้ดำเนินการ



“อบจ.ภูเก็ต จูเนียร์ลีก ประจำปี 2553”


นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ได้กล่าวถึง การจัดการแข่งขันฟุตบอล “อบจ.ภูเก็ต จูเนียร์ลีก” ประจำปี 2553 ว่า ด้วยทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ได้จัดการแข่งขันฟุตบอล อบจ.ภูเก็ต จูเนียร์ลีก เป็นประจำทุกปี โดยปีนี้เป็นปีที่ 3 ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 9 สิงหาคม – 18 กันยายน 2553 เพื่อส่งเสริมให้นักเรียน – นักศึกษาในสถาบันการศึกษาในจังหวัดภูเก็ตได้เล่นกีฬาฟุตบอล พร้อมเป็นการเสริมสร้างสุขภาพ พลานามัย และห่างไกลอบายมุขยาเสพติด พร้อมทั้งเฟ้นหาตัวนักกีฬาฟุตบอลที่มีความสามารถเป็นนักกีฬาทีมจังหวัดภูเก็ตเข้าแข่งในระดับภาค และประเทศในโอกาสต่อไป

สำหรับการแข่งขันฟุตบอล “อบจ.ภูเก็ต จูเนียร์ลีก” ประจำปี 2553 ได้มีทีมสถาบันการศึกษาในจังหวัดภูเก็ต เข้าร่วมการแข่งขันจำนวน 8 ทีม ประกอบด้วย วิทยาลัยเทคนิคภูเก็ต แชมป์เก่า โรงเรียนเมืองถลาง โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย โรงเรียนกะทู้วิทยา โรงเรียนเชิงทะเลวิทยาคม วิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติฯ จังหวัดภูเก็ตและโรงเรียนดาวรุ่งวิทยา ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 สาย สายละ 4 ทีม แข่งพบกันหมดในสาย เพื่อจัดอันดับในสาย และไปไขว้กันอีกสาย โดยที่ 1 จะไปพบที่ 2 อีกสาย และที่ 3 จะไปพบที่ 4 อีกสาย เพื่อจัดอันดับที่ 1 ถึง 8 ส่วนสนามที่ใช้การแข่งขันมี 2 สนามคือ สนามกีฬาสุระกุลและสนามโรงเรียนเชิงทะเลตันติวิท โดยจะเริ่มการแข่งขันในวันที่ 9 สิงหาคม 2553 ที่สนามกีฬาสุระกุล

นายไพบูลย์ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับรางวัลการแข่งขันในครั้งนี้ รางวัลชนะเลิศ ได้รับถ้วยรางวัลเกียรติยศ และถ้วยชนะเลิศครอบครอง ประกาศนียบัตรและเงินบำรุงทีม 30,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้รับถ้วยรางวัล ประกาศนียบัตรและเงินบำรุงทีม 20,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้รับถ้วยรางวัล ประกาศนียบัตรและเงินบำรุงทีม 10,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 ได้รับถ้วยรางวัล ประกาศนียบัตรและเงินบำรุงทีม 5,000 บาท

นอกจากนี้ ยังมีรางวัลในการแข่งขันแต่ละนัด จะได้รับเงินบำรุงทีม ทีมที่แข่งขันชนะการแข่งขันในแต่ละนัดจะได้รับเงินบำรุงทีมจำนวน 2,500 บาท ทีมที่แพ้ ได้รับเงินจำนวน 1,500 บาท ส่วนทีมที่เสมอ ได้รับเงินบำรุงทีมๆ ละ 2,000 บาท และการแข่งขันในครั้งนี้ ทางอบจ.ภูเก็ต ยังได้สนับสนุนลูกฟุตบอลแก่ทีมที่เข้าร่วมแข่งขันสำหรับใช้ในการฝึกซ้อมทีมละ 3 ลูกพร้อมชุดการแข่งขัน ทีมละ 25 ชุด

นายไพบูลย์ ยังกล่าวในตอนท้ายว่า ทางอบจ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของทีม FC ภูเก็ต ทีมที่มีคะแนนนำในฟุบอลดิวิชั่น 2 ภาคใต้ ซึ่งมีอาจารย์อาจหาญ ทรงงามทรัพย์ เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน โดยในการแข่งขันในครั้งนี้ ทางอาจารย์ จะมาดูการแข่งขันทุกทีม เพื่อคัดเลือกเยาวชนที่มีความสามารถ เพื่อคัดเลือกเข้าร่วมฝึกซ้อมกับทีม FC ภูเก็ต เพื่อที่จะได้เป็นตัวแทนทีมจังหวัดภูเก็ต เข้าร่วมการแข่งขันในรายการต่างๆ อีกด้วย จึงขอฝากถึงน้องๆ นักเรียน นักศึกษา ให้โชว์ความสามรถให้เต็มที่ พร้อมทั้งขอเชิญประชาชนทั่วไป เข้าร่วมชมการแข่งขันฟุตบอล “อบจ.ภูเก็ต จูเนียร์ลีก” ประจำปี 2553 ที่ สนามกีฬาสุระกุลและสนามโรงเรียนเชิงทะเลตันติวิท จังหวัดภูเก็ต


รพ.สิริโรจน์ MOU รณรงค์สวมหมวกนิรภัย 100%


เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2553 ที่ผ่านมา บริเวณชั้น 3 โรงพยาบาลสิริโรจน์ พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมือง ภูเก็ต และนายอนุรักษ์ ธารสิริโรจน์ กรรมการผู้จัดการ โรงพยาบาลสิริโรจน์ ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง การรณรงค์สวมหมวกนิรภัยในเขตเทศบาลนครภูเก็ต 100% โดยมีผู้บริหาร คณะแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ร่วมเป็นสักขีพยาน และในโอกาสเดียวกัน พ.ต.อ.วันไชย ได้มอบหมวกนิรภัย จำนวน 50 ใบ และ บรรยายพิเศษ เรื่อง การรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุในจังหวัดภูเก็ต แก่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลด้วย

ทั้งนี้พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต ได้กล่าวว่า สถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต ได้จัดโครงการรณรงค์สวมหมวกนิรภัยในเขตเทศบาลนครภูเก็ต 100% ซึ่งมีการเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ขับขี่และผู้นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ทั้งประชาชนทั่วไป ผู้ปกครองที่ต้องรับ – ส่งนักเรียน ตลอดจนผู้มีอาชีพขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างได้รับทราบ และตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมเป็นต้นมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เริ่มดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย โดยในช่วงแรกผู้นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ไม่สวมหมวกนิรภัย ต้องเข้ารับการอบรมเกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุครั้งละ 1 ชั่วโมง เพื่อปลูกฝังวินัยจราจร สร้างจิตสำนึกและค่านิยมที่ถูกต้องแก่ผู้ขับขี่ และ ผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ที่สำคัญคือ เพื่อปลูกฝังให้ตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตนเองบนท้องถนน

ปัจจุบันจังหวัดภูเก็ตมีรถรวมทุกประเภทกว่า 290,000 คัน ในจำนวนดังกล่าวเป็นรถจักรยานยนต์ จำนวน 280,000 คัน เฉลี่ยประชากร 1 คน ต่อรถ 1 คัน นับเป็นสถิติสูงสุดในประเทศ อีกทั้งยังเป็นจังหวัดที่มีอัตราการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจร สูงติดอันดับ 1 ใน 5 ของไทย คิดเป็นมูลค่าเสียหายทางเศรษฐกิจปีละ ประมาณ 1,355 – 1,462 ล้านบาท ซึ่งอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดกับรถจักรยานยนต์ โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเมือง

ด้านนายอนุรักษ์ ธารสิริโรจน์ กรรมการผู้จัดการโรงพยาบาลสิริโรจน์ กล่าวว่า โรงพยาบาลสิริโรจน์ เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกและแห่งเดียวในภาคใต้ที่ได้รับรางวัลสถานประกอบกิจการดีเด่น ด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ระดับประเทศ 7 ปีติดต่อกัน เนื่องจากโรงพยาบาลฯ เล็งเห็นความสำคัญในความปลอดภัยของพนักงานทั้งด้านชีวิตและทรัพย์สิน

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการร่วมรณรงค์สวมหมวกนิรภัยทั้งผู้ขับขี่และผู้นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์นั้น หากโรงพยาบาลฯ ได้รับการแจ้งชื่อพนักงานที่ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร จากสถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต โรงพยาบาลฯ จะตักเตือนด้วยวาจา หากยังกระทำผิด จะตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร และ บทลงโทษสูงสุด คือ พักงานตามดุลยพินิจของฝ่ายบริหาร อีกทั้งหากพนักงานประสบอุบัติเหตุ ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร พนักงานจะไม่ได้รับสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลใดๆ ทั้งสิ้น


วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มหกรรมหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน


เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 53 ที่โรงแรมภูเก็ตเมอร์ลิน อ. เมือง จ. ภูเก็ต นายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาตามโครงการ มหกรรมหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน รวมใจไทยทั้งชาติ พิทักษ์ราชด้วยภักดี จังหวัดภูเก็ต ปี 2553 โดยมี ผู้นำหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินจำนวน 54 หมู่บ้าน / ชุมชน ชุมชนละ 2 คน ปลัดอำเภอผู้รับผิดชอบงานหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินอำเภอละ 1 คน ประธานชมรมพลังแผ่นดินท้องถิ่นท้องที่สามัคคี อ. เมืองภูเก็ตและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม

ทั้งนี้ ศูนย์ปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดจังหวัดภูเก็ต (ศตส.จ.ภก.) ได้ร่วมกับชมรมพลังแผ่นดินท้องถิ่นท้องที่สามัคคี อำเภอเมืองภูเก็ต จัดทำโครงการ “มหกรรมหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน : รวมใจไทยทั้งชาติ พิทักษ์ราชด้วยภักดีจังหวัดภูเก็ต ปี 2553) ขึ้น เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่ผู้นำหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน ตั้งแต่ปี 2548 – 2552 ในแนวทางการขับเคลื่อนงานในระดับหมู่บ้าน / ชุมชนให้บรรลุเป้าหมาย เพื่อการพัฒนาและสร้างความยั่งยืนในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และเพื่อเทิดพระเกียรติและแสดงความจงรักภักดี สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้าน / ชุมชนโดยการรวมพลัง การพึ่งพาตนเองการระดมทุนทางสังคม เพื่อเอาชนะยาเสพติดอย่างยั่งยืน สนองพระราชปณิธาน


ภูเก็ตปลูกต้นไม้วันแม่กว่าพันต้น


เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2553 ที่โรงเรียนบ้านบางทอง ต.กะทู้ อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต นายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานในพิธีปลูกต้นไม้เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ 78 พรรษา 12 สิงหาคม 2553 โดยมีนายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายก อบจ.ภูเก็ต นายองอาจ ชนะชาญมงคล ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดภูเก็ต นางไทศิกา ไพรสงบ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดภูเก็ต สมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัด ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประชาชน นักเรียนและนักศึกษาเข้าร่วม

นายองอาจ ชนะชาญมงคล ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ตได้ร่วมกับสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดภูเก็ต ชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดภูเก็ต สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดภูเก็ต สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาภูเก็ต โรงเรียนบ้านบางทอง และหน่วยงานรัฐ ภาคเอชน จัดกิจกรรมปลูกต้นไม้ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ครบ 78 พรรษา 12 สิงหาคม 2553

สำหรับต้นไม้ที่ปลูก ประกอบด้วย ต้นราชพฤกษ์ จำนวน 780 ต้น กระจายปลูกใน 4 โรงเรียนในอำเภอกะทู้ ที่โรงเรียนบ้านบางทอง จำนวน 480 ต้น โรงเรียนกะทู้วิทยา จำนวน 100 ต้น โรงเรียนไทยรัฐวิทยา จำนวน 100 ต้น และโรงเรียนวัดเก็ตโฮ่ จำนวน 100 ต้น และกล้าไม้อื่นๆ เช่น ยางนา ประดู่ ไม้กฤษณา เป็นต้น พร้อมทั้งจัดทำสวนป่าโรงเรียน โดยปลูกตันสนปฏิพัทธ์ จำนวน 1,500 ต้น บนเนื้อที่ 10 ไร่ เพื่อสร้างป่าให้กับชุมชนและโรงเรียน เป็นการฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ให้มีต้นไม้ปริมาณมากขึ้น และเป็นแหล่งเรียนรู้การปลูกสร้างสวนป่าของโรงเรียน รวมทั้งสร้างรายได้จากการปลูกป่าให้กับโรงเรียนในอนาคตด้วย


ทต.รัษฎา สร้างเครือข่ายป้องกันยาเสพติด


เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2553 ที่ศาลาเฉลิมพระเกียรติฯ ชุมชนซอยกิ่งแก้ว ม.3 ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายอำพล โอ่อาจ รองนายกเทศมนตรีตำบลรัษฎา เป็นประธานเปิดกิจกรรมโครงการรณรงค์ป้องกันปัญหายาเสพติด (โรงเรียนสีขาว ภาคเรียนที่ 1/2553 และชุมชนปลอดยาเสพติด) โดยมี พ.ต.ท.ชัยวัฒน์ อุ้ยคำ รอง ผกก.ป.สภ.เมืองภูเก็ต พ.ต.ท.จรัญ บุญโสภาพ สวป.สภ.เมืองภูเก็ต ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับโทษและพิษภัยของยาเสพติดแก่ผู้เข้ารับการอบรม ซึ่งเป็นประชาชนในชุมชนซอยกิ่งแก้ว จำนวนประมาณ 100 คน ได้มีความรู้ ความเข้าใจและตระหนักถึงโทษและพิษภัยของยาเสพติด

นายอำพล โอ่อาจ รองนายกเทศมนตรีตำบลรัษฎา กล่าวว่า การโครงการดังกล่าว เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโทษและพิษภัยของยาเสพติด เพื่อให้ประชาชนได้รู้เท่าทันและไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน ซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของผู้ค้าและจำหน่ายยาเสพติดในปัจจุบัน

“ด้วยมีความเป็นห่วงลูกหลานซึ่งเป็นเยาวชน และจะเติบโตเป็นกำลังหลักของประเทศชาติต่อไป ดังนั้นเพื่อให้เขาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ ทุกภาคส่วนจึงจะต้องร่วมกันหาแนวทางและวิธีการในการปกป้องไม่ให้ภัยของยาเสพติดแผ่กระจายเข้ามาสร้างปัญหาให้กับชุมชน”

นายอำพล กล่าวด้วยว่า การอบรมครั้งนี้ถือเป็นการสร้างความร่วมมือกันระหว่าง ประชาชนในพื้นที่ เทศบาลตำบลรัษฎา และสถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ตในการเฝ้าระวังและสอดส่องพฤติกรรมของคนในชุมชน ซึ่งหากมีการพบเห็นผู้ค้าหรือผู้เสพยาเสพติด ประชาชนเหล่านี้จะได้ช่วยแจ้งเบาะแสไปยังเจ้าหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป


“รพสต.สะพานเชื่อมปฐมภูมิ สู่ตติยภูมิ”

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2553 ที่โรงแรมรอยัลภูเก็ตซิตี้ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการสาธารณสุขประจำปี 2553 เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 78 พรรษา 12 สิงหาคม 2553 “รพสต.สะพานเชื่อมปฐมภูมิ สู่ตติยภูมิ” โดยมีเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์และสาธารณสุขทั่วประเทศเข้าร่วมประมาณ 3,500 คน โอกาสเดียวกันนี้ยังได้มอบรางวัลผลงานวิชาการยอดเยี่ยม 2 รางวัลพร้อมเงินสดรางวัล 20,000 บาท รางวัลผลงานวิชาการดีเด่น 2 รางวัล พร้อมเงินสดรางวัลละ 10,000 บาท และมอบรางวัลการปฏิบัติงานให้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ดีเด่น ประจำปี 2552 จำนวน 22 รางวัล

ดร.พรรณสิริ กล่าวว่า เป็นที่น่ายินดีที่บุคลากรสาธารณสุขทั้งส่วนกลางและภูมิภาค มีความสนใจและมุ่งมั่นตั้งใจที่จะแลกเปลี่ยนความรู้ แนวคิด รวมถึงพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อนำไปพัฒนาปรับปรุงระบบงานให้เกิดประโยชน์ต่อวงการสาธารณสุขของประเทศ การจัดประชุมวิชาการเป็นประจำทุกปีนับเป็นเรื่องที่ดี นอกจากจะเป็นเวทีทางวิชาการที่รวบรวมผลงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนางานทางการแพทย์และสาธารณสุขแล้ว ยังเป็นช่องทางในการระดมความคิดที่เป็นแนวทางใหม่ๆ ก่อประโยชน์ต่อการพัฒนาโครงการ แผนงานที่รับผิดชอบให้บรรลุตามนโยบายของรัฐบาล และเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนไทยให้มีสุขภาพดีทั้งกายและใจ และเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 78 พรรษา 12 สิงหาคม 2553 นี้ ขอให้ชาวสาธารณสุขพร้อมใจกันนำกระแสพระเสาวนีย์ รวมทั้งพระราชกรณียกิจของพระองค์มาเป็นหลักในการทำภารกิจในบทบาทหน้าที่ที่รับผิดชอบให้ดีที่สุด เพื่อถวายเป็นเบื้องพระยุคลบาทเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ

ทางด้านนายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ผู้ได้รับผลงานวิชาการยอดเยี่ยม 2 เรื่อง ได้แก่ ผลงานเรื่อง “การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยโรคเลือดออกง่ายฮีโมฟีเลีย จ.น่าน ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” ของนางจุฬารัตน์ สุริยาทัย โรงพยาบาลท่าวังผา จ.น่าน และผลงานเรื่อง “ชุดทดสอบ สเตียรอยด์ 2 ชนิด คือ เด็กซ่าเมทาโซนและเพร็ดนิโซโลนในผลิตภัณฑ์สมุนไพร” ของนางสาววลัยลักษณ์ เมธาภัทร สำนักยาและวัตถุเสพติด ผลงานวิชาการดีเด่น 2 รางวัล ได้แก่ ผลงานเรื่อง “อุบัติการณ์กระดูกสะโพกหักในผู้สูงอายุจังหวัดลำปาง : ผลการศึกษา 10 ปีและการพยากรณ์ ของนายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ โรงพยาบาลลำปาง และผลงานเรื่อง “การสำรวจการได้รับวัคซีนในเด็กรักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และปีที่ 6 พ.ศ. 2551 ของนางสาวเอมอร ราษฎร์จำเริญสุข สำนักโรคติดต่อทั่วไป

สำหรับงานประชุมวิชาการในปีนี้ มีผู้นำเสนอผลงานวิชาการ 630 เรื่อง ครอบคลุมทุกสาขา ในจำนวนนี้มีการนำเสนอผลงานนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์เพื่อใช้ในการดูแลผู้เจ็บป่วย ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้พิการอีก 112 เรื่อง ซึ่งคณะกรรมการจะพิจารณาคัดเลือกเข้ารับรางวัลผลงานวิชาการยอดเยี่ยมในแต่ละประเภทต่อไป


วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เยาวชนนอกสถานศึกษาไม่ยุ่งเกี่ยวยาเสพติด


เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 53 ที่ศาลาประชาคมจังหวัดภูเก็ต อ.เมือง ภูเก็ต นายไชยวัฒน์ เทพี ปลัดจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมโครงการป้องกันเยาวชนนอกสถานศึกษาไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดประจำปี 2553 ซึ่งทางสำนักงานป้องกันจังหวัดภูเก็ต จัดขึ้น โดยมีผู้เข้ารับการฝึกอบรม ประกอบด้วย เยาวชนที่อยู่ในความดูแลและติดตามช่วยเหลือป้องกันไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ได้แก่ สำนักงานคุมประพฤติจังหวัดภูเก็ต สถานพินิจและคุ้มครองเด็กจังหวัดภูเก็ต ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต อำเภอเมืองภูเก็ต อำเภอถลาง อำเภอกะทู้ และศูนย์ต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดภาคประชาชน จำนวนรวม 275 คน ซึ่งใช้ระยะเวลาในการอบรม ระหว่างวันที่ 4 – 5 สิงหาคม นี้

ทั้งนี้นายวิโรจน์ สุวรรณวงศ์ ป้องกันจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้กำหนดนโยบายในการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด ซึ่งมีแนวโน้มการแพร่ระบาดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนที่ไม่ได้ศึกษาอยู่ในสถานศึกษาของรัฐหรือเอกชน จะมีความเสี่ยงสูงต่อการเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ตลอดจนกลุ่มที่เคยเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แม้จะเลิกพฤติการณ์ไปแล้ว แต่หากไม่มีระบบเฝ้าระวัง ติดตาม ช่วยเหลือ ดูแลอย่างต่อเนื่อง ทำให้เมื่อกลับสู่สังคมแล้ว ไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ หรือสังคมไม่ให้การยอมรับก็อาจกลับไปมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติดอีก

“เพื่อเป็นการป้องกันและลดปัญหาดังกล่าว ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ได้กำหนดให้มีการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ภายใต้โครงการป้องกันเยาวชนนอกสถานศึกษาไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ประจำปีงบประมาณ 2553 เพื่อดำเนินการตามยุทธศาสตร์ 5 รั้ว ป้องกันระยะที่ 2 ภายใต้ปฏิบัติการประเทศไทยเข้มแข็งเอาชนะยาเสพติดอย่างยั่งยืน เพื่อวางกลไกระบบเฝ้าระวังปัญหาพฤติกรรมและปัจจัยเสี่ยง หรือปัจจัยลบต่อการเข้าไปใช้ยาเสพติดของเยาวชนกลุ่มเสี่ยง สร้างปัจจัยบวกหรือพื้นที่เชิงบวกให้กลุ่มเยาวชน ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง ดูแลปัญหายาเสพติดเยาวชนกลุ่มเสี่ยง เป็นการสร้างภูมิต้านทานยาเสพติดให้แก่เยาวชนและชุมชน รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนให้มีการรวมกลุ่มสร้างแกนนำเยาวชนพัฒนากิจกรรมสร้างสรรค์ให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหายาเสพติดและโทษภัยด้านอื่นๆ”

นายวิโรจน์ กล่าวด้วยว่า หลังผ่านการอบรมไปแล้วจะสามารถพัฒนาเยาวชนกลุ่มเป้าหมายมิให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับวงจรยาเสพติด ขยายค่านิยมของชุมชน สังคม ให้การยอมรับการดำรงชีวิตอย่างปกติของบุคคลที่เคยมีพฤติการณ์ด้านยาเสพติด หรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมิให้วนกลับไปอีก นอกจากนี้ยังจะทำให้มีระบบติดตาม ช่วยเหลือ ดูแล ผู้เคยเกี่ยวข้องกับวงจรยาเสพติด พัฒนาความเข้มแข็งของครอบครัว ชุมชน สังคม ภายใต้คุณธรรม จริยธรรมตามหลักการขยายสถาปนาความมั่นคง ขยายสร้างความยั่งยืน ปรากฏผลเป็นรูปธรรมทั้งปริมาณและคุณภาพมากขึ้น


สัปดาห์สากลแห่งการเขียนจดหมาย


เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2553 ชั้นล่างอาคาร 6 โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานพิธีเปิดงานที่ระลึกสัปดาห์สากลแห่งการเขียนจดหมาย ประจำปี 2553 ซึ่งบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด โดยไปรษณีย์จังหวัดภูเก็ต และไปรษณีย์เขต 8 จัดขึ้น เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในบริการต่างๆ และส่งเสริมให้ผู้ที่สนใจได้เห็นประโยชน์ในการติดต่อสื่อสาร เพราะกิจการสื่อสารเป็นบริการที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตในสังคม ทั้งยังเกี่ยวเนื่องถึงเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง ตลอดจนการรักษาความมั่นคงของประเทศ อีกทั้งเป็นสิ่งเชื่อมโยงจิตใจระหว่างสถาบันครอบครัวกับมิตรสหายที่อยู่ห่างไกลกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยมีนายสมชัย ออมทรัพย์สิน ผู้จัดการฝ่ายไปรษณีย์เขต 8 นายบุญลือชัย เพิ่งรัตน์ หัวหน้าไปรษณีย์ภูเก็ต เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง คณะครู นักเรียน และผู้สนใจทั่วไป เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

นายสมชัย กล่าวว่า การจัดกิจกรรมเนื่องในงานที่ระลึกสัปดาห์สากลแห่งการเขียนจดหมาย ประจำปี 2553 เพื่อระลึกถึงวันสำคัญในประวัติศาสตร์ที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้ร่วมกันลงนามในอนุสัญญาสากลไปรษณีย์ฉบับแรก และก่อตั้งองค์การสหภาพสากลไปรษณีย์ขึ้น ณ กรุงเบอร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2417 เพื่อวางรากฐานการไปรษณีย์ระหว่างประเทศ ให้เป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติตราบจนทุกวันนี้ และต่อมาเมื่อเดือนสิงหาคม 2500 ที่ประชุมใหญ่ของสหภาพสากลไปรษณีย์ ครั้งที่ 14 ณ กรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา ผู้แทนประเทศภาคี สมาชิกจำนวน 96 ประเทศ รวมทั้งผู้แทนจากประเทศไทย ได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ในอันที่จะส่งเสริมการเขียนจดหมายติดต่อกันระหว่างประชาชนในชาติต่างๆ ให้กว้างขวางแพร่หลายทั้งในและระหว่างประเทศ โดยมิจำกัดเชื้อชาติหรือเหตุผลทางการเมือง รวมทั้งธำรงไว้ซึ่งความสงบสุขแห่งโลกทั้งมวลตามหลักการขององค์การสหประชาชาติ จึงได้เชิญชวนให้บรรดาประเทศภาคีสมาชิกจัดงานที่ระลึกสัปดาห์สากลแห่งการเขียนจดหมายขึ้นทุกปี ในระหว่างสัปดาห์สากลแห่งการเขียนจดหมายขึ้นทุกปี ในระหว่างสัปดาห์ช่วงที่อยู่ในวันที่ 9 ตุลาคม อันเป็นวันคล้ายวันก่อตั้งสหภาพสากลไปรษณีย์ ซึ่งในส่วนของประเทศไทยทางคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด จัดนิทรรศการและการบรรยายบริการต่างๆ หมุนเวียนออกไปเผยแพร่แก่ประชาชนทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นการอำนวยประโยชน์และเป็นที่สนใจของประชาชน รวมทั้งนักเรียน นิสิต และนักศึกษาอย่างกว้างขวาง

สำหรับจังหวัดภูเก็ต กำหนดจัดงานกิจกรรมภายในงานที่ระลึกสัปดาห์สากลแห่งการเขียนจดหมาย ประจำปี 2553 ระหว่างวันที่ 4 – 8 สิงหาคม 2553 ตั้งแต่เวลา 09.00 – 17.00 น. ณ ชั้นล่าง อาคาร 6 โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย อ.เมือง จ.ภูเก็ต ภายในงานมีกิจกรรม ประกอบด้วย การเขียนไปรษณียบัตรถวายพระพรในหลวงฟรี ถ่ายภาพแสตมป์ที่ระลึกที่ไม่เหมือนใคร เขียนจดหมายส่งให้เพื่อนคนรัก ฟรี เล่นเกมลุ้นของที่ระลึกจากไปรษณีย์ การประกวดร้องเพลงคาราโอเกะชิงทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนและนักศึกษา นอกจากนี้ยังมีการจำหน่ายของที่ระลึกจากไปรษณีย์ การจัดนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติไปรษณีย์ไทย และอื่นๆ อีกมากมาย นายสมชัย กล่าว


รพ.กรุงเทพภูเก็ต MOU สภ.เมือง สวมหมวกนิรภัย 100%


เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 53 ที่ห้องประชุมภูเก็ต ชั้น 3 โรงพยาบาลกรุงเทพ ภูเก็ต พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมือง ภูเก็ตและนพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการรณรงค์สวมหมวกนิรภัย ตามโครงการ “รณรงค์สวมหมวกนิรภัยในเขตเทศบาลนครภูเก็ต 100 เปอร์เซ็นต์ และร่วมแถลงข่าวการวางมาตรการต่างๆ เพื่อปลูกฝังวินัยจราจร ปลูกจิตสำนึกและค่านิยมที่ถูกต้องให้แก่พนักงาน โดยเน้นให้ตระหนักถึงความปลอดภัยของผู้ที่ขับขี่รถจักรยานยนต์รวมถึงผู้ที่ซ้อนท้าย และในโอกาสนี้ ทางสภ.เมืองภูเก็ต ได้จัดเจ้าหน้าที่ให้มีการอบรมแก่พนักงานที่ไม่สวมหมวกนิรภัยด้วย

ทั้งนี้ นพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต ได้กล่าวว่า ทางโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตได้ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของพนักงานเป็นอันดับหนึ่ง จึงได้เข้าร่วมโครงการฯ และให้ความร่วมมือกับสถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต โดยตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้เริ่มรณรงค์ให้พนักงานตระหนักถึงความปลอดภัยบนท้องถนนผ่านช่องทางการสื่อสารภายในโรงพยาบาลฯ บอร์ดประชาสัมพันธ์ และได้ร่วมกับคุณสุนันทา ศุทธมงคล เจ้าของร้าน ส.เจริญการช่าง(ฮับเอก) นำหมวกกันน๊อคมาเปิดร้านจำหน่ายในราคาพิเศษตลอดทั้งเดือนกรกฎาคมและต้นเดือนสิงหาคม เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่พนักงานและผู้ที่เข้ามาใช้บริการภายในโรงพยาบาลฯ อีกทั้งยังมีการวางมาตรการควบคุมจากฝ่ายทรัพยากรบุคคล โดยหากพบเห็นพนักงานไม่สวมหมวกนิรภัยจะมีการตักเตือนด้วยวาจา 1 – 2 ครั้ง และในครั้งที่ 3 จะมีโทษทางวินัย คือ ลงบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งจะมีผลต่อคะแนนวินัย รวมถึงการประเมินผลพนักงานและโบนัสประจำปี เพื่อให้พนักงานได้ตระหนักถึงความสำคัญของการสวมหมวกนิรภัยและร่วมกันปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด และเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่บุคคลภายนอก นอกจากนี้ยังช่วยลดจำนวนของการเกิดอุบัติเหตุจราจรที่สร้างความสูญเสียและมีสถิติเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบันให้มีปริมาณลดลงต่อไป

ด้านพ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมือง ภูเก็ต ได้กล่าวว่า การที่ได้เข้ามาร่วมกับทางโรงพยาบาลในการรณรงค์สวมหมวกในครั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่พยาบาล ต้องทำงานร่วมกัน ซึ่งเมื่อเกิดเหตุ ทางเจ้าหน้าที่ก็ต้องส่งผู้ป่วยมาโรงพยาบาล หรือแม้กระทั่งเสียชีวิต ก็ยังต้องส่งมาโรงพยาบาลทำการชันสูตรศพ ซึ่งอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ยังจะสร้างความสูญเสียทรัพย์สินของทางราชการ หรือทรัพย์สินของผู้ที่ประสบอุบัติเหตุ หากถึงชีวิตก็ต้องสูยเสียบุคคลที่รักไป จากสถิติที่ผ่านจังหวัดภูเก็ตมีรถทุกประเภท 297,645 คัน ในจำนวนนี้เป็นรถจักรยานยนต์จำนวน 280,183 คัน อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถจักรยานยนต์จึงมีมากกว่ารถประเภทอื่นถึง 16.7 เท่า และที่ผ่านมาจากสถิติที่ทางสภ.เมืองภูเก็ต ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่สวมหมวกนิรภัยมีจำนวน 60% ส่วนผู้ที่ซ้อนท้ายสวมหมวกนิรภัยเพียง 4% และไม่มีการสวมหมวกนิรภัยให้แก่เด็กเล็กเลย ซึ่งนับเป็นสถิติที่สูงสุดในประเทศไทย และจังหวัดภูเก็ตยังมีอัตราการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรติดอันดับต้นของประเทศอีกด้วย จึงได้จัดโครงการรณรงค์สวมหมวกกันน๊อคในเขตเทศบาลนครภูเก็ต 100% ขึ้น และให้ความสำคัญกับกิจกรรมรณรงค์ในครั้งนี้ จึงนับเป็นการร่วมมือกันระหว่างองค์กรภาครัฐและเอกชนที่จะช่วยกันลดปัญหาจราจรในจังหวัดภูเก็ตได้อย่างสัมฤทธิ์ผลต่อไป



ภูเก็ตประเมินผลการปฏิบัติงานด้านจราจร


เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 ที่ห้องใบเรือ โรงแรมโบ๊ทลากูน รีสอร์ท อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดโครงการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดภูเก็ต ซึ่งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ต จัดขึ้น เพื่อให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดภูเก็ต มีการดำเนินงานในเชิงบูรณาการที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเพื่อสรุปบทเรียนและรับทราบปัญหา และข้อเสนอแนะของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด ในการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในระดับพื้นที่ เพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนต่อไป โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เช่น ตำรวจภูธรจังหวัด ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แขวงการทางจังหวัดภูเก็ต สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต เป็นต้น

นายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จากสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนของจังหวัดภูเก็ตที่ผ่านมา มีอัตราการบาดเจ็บและการเสียชีวิตสูง ทั้งนี้สาเหตุสำคัญเนื่องจากจังหวัดภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยว มีการใช้ยวดยานพาหนะตลอด 24 ชั่วโมง ประกอบกับจังหวัดภูเก็ตมีรถทุกประเภทจำนวนกว่าสองแสนเก้าหมื่นคัน เป็นรถจักรยานยนต์สองแสนกว่าคัน เทียบเป็นประชากร 1 คัน ต่อรถ 1 คัน ซึ่งถือเป็นอัตราการครอบครองรถจักรยานยนต์สูงที่สุดในประเทศไทย

ที่ผ่านมาศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดภูเก็ต ได้ดำเนินการป้องกันลดอุบัติเหตุทางถนนทั้งในช่วงปกติและช่วงเทศกาลสำคัญอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ การบาดเจ็บ การเสียชีวิต และมีหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน ตลอดจนสมาชิก อปพร. องค์กรเครือข่ายด้านสาธารณภัย เป็นกำลังสำคัญที่มีบทบาทอย่างสำคัญที่เข้ามามีส่วนร่วมช่วยเหลือและสนับสนุนกิจกรรมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนของจังหวัด ซึ่งการประชุมร่วมกันจะเป็นแนวทางในการสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมในการผลักดันการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในระดับพื้นที่ ตามแผนปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในระดับพื้นที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้นำข้อมูลที่ได้รับไปพัฒนาปรับปรุงมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ทั้งในระดับจังหวัดและส่วนกลางต่อไป นายนิวิทย์กล่าว

ทางด้าน นพ.วิวัฒน์ ศีตมโนชญ์ กล่าวว่า ภูเก็ตมีอัตราการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุการจราจรสูงอันดับ 1 – 5 ของประเทศมาเป็นเวลาหลายปี โดยมีอัตราการบาดเจ็บ 33 – 35 คนต่อวัน และเสียชีวิต 15 – 16 คนต่อเดือน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจปีละประมาณ 1,355 – 1,492 ล้านบาท หรือวันละ 3.7 – 4 ล้านบาท ซึ่งการแก้ปัญหาในช่วงที่ผ่านมาสามารถลดการเสียชีวิตลงได้ปีละประมาณ 70 ปี มี เริ่มจากการพูดคุย วิเคราะห์หาจุดเสี่ยง และลงมือแก้ไข เช่น ติดตั้งกรวย เกาะกลาง ไฟจราจร ไฟกะพริบ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการบังคับใช้กฎหมายของทางตำรวจ การแก้ไขวิศวกรรมจราจรของทางแขวงการทาง การจัดให้มีสายตรวจสาธารณภัยของทางสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและขนส่ง รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ


วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

“วิวาห์หวานบาบ๋า...สุดปลายฟ้าอันดามัน”


เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 53 ที่บริเวณสนามหญ้าหน้า ร้านอาหาร Blue Elephant อ.เมือง จ.ภูเก็ต นางสาววรรณประภา สุขสมบูรณ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานภูเก็ต พร้อมด้วยนายแพทย์โกศล แตงอุทัย นายกสมาคมเพอรานากันจังหวัดภูเก็ต นางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา นายกเทศมนตรีเทศบาลนครภูเก็ต นายสมบูรณ์ จิรายุส นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต และนางไทยศิกา ไพรสงบ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดภูเก็ต ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงาน “วิวาห์หวานบาบ๋า...สุดปลายฟ้า อันดามัน” “Phuket Baba..Wedding” ซึ่งกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 – 15 สิงหาคม 53 ที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจังหวัดภูเก็ต และเป็นการประชาสัมพันธ์เผยแพร่วิถีชีวิต ประเพณีอันดีงามของชาวบาบ๋าเพอรานากันจังหวัดภูเก็ต และเพื่อให้ภูเก็ตเป็นสถานที่ฮันนีมูนสุดแสนโรแมนติกของคู่แต่งงานทั่วโลก

ทั้งนี้นางสาววรรณประภา กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้จะเป็นการนำวัฒนธรรมประเพณีการแต่งงานดั่งเดิมของจังหวัดภูเก็ต มาส่งเสริมการท่องเที่ยว และเป็นการประชาสัมพันธ์ให้จังหวัดภูเก็ตเป็นจุดหมายปลายทางของคู่แต่งงาน ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาจังหวัดภูเก็ตได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากคู่รักชาวต่างชาติที่เลือกมาจัดงานแต่งงานและฮันนีมูนที่จังหวัดภูเก็ต อาทิเช่น อินเดีย, เกาหลี, จีน, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลียและเยอรมัน ซึ่งการจัดงานดังกล่าวจะประชาสัมพันธ์และกระตุ้น การรับรู้ ให้กลุ่มแต่งงานและกลุ่มครอบครัวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตเพิ่มมากขึ้น

สำหรับกิจกรรมดังกล่าวนักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถร่วมแบ่งปันประสบการณ์ย้อนอดีตในสไตล์บาบ๋าเพอรานากันภูเก็ตได้ที่จังหวัดภูเก็ตเพียงแห่งเดียวเท่านั้น โดยเริ่มจากวันที่ 14 สิงหาคม 2553 เวลา 16.30 – 20.00 น. ผู้เข้าร่วมงานวิวาห์หวานบาบ๋า...สุดปลายฟ้าอันดามัน และผู้สนใจทั่วไปทำ “ขนมสด” และร่วมรับประทานอาหารว่างหรอยๆ ทานขนมและฟังดนตรีได้ที่บ้านหงส์หยก ถนนเทพกษัตรีย์ โดยซื้อบัตรวันทำขนมสดราคา 200 บาท ได้ที่สมาคมเพอรานากัน

จากนั้นในวันที่ 15 สิงหาคม 53 เวลา 08.00 – 11.00 น. ร่วมชมความสวยงามของขบวนแห่คู่บ่าวสาวในชุดแต่งงานแบบบาบ๋า จากนั้นในเวลา 12.00 – 13.00 น. ร่วมรับประทานอาหารกลางวันที่ เดอะเลค สนามกอล์ฟภูเก็ตคันทรีคลับ ซื้อบัตรรับประทานอาหารกลางวันราคา 300 บาทได้ที่สมาคมเพอรานากัน โทร 076 – 224316

ด้านนายแพทย์ โกศล แตงอุทัย นายกสมาคมเพอรานากันภูเก็ต กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้เป็นการจัดงานแต่งงานตามประเพณีดั้งเดิมของจังหวัดภูเก็ตซึ่งเป็นการถ่ายทอดประเพณีวัฒนธรรมของจังหวัดภูเก็ตสู่สายตาของนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ

อย่างไรก็ตามงานดังกล่าวจะรับสมัครคู่รักเพียง 18 คู่ โดยผู้ที่เข้าร่วม “วิวาห์หวานบาบ๋า...สุดปลายฟ้า อันดามัน” จะต้องเสียค่าใช้จ่ายคู่ละ 39,000 บาท ซึ่งจะรวมชุดแต่งงาน, ที่พัก, พิธีการ, ชุดของขวัญสำหรับคู่บ่าวสาวและแพคเก็จสำหรับฮันนีมูน คู่รักคู่ใดสนใจติดต่อสมัครได้ที่สมาคมเพอรานากัน ภายในวันที่ 5 สิงหาคม 2553

ขณะที่นายสมบูรณ์ จิรายุส นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ทางสมาคมพร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่และที่ผ่านจังหวัดภูเก็ตได้รับการตอบรับจากคู่ฮันนีมูนเลือกที่จะมาฮันนีมูนที่จังหวัดภูเก็ตเป็นจำนวนมาก ซึ่งในการจัดงานในครั้งนี้มีหลายโรงแรมที่มอบข้อเสนอพิเศษให้กับคู่แต่งงานที่เข้าร่วมงานแต่งงาน “วิวาห์หวานบาบ๋า...สุดปลายฟ้า อันดามัน”



“แฟนตาซีคิดดี” โครงการดีๆ เพื่อน้องๆ


ภูเก็ตแฟนตาซีให้การสนับสนุนโครงการดีๆ เพื่อสังคมเสมอมา และในวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้มีโอกาสต้อนรับน้องๆ เยาวชนกว่า 3,000 คน จากโรงเรียนเมืองถลาง โรงเรียนเกาะสิเหร่ และโรงเรียนภูเก็ตเทคโนโลยีที่เดินทางมาเที่ยวชมภูเก็ตแฟนตาซี และชมการแสดงอันวิจิตรตระการตา ซึ่งถ่ายทอด และแสดงถึงวัฒนธรรมอันดีงามของไทย “มหัศจรรย์กมลา” รอบพิเศษ เวลา 15.00 น. ณ โรงละครวังไอยรา

ในโอกาสนี้ นายกิตติกร คิ้วคชา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ภูเก็ตแฟนตาซี จำกัด (มหาชน) ได้มอบทุนการศึกษาให้แก่โรงเรียนเมืองถลาง โรงเรียนเกาะสิเหร่ และโรงเรียนภูเก็ตเทคโนโลยี ภายใต้ชื่อโครงการ “แฟนตาซีคิดดี (FantaSea Kiddy Project)”

นายกิตติกรกล่าวว่า “โครงการ “แฟนตาซีคิดดี” เป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์คือ ทำดี คิดดีเพื่อเด็กๆ โดยเริ่มต้นจากเจตนารมณ์ที่คิดดี และทำดีเพื่อตอบแทนสังคม กิจกรรมหนึ่งในโครงการนี้คือ การเปิดโอกาสให้น้องๆ เยาวชนเดินทางมาเที่ยวชมภูเก็ตแฟนตาซี โดยไม่หวังผลกำไร นอกจากนี้ ได้มอบทุนการศึกษาจำนวน 500 ทุน ซึ่งแบ่งเป็นทุนการศึกษาละ 1,000 บาท คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 500,000 บาท ให้แก่โรงเรียนต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ตอีกด้วย”

“นอกจากการมอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กนักเรียนแล้ว บริษัทฯ ยังมีโครงการที่จะทำเพื่อเด็กๆ อีกหลายโครงการ ซึ่งบริษัทฯ หวังว่า จะเป็นการส่งเสริมให้เด็กๆ ที่เป็นอนาคตของชาติเป็นคนดีของสังคมต่อไป” นายกิตติกรกล่าวในตอนท้าย


ชปส.กะทู้จับผู้ค้ายาไอซ์ลอตใหญ่ยกแกงค์


เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 53 ที่ห้องประชุมชั้น 3 สภ.กะทู้ จ.ภูเก็ต พ.ต.อ.โกมล วัตรากรณ์ รอง.ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พ.ต.อ.อารยะพันธุ์ พุกบัวขาว ผกก.สภ.กะทู้ พ.ต.ท.อกนิษฐ์ ด่านพิทักษ์ศาสน์ สวป.-หน.ชปส.สภ.กะทู้ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมแกงค์ยาไอซ์ในพื้นที่ ต.ป่าตอง ประกอบด้วย นายสมชาย ทองแท่งใหญ่ อายุ 38 ปี นายกิตติชัย ประพันธ์พจน์ อายุ 30 ปี นายมานิตย์ สุจริยา อายุ 35 ปี น.ส.นันทาศิริ บุญศรี อายุ 25 ปี น.ส.ธารีรัตน์ ศรีวัง อายุ 22 ปี และ น.ส.มลวิภา เครือสาร อายุ 23 ปีพร้อมของกลางยาไอซ์ 17 ถุง น้ำหนัก 21.8 กรัม ยาบ้า 90 เม็ด ในข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 ยาไอซ์-ยาบ้าไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย

ทั้งนี้พ.ต.อ.โกมล วัตรากรณ์ รอง.ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต ได้กล่าวว่าเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 53 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ชุดชปส.สภ.กะทู้ ได้จับกุมนายสมชายพร้อมยาไอซ์จำนวน 7 ถุง น้ำหนัก 8.4 กรัมได้ที่ห้องเช่าไม่มีเลขที่ ห้องหมายเลข 1 ถ.50 ปี ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จากนั้นได้ขยายผลจับกุมน.ส.นันทาศิริ นายมานิตย์ น.ส.ธารีรัตน์ และสามารถจับกุมนายกิตติชัย ซึ่งเป็นเอเย่นต์ใหญ่ในการจำหน่ายยาไอซ์ให้แก่กลุ่มผู้ต้องหาพร้อม น.ส.มลวิภาแฟนสาวได้ในเวลาต่อมาพร้อมยาไอซ์ 8.9 กรัมและยาบ้าอีก 90 เม็ด

โดยนายสมชายเพิ่งพ้นโทษออกจากคุกเมื่อ 7 เดือนที่ผ่านมาในข้อหายาเสพติด แต่ยังคงมีพฤติกรรมลักลอบจำหน่ายยาไอซ์อย่างต่อเนื่อง โดยรับยาไอซ์มาจากนายกิตติชัยในราคาจีละ 4,500 บาท น้ำหนัก 1 กรัม จากนั้นจะนำมาแบ่งเป็น 2 ถุงๆ ละ 0.5 กรัม เพื่อนำไปขายให้กับกลุ่มคนทำงานกลางคืนตามสถานบันเทิงต่างๆ ในราคาถุงละ 3,500 – 4,000 บาท โดยนายกิตติชัยจะรับยาไอซ์มาจากเอเย่นต์ใหญ่ใน จ.ภูเก็ตอีกทอดหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ ชปส.กำลังแกะรอยติดตามจับกุมอยู่