จำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

ยื่นหนังสือค้านการขุดเจาะอุโมงค์


เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2554 ที่บริเวณศาลากลางจังหวัดภูเก็ต ตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการขุดเจาะอุโมงค์กะทู้-ป่าตอง นำโดยนายวิชาญ สวัสดิรักษ์ อดีตกำนันตำบลป่าตอง และนายบุญเลิศ วัญญัตติกุล ได้ยื่นหนังสือถึงนายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ผ่านทางนายประพันธ์ ขันธ์พระแสง หัวหน้าศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดภูเก็ต เพื่อคัดค้านการจัดทำโครงการศึกษาความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วิศวกรรมและผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการทางหลวงสายใหม่กะทู้ – ป่าตอง (อุโมงค์ป่าตอง)

นายวิชาญ กล่าวว่า ผลสรุปจากการศึกษาโครงการขุดเจาะอุโมงค์ป่าตอง ซึ่งทางเทศบาลเมืองป่าตองได้ว่าจ้างศูนย์วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บริษัท แอพซีลอน จำกัด และบริษัท แพลนโปร จำกัด ทำการศึกษาความเหมาะสมการขุดเจาะอุโมงค์ป่าตอง เสนอทางเลือกทั้งหมด 4 แนวทาง แต่ที่เหมาะสมที่สุด คือทางเลือกที่ 2 โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่ประมาณกม.0+850 ทางหลวงหมายเลข 4029 บริเวณสนามแข่งรถ Go-Kart Speed Way ซ้อนทับถนนสายเดิมยาวประมาณ 500 เมตร แล้วจะเบี่ยงช้ายขึ้นไปลอดเขานาคเกิด ซึ่งเป็นอุโมงค์ยาวประมาณ 1,165 เมตร ตัดผ่านถนนพิสิฐกรณีย์ ยาว 204 เมตร แล้วมาบรรจบกับถนนผังเมืองสาย ก. ซึ่งเป็นทางยกระดับมีความยาวประมาณ 2.95 กิโลเมตร ซึ่งจะส่งผลกระทบกับชุมชนบ้านมอญ และก่อนหน้านี้ก็เคยมีการคัดค้านด้วยเช่นกัน

“เนื่องจากปากทางออกอุโมงค์ฝั่งป่าตองได้ตัดผ่านหมู่บ้านมอญ ทำให้ชาวบ้านประมาณ 58 ครัวเรือนได้รับความเดือดร้อน เพราะพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นที่อยู่อาศัยและประกอบอาชีพของชาวบ้าน ซึ่งนอกจากการยื่นหนังสือคัดค้านผ่านทางจังหวัดภูเก็ตแล้ว ก็ได้มีการยื่นหนังสือคัดค้านผ่านทางเทศบาลเมืองป่าตองและอำเภอกะทู้ ด้วย”

นายวิชาญ กล่าวด้วยว่า ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะมีการเจาะอุโมงค์ ควรจะหาวิธีการอื่นๆในการแก้ปัญหาเรื่องของจราจร เพราะจะเกิดผลกระทบกับชาวบ้านเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่ตั้งบ้านเรือนและประกอบอาชีพอยู่บริเวณใกล้กับทางออกของอุโมงค์ซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่ ส่วนที่จะมีการจ่ายค่าเวนคืนนั้นก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะจ่ายจำนวนมากน้อยเพียงใด และหากชาวบ้านยอมรับค่าเวนคืนก็ไม่สามารถที่จะหาซื้อที่ดินได้ใหม่ เนื่องจากราคาที่ดินในป่าตองสูงมาก


บาร์เบียร์ขอยืดหยุ่นเวลาปิดให้บริการ


เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2554 ที่ห้องทำงานผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายนิวัตร ชนะจิตร ประธานกลุ่มผู้ประกอบการสถานบันเทิงในพื้นที่ฉลอง กะตะและกะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต พร้อมด้วยนายธนบดี โชคสกุลพันธ์ ทนายความที่ปรึกษากลุ่มฯ และตัวแทนอีกจำนวนหนึ่ง ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เพื่อขอให้ยืดหยุ่นการเปิด-ปิดสถานบันเทิงและบาร์เบียร์ ให้เหมือนกับพื้นที่ป่าตอง เนื่องจากได้รับผลกระทบอย่างหนักหลังเจ้าหน้าที่เพิ่มความเข้มในการตรวจสถานบันเทิง

โดยนายนิวัตร ชนะจิตร ประธานกลุ่มผู้ประกอบการสถานบันเทิงในพื้นที่ฉลอง กะตะและกะรน กล่าวว่า ขณะนี้ทางผู้ประกอบการได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก เนื่องจากนโยบายให้สถานบันเทิง/บาร์เบียร์ปิดให้บริการในเวลา 1 นาฬิกา โดยไม่มีข้อยืดหยุ่น ทำให้ผู้ประกอบการสูญเสียรายได้ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวอย่างมาก ประกอบกับในการประกอบการก็จะต้องมีการเช่าพื้นที่ซึ่งมีทั้งรายปีและรายเดือน นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานต่างๆ มาขอรับเงินบริจาคเป็นประจำ ส่งผลให้มีความเดือดร้อนหนัก และจากการประชุมร่วมกันของผู้ประกอบการมีความเห็นว่าขอปิดให้บริการเช่นเดียวกับสถานบันเทิง/บาร์เบียร์ในพื้นที่ป่าตอง

เหตุที่ต้องมีการขอขยายเวลาให้บริการ เนื่องจากพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการสถานบันเทิงหรือบาร์เบียร์นั้นจะเป็นช่วงประมาณเกือบเที่ยงคืน ดังนั้นหากปิดเวลา 1 นาฬิกา ก็ทำให้มีช่วงระยะเวลาในการให้บริการที่สั้น และในปัจจุบันการท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจทำให้มีนักท่องเที่ยวลดน้อยลง และจากการปิดสถานบันเทิงเร็วก็จะเป็นจุดอ่อนที่ประเทศคู่แข่งทางด้านการท่องเที่ยวนำไปใช้ประโยชน์สำหรับดึงนักท่องเที่ยวได้ นายนิวัตร กล่าว และกล่าวด้วยว่า เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ก็อยากให้มองผลกระทบกับผู้ประกอบการด้วย หากเป็นไปได้ก็อยากให้เลื่อนเวลาในการปิดให้บริการไปเป็นเวลา 5-6 นาฬิกา

ขณะที่นายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวภายหลังรับหนังสือร้องเรียน ว่า เหตุที่จะต้องมีความเข้มงวด เนื่องจากขณะนี้ทางกระทรวงมหาดไทยได้เลือกพื้นที่อำเภอเมืองภูเก็ตนำร่องในการดำเนินการสถานบันเทิงสีขาว โดยจะต้องปลอดจากยาเสพติด เด็กอายุต่ำกว่า 20 บริการ ไม่ให้มีการแสดงโชว์ลามกอนาจาร ตลอดจนการพกพาอาวุธ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น ส่วนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่นั้นยืนยันว่าไม่ได้มีการเลือกปฏิบัติ สำหรับปัญหาที่ผู้ประกอบการยื่นหนังสือมานั้นก็จะได้นำข้อร้องเรียนดังกล่าวเสนอไปยังหน่วยเหนือพิจารณาต่อไป


หาข้อสรุปเมืองต้นแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์


เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2554 ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานการประชุมการระดมความคิดเห็นของกลุ่มเป้าหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัด โครงการเมืองต้นแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อระดมความคิดเห็นว่าเมือง/ชุมชนใดในจังหวัด ควรจะได้รับการเสนอเพื่อคัดเลือกเป็นเมืองต้นแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยมีหน่วยงานภาครัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และตัวแทนชุมชน เข้าร่วม

โครงการดังกล่าวดำเนินการโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากรัฐบาลมีนโยบายสำคัญในการเร่งดำเนินการการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศ และที่มีผลกระทบจากต่างประเทศ โดยกำหนดให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการจัดทำแผนงานโครงการเพื่อขับเคลื่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและท่องเที่ยวอย่างบูรณาการ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นแก่ภาคประชาชนและเอกชนในการบริโภคและการลงทุน โดยพัฒนาจังหวัดที่มีศักยภาพเป็นเมืองเศรษฐกิจสร้างสรรค์ทั่วประเทศ และคัดเลือกเป็นเมืองต้นแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากจังหวัดที่มีความโดดเด่นทางภูมิปัญญา ศิลปวัฒนธรรม ที่สามารถนำไปพัฒนาสร้างจุดเด่นให้แก่สินค้าหรืบริการของจังหวัด และสร้างรายได้ให้แก่ท้องถิ่นประเทศชาติได้ ประมาณ 10 จังหวัดทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ

วัตถุประสงค์ของการจัดทำโครงการนั้น เพื่อให้เกิดเมืองต้นแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ขึ้นทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เป็นตัวอย่างการดำเนินงานให้กับประชาชนในภูมิภาคและท้องถิ่นต่างๆ ใช้เป็นแนวทางในการสร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างรายได้ภายในพื้นที่ โดยการนำภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่นมาเชื่อมโยงเป็นเรื่องราวกับสินค้าและบริการของเมืองเกิดเป็นเอกลักษณ์ของเมืองที่จะสร้างงาน สร้างรายได้แก่คนในท้องถิ่นและประเทศชาติได้ สร้างความตื่นตัว แรงกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมและให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ตลอดจนสร้างโอกาสทางสังคมและเศรษฐกิจให้แก่คนในชุมชนและจังหวัด สามารถพัฒนาเป็นเมืองเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างเป็นรูปธรรม

อย่างไรก็ตามหลังจากที่มีการนำเสนอข้อคิดอย่างกว้างขวางแล้ว นายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการนำเสนอว่าจะเสนอเมืองหรือชุมชนเพื่อดำเนินการให้เป็นเมืองต้นแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ก็มอบหมายให้ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานภูเก็ต สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต และมหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต ไปดำเนินการจัดทำรายละเอียดของพื้นที่ที่มีความเหมาะสมในการนำเสนอ และนำมาขอรับความเห็นชอบจากที่ประชุมอีกครั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้


อบจ.ภูเก็ตประชุมเครือข่ายพัฒนาท้องถิ่น


เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2554 ที่ห้องประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานการประชุมศูนย์เครือข่ายเพื่อแก้ไขปัญหาและส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของจังหวัดภูเก็ต (Phuket Clinic Center)โดยมีคณะผู้บริหาร อบจ.ภูเก็ต สมาชิกสภา หัวหน้าส่วนราชการอบจ.ภูเก็ต ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ เข้าร่วม

สำหรับการประชุมในครั้งนี้ ได้มีการแจ้งผลการประชุมคณะอนุกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับ จังหวัดภูเก็ต กรณีการตั้งงบประมาณหมวดเงินอุดหนุนเกินอัตราที่กำหนด ประจำปีงบประมาณ 2554 และชี้แจงการขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต อีกทั้งหารือการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในภาพรวมของจังหวัดภูเก็ต รวมถึงโครงการศึกษาดูงานในต่างประเทศ เกี่ยวกับการบริหารท้องถิ่นและการจัดการจังหวัดภูเก็ตให้เป็นเมืองท่องเที่ยวปลอดมลพิษ


“เทศกาลอาหารพื้นเมืองของดีชาวภูเก็ต” ครั้งที่ 3


เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2554 ที่เวทีกลางสะพานหิน เทศบาลนครภูเก็ต อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต นายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดงาน “เทศกาลอาหารพื้นเมืองของดีชาวภูเก็ต” (PHUKET LOCAL FOOD FESTIVAL) ครั้งที่ 3 โดยมีนายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต คณะผู้บริหาร อบจ.ภูเก็ต สมาชิกสภา ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ อบจ.ภูเก็ต พร้อมด้วย ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หัวหน้าส่วนราชการ ผู้มีเกียรติ และประชาชนชน เข้าร่วม

ทั้งนี้นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายก อบจ.ภูเก็ต กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ตมีจุดเด่นหลายด้านไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม ประเพณีวัฒนธรรมอันดีงาม และวิถีชีวิตชาวภูเก็ต โดยเฉพาะความโดดเด่นทางวัฒนธรรมด้านอาหาร ซึ่งจะเป็นจุดขายในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต และสร้างทางเลือกที่ดีให้แก่ผู้มาเยือน ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต จึงได้จัดงานเทศกาลอาหารพื้นเมืองของดีชาวภูเก็ต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการพัฒนา และส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต โดยนำวัฒนธรรมด้านอาหารพื้นเมืองภูเก็ตมาเป็นสื่อในการนำเสนอสู่ตลาดท่องเที่ยว เพื่อสร้างทางเลือกให้แก่นักท่องเที่ยวในการเข้ามาเยือนเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้

ในการจัดงานครั้งนี้ มีกำหนด 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 20 – 24 มกราคม 2554 ซึ่งมีกิจกรรมที่หลากหลาย ประกอบด้วย การปรุงอาจาดหม้อใหญ่ที่สุดในโลก การชิมอาหารพื้นเมืองภูเก็ต การประกวดมิสภูเก็ต การประกวดแม่สาวลูกสวย การแสดงดนตรี โดยศิลปิน โกไข่ กิจกรรมการแสดงบนเวที ของนักเรียนในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต การสาธิตปรุงอาหาร ทำขนมไทย การแกะสลักผักผลไม้และน้ำแข็ง การออกร้านจำหน่ายอาหารและผลิตภัณฑ์ การจัดนิทรรศการด้านการสาธารณสุข Clean Food Good Taste กิจกรรมลานวัฒนธรรมพื้นบ้านจังหวัดภูเก็ต เป็นต้น สำหรับการจัดงานครั้งนี้ นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างมุมมองใหม่ให้แก่การท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต โดยการสร้างมาตรฐานของอาหารพื้นเมืองไปสู่ระดับสากลเพื่อให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ได้สัมผัสถึงวัฒนธรรมอีกด้านหนึ่งของภูเก็ต โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชนทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี

ทางด้าน นายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งในแต่ละปีสร้างรายได้ให้แก่ประเทศจำนวนไม่น้อย และมีจุดเด่นหลายด้าน ที่เชื่อมโยงสู่วัฒนธรรมเกี่ยวกับอาหารการกินของคนภูเก็ต โดยเฉพาะการมีอาหารพื้นเมือง หลายประเภทที่ไม่สามารถหาชิมได้ทั่วไป ซึ่งจะต้องมาเยือนเมืองภูเก็ตเท่านั้น จึงจะได้รับรสชาติของเจ้าตำรับเดิมอย่างแท้จริง ดังนั้นแนวคิดที่ได้นำเอกลักษณ์ด้านอาหารพื้นเมืองมาเป็นจุดขายในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตถือเป็นความหลากหลายอีกด้านหนึ่ง ที่สามารถพัฒนาการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี และยังเป็นการสร้างทางเลือกที่ดีให้แก่ผู้มาเยือนเมืองภูเก็ตในการสัมผัสกับวิถีชีวิตพื้นเมืองของจังหวัดภูเก็ตด้วย ซึ่งควรแก่การอนุรักษ์ให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของท้องถิ่นแห่งนี้ต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

ตร.ภูเก็ตรวบตัวมือยิง รปภ.ดับคาป้อมแล้ว


เมื่อวันที่ 20 มกราคม 54 พ.ต.ท.จำรุญ พลายด้วง รอง ผกก.สส.สภ.เมือง ภูเก็ต พร้อมด้วย ร.ต.ท.เอกพจน์ สังชาเมียน ร้อยเวรเจ้าของคดี ได้นำตัว นายนำโชค แซ่ตัน อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่101/223 หมู่ 5 ต.รัษฏา อ.เมือง จ.ภูเก็ตและนายพิทักษ์พงษ์ เฉพาไพ อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 49/6 หมู่ 4 ต.ไชยมนตรี อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ที่บริเวณป้อมยามหน้าบ้านพักพนักงานเทศบาลนครภูเก็ต ปากทางเข้าหมู่บ้านสะพานหิน ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย

สำหรับคดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อเวลาประมาณ 07.00 น.ของวันที่ 9 ธันวาคม 53 ขณะที่นายวินัย บัวทองคำ อายุ 54 ปี เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ภายในป้อมยามทางเข้าบ้านพักพนักงานเทศบาลนครภูเก็ต ได้ถูกกระสุนยิงเข้าที่บริเวณแก้มขวาและลำคอเสียชีวิตคาป้อมยาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ทำการสืบสวน และสอบสวนจนกระทั่งทราบว่า นายนำโชค แซ่ตัน อายุ 19 ปี และนายพิทักษ์พงษ์ เฉพาไพ อายุ 19 ปี เป็นกลุ่มที่ใช้ปืนยิงในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ก็ได้ออกหมายจับจากศาลจังหวัดภูเก็ต และเจ้าหน้าตำรวจสามารถจับตัวนายนำโชค แซ่ตัน มือปืน ได้ที่ อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ และจับกุมนายพิทักษ์พงษ์ เฉพาไพ คนขับขี่ จยย. ได้ที่ จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 19 ม.ค.2554 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้จากการสอบสวนทราบว่า นายพิทักษ์พงษ์ และนายนำโชค สองผู้ต้องหาก็ทราบว่า ในวันเกิดเหตุได้ขับขี่ รถ จยย.ไปหาญาติภายในหมู่บ้านสะพานหิน หมู่ที่ 1 ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต ได้พบกับวัยรุ่นเจ้าถิ่นและถูกวัยรุ่นเจ้าถิ่นด่าแม่ จึงเกิดการชกต่อยกันขึ้น หลังเกิดเหตุวิวาทกัน ทางวัยรุ่นเจ้าถิ่นได้นำพวก 3 คนมาดักรอทำร้ายอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านสะพานหิน อยู่ใกล้กับป้อมยามของบ้านพักพนักงานเทศบาลนครภูเก็ต เมื่อขับขี่ จยย.จะกลับบ้านผ่านมาถึงบริเวณป้อมยามจุดที่เกิดเหตุ ทางวัยรุ่นเจ้าถิ่นได้กรูกันเข้ามาจะทำร้าย นายนำโชคก็ได้ชักอาวุธปืนลูกซองพกสั้น ยิงใส่กลุ่มวัยรุ่นคู่อริจนแตกกระเจิงไป จากนั้นก็ได้ขับรถจยย.หลบหนีไป และมาทราบข่าวภายหลังว่ากระสุนปืนได้ถูกนายวินัย บัวทองคำ อายุ 54 ปี เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ภายในป้อมยามทางเข้าบ้านพักพนักงานเทศบาลนครภูเก็ต เสียชีวิตคาป้อมยาม

หลังก่อเหตุทั้งสองคนก็ได้หลบหนีไปกบดานที่ต่างจังหวัด จนกระทั่งทางชุดสืบสวน สภ.เมืองภูเก็ต ได้สืบสวนสอบสวนจนทราบว่าผู้ต้องหาทั้งสองเป็นผู้ก่อเหตุ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติหมายจับจากศาลภูเก็ตไปทำการจับกุมและนำตัวมาดำเนินคดีต่อไป

ตร.ภูเก็ตกวาดล้าง ได้ทั้งยา ปืน ผู้ต้องหา 39 ราย


เมื่อเวลา 09.30 น.ของวันที่ 20 มกราคม 2554 ที่ห้องประชุมชั้น 3 ภ.จว.ภูเก็ต พล.ต.ต.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผบ.ตร.ภาค 8 พร้อมด้วย พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พ.ต.อ.โกมล วัตตรากรณ์, พ.ต.อ.ชลิต แก้วยะรัตน์, พ.ต.อ.พีระยุทธ การเจดีย์ รองผบก.ภ.จว.ภูเก็ต ผกก.และรอง ผกก.และเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากสภ.ต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ต ได้ร่วมกันแถลงข่าวผลการกวาดล้าง พร้อมทั้งปิดล้อมเข้าตรวจค้นบ้านของเป้าหมายต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ตในระหว่างวันที่ 13 – 19 มกราคม 54 ที่ผ่านมา ซึ่งทางเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคดียาเสพติด อาชญากรรม อาวุธปืน ได้ผู้ต้องหาชายหญิงรวม 39 ราย พร้อมของกลางหลายรายการ

พล.ต.ต.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผบ.ตร.ภาค 8 ได้กล่าวว่า จากการสืบสวนขยายผลจากผู้เสพไปสู่ผู้ค้า แล้วก็ออกหมายจับผู้ค้า ที่ผู้เสพได้ให้การพาดพิงถึง การเข้าไปหาข่าว เพิ่มประสิทธิภาพในการไปหาข่าว เข้าไปตรวจค้น และการตั้งจุดตรวจ จุดสกัด นอกจากได้ยาเสพติดก็ได้อาวุธปืนด้วย และตอนนี้ทางผู้บังคับการฯ ได้ทำหนังสือขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 7 จังหวัดไปแล้ว ขอให้เข้มงวดในเรื่องการออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน โดยการระดมกวาดล้างยาเสพคิด ทำให้สถิติคดีอาญา 5 กลุ่มที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติถือเป็นตัวชี้วัด ก็ลดลง กลุ่มที่ 1 คือความผิดเกี่ยวกับชีวิต เหตุอุจฉกรรจ์ สะเทือนขวัญลดลงค่อนข้างสูงในพื้นที่ภาค 8 รอบ 3 เดือนนี้ก็ลดลงมาก รอบเดือนที่มีการกวาดล้างก็ลดลงเยอะ กลุ่มที่ 2 เกี่ยวกับร่างกายและเพศ ก็ลดลง ลดลงสูงกว่าช่วงที่แล้วมาก กลุ่มที่ 3 ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ลดลง กลุ่มที่ 4 ความผิดที่น่าสนใจก็ลดลง ส่วนความผิดกลุ่มที่ 5 ที่รัฐเป็นผู้เสียหาย จับกุมได้เพิ่มขึ้นเป็นพันราย โดยเฉพาะยาเสพติดจับกุมได้เพิ่ม ส่วนเป้าหมายอีกอย่างคืออาวุธปืนจับได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในช่วงนี้

อย่างไรก็ตามรัฐบาลก็ได้มอบนโยบายให้ทำต่ออีก 3 เดือน ใน 3 เดือนนี้มาตรการต่างๆ ที่ตำรวจรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการปราบปรามยาเสพติด มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด แล้วก็การตรวจเข้มของภาค 8 ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 18 อำเภอก็จะเข้มข้นขึ้น จากการวัดผลการดำเนินการตรวจเข้มของแต่ละสถานี พบว่าได้ผลทุกสถานี เนื่องจากแต่ละสถานีรู้อยู่แล้วว่าเป็นนโยบายสำคัญ ก็ทำทุวิธีการ เพื่อให้เรื่องยาเสพติดเบาบางลง ในเรื่องการเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ ขณะนี้ทั้งภาค 8 มีกำลังทั้งหมด 11,000 คน อัตราอนุญาต 15,000 คน ขาดไป 4,000 กว่าคนถือว่าสูงมาก แต่ว่าใช้เรื่องประชาชนมีส่วนร่วม การอบรมอาสาสมัครต่างๆ อย่างภูเก็ตอาสาสมัครมากที่สุดเขาทำได้ดี มีทั้งอาสาสมัครตำรวจบ้าน อาสาสมัครแจ้งข่าวอาชญากรรม กองปราบอาสา อาสาสมัครท่องเที่ยว อาสาสมัครบีชการ์ด และ อปพร.ที่มาร่วมปฏิบัติ เพราะว่าช่วงปีใหม่ยังเป็นห่วงเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาอยู่ในภูเก็ตสูงแต่กำลังตำรวจน้อย ได้ให้คำแนะนำไปว่าให้ใช้อาสาสมัคร เขาก็ใช้ได้ มีการเคาน์ดาวน์หลายจุดที่ประชาชนไปอยู่ แต่ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ทำได้ดี ภาค 8 ทั้งหมดขณะนี้อาสาสมัครมีทั้งหมด 16,000 คน

นอกจากนี้ พล.ต.ต.ก่อเกียรติ ได้กล่าวถึงผลการดำเนินการกวาดล้างจับกุมคดียาเสพติดของจังหวัดภูเก็ต ปีงบประมาณ 2553 จังหวัดภูเก็ตจับกุมยาเสพติด 3,500 ราย มากกว่าปีงบประมาณ 2552 จำนวน 1,100 ราย แล้วก็ปีงบประมาณ 2554 ไตรมาสแรก 3 เดือน จับกุมได้ 900 ราย มากกว่าห้วงเดียวกันของปีงบประมาณ 2553 อยู่ 42 ราย จับกุมได้สูง จะจับมากในเดือน กรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน ช่วงนั้นจับค่อนข้างเข้มข้น ได้ละเดือนเกือบ 1,000 ราย ทำให้ผลการจับกุมช่วงนี้ลดลง

ปปส. เปิด OPERATION HOT SPOT


เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2554 ที่ห้องประชุมโรงแรมภูเก็ต เกรซ แลนด์ รีสอร์ทแอนด์สปาพล.ต.ท.อทติเทพ ปัญจมานนท์ ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด พร้อม พล.ต.ท.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 พล.ร.ต.สุพจน์ สุดประเสริฐ รอง ผบ.ทร.ภ.3 นายวีระวัฒน์ จันทร์เพ็ญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายเปี่ยน กี่สิ้น นายกเทศมาตรีเมืองป่าตอง และนายโจเซฟ เรแกน ผู้แทนสำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐอเมริกา (DEA) ประจำประเทศไทย ร่วมกันเปิดตัวโครงการแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการค้ายาเสพติด การฟอกเงิน และการก่อการร้าย (OPERATION HOT SPOT) ผ่าน WWW.DEA-REWARDS.COM และหมายเลขโทรศัพท์ (662) 2054444 โดยเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และสำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลรวมทั้งหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดและการฟอกเงินให้นักท่องเที่ยว และประชาชนได้รับทราบ รวมทั้งขอความร่วมมือจากนักท่องเที่ยวและประชาชนในการแจ้งข้อมูลเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับคดียาเสพติด การฟอกเงินให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบด้วย

ทั้งนี้ได้มีการจัดทำเป็นผลิตภัณฑ์ของที่ระลึก เช่น ปากกา ไม้ขีดไฟ ที่ใส่ขวดเบียร์ เป็นต้น ซึ่งมีข้อความชื่อเวปไซต์ หมายเลขโทรศัพท์ รูปถ่าย-ชื่อของนักค้ายาเสพติดรายสำคัญๆ ที่ทางการต้องการตัวมากที่สุด เช่น เหว่ยเซียะกัง เป็นต้น โดยจัดทำเป็น 10 ภาษา เพื่อแจกจ่ายในชุมชนต่างๆ ที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ซึ่งในส่วนของจังหวัดภูเก็ต ได้เริ่มดำเนินการแล้วที่ซอยบางลา หาดป่าตอง ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากนักท่องเที่ยวและประชาชนเป็นอย่างดี

นายโจเซฟ เรแกน ผู้แทนสำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐอเมริกา (DEA) ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานด้านการปราบปราบยาเสพติดของสหรัฐอเมริการ ได้มีความร่วมมือกับหน่วยงานปราบปรามยาเสพติดของไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการจับกุมปราบปรามผู้ค้ารายใหญ่ๆ ซึ่งการจัดทำโครงการ OPERATION HOT SPOT ซึ่งจากการเปิดตัวโครงการมาตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีผู้เข้าไปแจ้งข้อมูลผ่านทางเวไซด์ที่จัดทำขึ้นเป็นจำนวนมาก และสามารถตรวจสอบหาผู้กระทำผิดได้แล้วส่วนหนึ่ง การขยายพื้นที่มายังภูเก็ตนั้นเนื่องจากมองว่าเป็นแหล่งที่มีผู้คนเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก จึงอยากจะมีการขยายความร่วมมือมายังชุมชนต่างๆ ให้เกิดความกว้างขวางมากขึ้น เพราะในการดำเนินการนั้นจะต้องอาศัยความร่วมมือในการแจ้งเบาะแสข้อมูล จากทั้งประชาชนและนักท่องเที่ยว อันจะนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหา โดยเฉพาะนักค้ารายสำคัญที่เป็นต้องการของทางการสหรัฐฯ ต่อไปในอนาคต เช่น เหว่ยเซียะกัง เป็นต้น เพราะยาเสพติดเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดปัญหากับทุกสังคมเป็นอย่างมาก

ขณะที่ พล.ต.ท.อทติเทพ ปัญจมานนท์ ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กล่าวว่า โครงการ OPERATION HOT SPOT ได้ดำเนินการไปแล้วใน 3 พื้นที่ คือ เชียงราย พัทยา (ชลบุรี) และซอยนานากรุงเทพมหานคร โดยในส่วนของจังหวัดภูเก็ตเป็นจุดที่ 4 ของการดำเนินการ ซึ่งจากการสอบสวนหาข่าวพบว่าที่ผ่านมามีการลักลอบขนยาเสพติดทางเรือ ซึ่งมีทั้งที่จับกุมได้และไม่ได้ ประกอบกับภูเก็ตเป็นพื้นที่เกาะมีทะเลล้อมรอบ จึงเป็นพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการซุกซ่อนและกบดานของผู้กระทำผิด ดังนั้นสิ่งสำคัญในการนำไปสู่การจับกุม คือ การข่าว โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งการแจ้งเบาะแส และนำไปสู่การจับกุมในที่สุด

ส่วนของง พล.ต.ท.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 กล่าวว่า การทจัดทำโครงการ OPERATION HOT SPOT จะส่งผลดีเป็นอย่างมากทางด้านการข่าว โดยที่ผ่านมาตำรวจภูธรภาค 8 ได้ให้ความสำคัญกับการปราบปรามยาเสพติดติดเป็นอย่างมาก เพราะเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลแลสำนักงานสำรวจแห่งชาติ พร้อมกันนี้ก็ได้มอบนโยบายให้สถานีตำรวจทุกแห่งขึ้นป้ายและหมายเลขโทรศัพท์ของผู้กำกับที่ดูแลรับผิดชอบในเรื่องของยาเสพติดโดยเฉพาะ เพื่อให้ประชาชนสามารถแจ้งข้อมูลยาเสพติดได้โดยตรง ซึ่งที่ผ่านมาจากข้อมูลที่ได้รับทำให้สามารถจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีแล้วหลายราย

ทางด้านนายวีระวัฒน์ จันทร์เพ็ญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ตได้มีการบูรณาการความร่วมมือจากทุกฝ่ายภูเก็ต แต่ต้องบอกว่าสำหรับภูเก็ตนั้นเป็นพื้นที่สุดท้ายของขบวนการยาเสพติด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การผลิต การขาย และการฟอกเงิน โดยที่ดำเนินการมาตลอดจะเน้นใน 3 หลัก คือ การป้องกัน การปราบปราม และการบำบัด โดยอาศัยการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน


“โกมล ดุมลักษณ์”เฉือน“มาโนช พันธ์ฉลาด”


เมื่อวันที่ 19 มกราคม 54 ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดภูเก็ต (หลังใหม่) นายวีระวัฒน์ จันทร์เพ็ญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานการคัดเลือกคณะกรรมการอิสลามจังหวัดภูเก็ต - และคัดเลือกกรรมการอิสลามจังหวัดภูเก็ตเพื่อดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย แทนนายสมัคร สำเภารัตน์ อดีตกรรมการอิสลามประจำจังหวัดภูเก็ต – กรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย ที่เสียชีวิตลงก่อนหน้านี้

โดยการคัดเลือกคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดภูเก็ตนั้น ให้โต๊ะอีหม่ามในจังหวัดภูเก็ตทั้งหมด 51 คน เป็นผู้ลงคะแนนคัดเลือก ซึ่งในการประชุมครั้งนี้มีโต๊ะอีหม่าม เข้าร่วมทั้งหมด 46 คน โดยมีการเสนอชื่อนายดนัย ทองย่น และนายประดิษฐ์ ฤทธิ์รักษา โต๊ะอีหม่ามบ้านผักฉีด เข้าร่วมชิงชัย ผลการคัดเลือกโดยการลงคะแนนลับปรากฏว่านายดนัย ทองย่น ได้รับคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งกรรมการอิสลามประจำจังหวัดภูเก็ต ด้วยคะแนน 25 คะแนน นายประดิษฐ์ ฤทธิ์รักษา ได้คะแนน 20 คะแนน บัตรเสีย 1 ใบ

จากนั้นมีการคัดเลือกกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย คณะกรรมการอิสลามทั้งหมดที่มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมดมี 21 คน มีการเสนอชื่อ จ.ส.ต.โกมล ดุมลักษณ์ และนายมาโนชญ์ พันธุ์ฉลาด ลงชิงชัยเพื่อดำรงตำแหน่งนั้นสำคัญนี้ ผลการเลือกตั้งโดยการลงคะแนนลับปรากฏ จ.ส.ต.โกมล ดุมลักษณ์ ได้เลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวด้วยคะแนน 11 คะแนน นายมาโนชญ์ พันฉลาด ได้คะแนน 10 คะแนน

จ.ส.ต.โกมล ดุมลักษณ์ กล่าวภายหลังได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย ว่า ต้องขอขอบคุณคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทุกคนที่ไว้วางใจให้ตนดำรงตำแหน่งดังกล่าว โดยหลังจากได้รับตำแหน่งแล้วจะประสานงานเรื่องการก่อสร้างมัสยิดกลางอิสลามที่บริเวณท่าฉัตรไชย ซึ่งเป็นที่ราชพัสดุ บนเนื้อที่ 150 ไร่ นอกจากนั้นยังจะขับเคลื่อนให้ภูเก็ตเป็นฮับเรื่องฮาลาลโลก ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้มีการพูดถึงแต่ระยะหลังก็เงียบหายไป ตนจะเข้าไปขับเคลื่อนตรงนี้ให้เกิดเป็นรูปธรรมต่อไป หากภูเก็ตเป็นศูนย์กลางเรื่องฮาลาลโลก นี้ตนคิดว่าจะสร้างรายได้แก่จังหวัดภูเก็ตอย่างมหาศาลและขณะนี้ถือว่าภูเก็ตพร้อมแล้วที่จะเป็นศูนย์กลางเรื่องดังกล่าว นอกจากนั้นยังจะเข้าไปขับเคลื่อนพระราชบัญญัติการบริหารงานองค์กรอิสลาม พ.ศ.2540 ต่อไป

วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554

เคทีซีเดินสายลงใต้ จัดกิจกรรมเติม อิ่ม ช้อป ฟรี 100 ท่านแรก


เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2554 ที่ห้องแววราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายวรวุฒิ นิสภกุลธร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจบัตรเครดิตเคทีซี หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับนางสาววิไลพร ปิติมานะอารี ผู้อำนวยการศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต และฝ่ายการตลาด ร่วมกันแถลงข่าวการจัดกิจกรรม “เติม อิ่ม ช้อป ฟรี 100 ท่านแรก” ที่ จ.ภูเก็ต ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 4-13 กุมภาพันธ์นี้ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต

นายวรวุฒิ นิสภกุลธร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจบัตรเครดิตเคทีซี หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ด้วยปัจจุบันเคทีซีมีฐานสมาชิกบัตรเครดิตทั่วประเทศมากถึง 1.7 ล้านบัตร โดยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่ในกรุงเทพมหานคร และในหัวเมืองใหญ่ๆ ที่เป็นเมืองเศรษฐกิจ ดังนั้นเพื่อเป็นการตอบแทนลูกค้าทั่วทั้งประเทศ จึงได้มีการจัดกิจกรรมเติม อิ่ม ช้อป ฟรี 100 ท่านแรก ใน 3 ภาค 3 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น และภูเก็ต โดยคัดสรรสิทธิประโยชน์เพื่อตอบสนองพฤติกรรมการใช้จ่ายของสมาชิกให้สอดคล้องกับหมวดใช้จ่ายยอดนิยม ได้แก่ สถานีบริการน้ำมัน ดิสเคาน์สโตร์ และห้างสรรพิสินค้า

“กิจกรรมดังกล่าวนั้นได้ดำเนินการไปแล้วที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า เชียงใหม่ แอร์พอร์ต เมื่อวันที่ 3-12 ธันวาคม 2553 และที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา ขอนแก่น เมื่อวันที่ 5-14 มกราคม 2554 ซึ่งภาพรวมประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี มีผู้สนใจสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีเพิ่มขึ้นกว่า 2,000 ราย และกระตุ้นให้มียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตภายในศูนย์การค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้นกว่า 20% ส่วนครั้งสุดท้ายจะจัดขึ้นที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต ในระหว่างวันที่ 4-13 กุมภาพันธ์ 2554 เริ่มด้วยวันแรกสมาชิกเคทีซีที่มีรถจักรยานยนต์ 100 คนแรก รับบัตรเติมน้ำมันฟรีมูลค่า 200 บาท วันที่สองสมาชิกเคทีซี 100 ท่านแรก รับฟรีบัตรรับประทานอาหารภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นเซนมูลค่า 500 บาท และวันสุดท้ายสมาชิกเคทีซี 100 ท่านแรก รับฟรีบัตรกำนัลห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล หรือเซ็นทรัล ฟู๊ด ฮอลล์ เพียงแต่ไปลงทะเบียนที่จุดลงทะเบียน พร้อมแสดงบัตรก็สามารถรับบัตรกำนัลได้แล้ว และภูเก็ตถือว่าเป็นจังหวัดที่มีลูกค้าในลำดับต้นๆ สำหรับต่างจังหวัด โดยมีการใช้จ่ายผ่านบัตรเฉลี่ยบัตรละ 6,000 บาทต่อเดือนซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วประเทศ ปัจจุบันภูเก็ตมีลูกค้าอยู่ประมาณ 20,000 ราย”

นายวรวุฒิ กล่าวด้วยว่า นอกจากกิจกรรมดังกล่าวแล้ว ยังมีแคมเปญใหญ่ เร่งเครื่องไปกับเคทีซี โดยลุ้นรับรถโตโยต้า นิว วีออส จำนวน 7 คัน ทั่วทั้งประเทศ นอกจากนี้ยังมีรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า ฟีโน่ รุ่นแฟชั่น 12 คัน โทรทัศน์ LCD เครื่องเล่น DVD โทรศัพท์มือถือจากซัมซุง และของรางวัลอื่นๆ มูลค่ารวมกว่า 5 ล้านบาท เพียงใช้จ่ายหรือกดเงินสดผ่านบัตรเครดิตเคทีซีทุก 800 บาท หรือใช้คะแนนสะสม KTC Forever Rewards 99 คะแนน แลกรับ 1 สิทธิ์ นอกจากนี้สมาชิกสินเชื่อพร้อมใช้ที่มียอดเงินคงค้างทุกๆ 4,000 บาท ณ วันสิ้นรอบบัญชี รับทันที 1สิทธิ์ โดยสมาชิกสามารถร่วมสนุกได้ด้วยการส่ง SMS ตามรายละเอียดที่กำหนดเพื่อยืนยันการเข้าร่วมแคมเปญตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 ทั้งนี้คาดว่าจากการจัดกิจกรรมดังกล่าวจะทำให้มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 15-20%

ค้าปลีกหาดป่าตองโวย อ้างเป็นตำรวจเก็บส่วยรายเดือน


เมื่อวันที่ 19 มกราคม 54 ที่ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายกอบชัย ตรึกตรองกิจ ตัวแทนผู้ประกอบการค้าปลีกหาดป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต นำผู้ประกอบการค้าปลีกในพื้นที่หาดป่าตองจำนวนกว่า 150 คน เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ผ่านทางนายวีระวัฒน์ จันทร์เพ็ญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต หลังถูกกลุ่มชายฉกรรจ์อ้างตัวเป็นตำรวจจากหน่วยงานหนึ่ง เข้าข่มขู่ รีดไถ และขอเก็บเงินเป็นรายเดือน ร้านๆ ละ 1,000 บาท อย่างไรก็ตามก่อนที่จะเดินทางมาศาลากลางจังหวัดภูเก็ต ทางกลุ่มผู้ประกอบการได้เดินทางไปยื่นหนังสือที่ สภ.กะทู้ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุมาก่อนแล้ว

โดยหนังสือร้องเรียนดังกล่าวมีใจความสรุป ว่า ขณะนี้กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าซึ่งเป็นสมาชิกชมรมผู้ประกอบการค้าปลีกป่าตอง ได้รับความเดือดร้อนจากกลุ่มชายฉกรรจ์ที่แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจากหน่วยงานหนึ่ง เข้ามาเรียกเก็บเงินจากพ่อค้าแม่ค้าบริเวณตลาดนัดโกแก้วร้านละ 1,000 บาท โดยอ้างว่าจะนำส่งให้กับหน่วยงานต่างๆ หากทุกคนพ่อค้าแม่ค้าจ่ายก็จะไม่มีปัญหา แต่หากไม่จ่ายก็จะทำการจับกุม ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวได้สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าเป็นอย่างมาก และได้แจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ แล้ว เบื้องต้นได้มีการควบคุมตัวชายฉกรรจ์ 1 คนไปที่สถานีตำรวจ แต่เมื่อชาวบ้านตามไปเพื่อดำเนินการแจ้งความดำเนินคดี กลับพบว่าชายฉกรรจ์ดังกล่าวได้รับการปล่อยตัวไปแล้ว ทำให้กลุ่มพ่อค้าแม่ค้ารู้สึกผิดหวังกับการกระทำดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีคนมาแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมากรรโชกทรัพย์จากชาวบ้าน และทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย แทนที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำตัวมาสืบสวนหาข้อเท็จจริงแต่กลับปล่อยตัวไป จึงอยากเรียกร้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตตรวจสอบพฤติกรรมของบุคคลที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมาข่มขู่และรีดไถชาวบ้าน ซึ่งเปรียบเหมือนมาเฟียในเครื่องแบบมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยด่วน

ขณะที่นายวีระวัฒน์ จันทร์เพ็ญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จะนำเรื่องดังกล่าวรายงานต่อผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และจะได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น หากพบความบกพร่อง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือกลุ่มบุคคลที่แอบอ้างก็จะมีการจับกุมดำเนินคดีอย่างเฉียบขาด

ผู้ประกอบการภูเก็ตโวย พ.ร.บ เหล้าใหม่ ฉุดท่องเที่ยวหด


ชมรมผู้ประกอบการสถานบันเทิงเมืองภูเก็ตจับมือชมรมผู้ประกอบการค้าร้านอาหารเทศบาลนครภูเก็ต ร่วมกับ สมาคมผู้ผลิตไวน์ผลไม้และสุราพื้นบ้าน จัดงานสัมมนาระดมความคิดเห็นพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใหม่ ชี้ไม่ส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวและไม่ได้ผลในการลดการบริโภคสุรา

นายจักรกฤษณ์ ศิริยงค์วัฒนา ตัวแทนชมรมผุ้ประกอบการสถานบันเทิงเมืองภูเก็ตและชมรมผู้ประกอบการร้านอาหารเทศบาลนครภูเก็ต กล่าวว่าร่างอนุบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 4 ฉบับ ตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551ที่เกี่ยวกับการจัดโซนนิ่งร้านค้าที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รอบสถานศึกษา 500 เมตร, การติดภาพฉลากคำเตือนที่บรรจุภัณฑ์, มาตรการห้ามจำหน่ายเหล้าปั่น และการกำหนดสถานที่หรือบริเวณที่ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนยานพาหนะ ซึ่งร่างอนุบัญญัติดังกล่าวจะส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการสถานบันเทิง ร้านอาหารและการท่องเที่ยวของเมืองภูเก็ตเป็นอย่างมาก

“การออกอนุบัญญัติดังกล่าวเป็นการออกกฎหมายที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งมีผลทำให้ผู้ประกอบการและการท่องเที่ยวเดือดร้อน ซึ่งผู้ที่ออกกฎหมายหรือรัฐมีมาตราการช่วยเหลือผู้ประกอบการอย่างไรบ้าง เช่นร้านค้าที่อยู่ในโซนสถานศึกษาที่เปิดแล้วจะทำอย่างไร เนื่องจากถ้าอนุบัญญัติดังกล่าวผ่านการพิจารณาในตัวเมืองภูเก็ตแทบจะไม่สามารถดำเนินกิจการได้ต่อไป “

นายจักรกฤษณ์ กล่าวต่ออีกกว่าในเมื่อเจตนารมณ์ของกฎหมายเป็นการป้องกันการเข้าถึงแอลกอฮอล์ของเด็กและเยาวชน ควรที่จะเน้นบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่อย่างเคร่งครัดไม่ว่าจะเป็นการกวดจับผู้ดื่มเมาแล้วขับหรือการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี หรือการออกบทลงโทษกับผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ แล้วก่อความเดือดร้อนแก่ส่วนรวม มากกว่าที่จะมาบังคับควบคุมตามร่าง พ.ร.บ เหล้าใหม่ ที่จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและการท่องเที่ยวที่ทำรายได้เข้าเมืองภูเก็ตต่อปีหลายร้อยล้านบาท

ด้านนายสมบูรณ์ แก้วเกรียงไกร เลขาธิการ สมาคมผู้ผลิตไวน์ผลไม้และสุราพื้นบ้านไทย กล่าวว่า การออกกฎหมายดังกล่าวเป็นการออกกฎหมายที่ผิดพลาดเป็นการออกกฎหมายที่ออกมาทำลายผู้ผลิตสุราชุมชนให้ไม่สามารถที่จะดำเนินการต่อไปได้ เช่นการบังคับให้เปลี่ยนฉลาก 6 แบบทุก 1,000 ขวด เนื่องจากผู้ผลิตสุราชุมชนมีการจำหน่ายในปริมาณน้อยมากประมาณ 5 ลังต่อเดือนแต่ฉลากที่ติดอยู่ในปัจจุบันมีการสั่งทำไว้ขั้นต่ำ 5,000 แผ่น ถ้ากฎหมายออกมาทางผู้ผลิตจะต้องทำใหม่แล้วฉลากเก่าจะทำอย่างไร การรณรงค์งดเหล้าในงานเทศการต่างๆน่าจะได้ผลดีกว่าการออกกฎหมายมากมายทั้งที่กฎหมายเดิมที่มีอยู่ถ้าใช้อย่างเคร่งครัดก็สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้

ขณะที่ผู้ร่วมสัมมนาได้ร่วมแสดงความคิดเห็นว่ากฎหมายดังกล่าวถ้าออกมาเกรงว่าเป็นช่องทางทุจริตให้เจ้าหน้าที่มากกว่า และหลังการสัมมนาผู้ร่วมสัมมนาได้ลงมติร่วมกันที่จะให้มีการรวบรวมรายชื่อยื่นหนังสือเพื่อคัดค้านร่างอนุบัญญัติดังกล่าวต่อไป

คดียิงถล่ม 2 แม่ลูก รอผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์


พล.ต.ต.พิสัณห์ จุลดิลก รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีคนร้ายใช้อาวุธปืนหลายชนิดยิงถล่มใส่รถยนต์เก๋งสีขาว ในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตคาที่ 2 คน คือ นางจีรติ นาคมี อายุ 41 ปี มารดา และ น.ส.กิริยาพร อนุตธโต อายุ 20 ปี บุตรสาว ขณะที่บุตรสาวอีก 1 คน ได้รับบาดเจ็บสาหัสคือ น.ส.อนันทิรา อนุตธโต อายุ 15 ปี เมื่อประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน 2553 ที่ผ่านมา ว่า ขณะนี้มีความคืบหน้าไปมาก แต่คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง เพื่อรอความชัดเจนการตรวจสอบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ในส่วนของมือปืนนั้นจากการดูรูปการลักษณะการยิงไม่น่าใช่มือปืนรับจ้างอาชีพ แต่เป็นการทำไปด้วยความแค้นมากกว่า เพราะหากเป็นอาชีพคงจะต้องยิงเจาะจงเฉพาะนางจีรติฯ แต่นี่เป็นการกราดยิงส่งผลให้ลูกๆ ประสบเหตุไปด้วย

“ประเด็นการสังหารนั้น ยังคงยืนยันประเด็นความขัดแย้งการทำธุรกิจของนางจีรติฯ เพราะในทางสืบสวนพบว่าผู้ตายเองมีหมายจับอยู่หลายคดีที่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ ในลักษณะของการหลอกเหยื่อให้มาร่วมลงทุน และมีการทำสัญญาใหม่จนทำให้ผู้มาร่วมลงทุนกลายเป็นลูกหนี้ จากรูปการดังกล่าว จึงเป็นชนวนเหตุของการก่อเหตุฆาตกรรมดังกล่าว จึงเชื่อได้ว่าเป็นผลมาจากความแค้น และมีคู่กรณีอยู่หลายราย”



พล.ต.ต.พิสัณห์ กล่าวด้วยว่า ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าเป็นความบกพร่องของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเราเองด้วย เนื่องจากในคราวที่ผู้ตายมาแจ้งความว่ามีชายฉกรรจ์ทำร้ายและข่มขู่ ไม่ได้มีการตรวจสอบข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ จึงทำให้มาทราบภายหลังว่าผู้ตายก็เป็นผู้ต้องหาอยู่เหมือนกัน ดังนั้นในประเด็นนี้ก็ได้มอบนโยบายให้ทางสถานีตำรวจต่างๆ ไปแล้วว่า ในกรณีที่มีการแจ้งความก็จะต้องมีการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมด้วย





อบจ.ภูเก็ต จัดเทศกาลอาหารพื้นเมืองภูเก็ต


นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต (อบจ.ภูเก็ต) เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 20-24 มกราคม 2554 อบจ.ภูเก็ต กำหนดจัดงานเทศกาลอาหารพื้นเมืองของดีชาวภูเก็ต ครั้งที่ 3 ขึ้นที่บริเวณเวทีกลางสะพานหิน เพื่อเป็นการสืบสานวัฒนธรรมและส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตโดยการนำอัตลักษณ์ด้านอาหารประจำท้องถิ่นในจังหวัดภูเก็ตมาใช้เป็นสื่อในการนำเสนอ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น ให้นักท่องเที่ยวมีความมั่นใจในการบริโภคอาหารที่ปลอดภัยและสะอาด หรือ CLEAN FOOD GOOD TASTE มีมาตรฐานสาธารณสุขและถูกสุขลักษณะในจังหวัดภูเก็ต เป็นการยกระดับมาตรฐานให้แก่ผู้ประกอบการด้านอาหารในจังหวัดภูเก็ตให้เกิดการแข่งขันเพื่อสร้างมาตรฐานสู่ตลาดท่องเที่ยวต่อไป รวมทั้งเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้องในจังหวัดภูเก็ตได้ร่วมพัฒนามาตรฐานอาหารและส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตร่วมกันด้วย

“ภูเก็ตถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก เป็นที่รู้จักทั้งชาวไทยและต่างประเทศ สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศปีละเป็นจำนวนมากและเพิ่มขึ้นทุกปี จากจุดแข็งของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทั้งในด้านทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตของท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมด้านอาหารการกินการใช้ถือเป็นอัตลักษณ์ของดีของชาวภูเก็ตที่มีคุณค่ามาก สามารถนำเสนอเป็นจุดขายให้แก่นักท่องเที่ยวได้อีกจุดหนึ่งเป็นอย่างดี ดังนั้น อบจ.ภูเก็ต จึงได้จัดงานเทศกาลอาหารดังกล่าวขึ้น เพื่อสืบสานวัฒนธรรมด้านอาหาร และส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตให้ผู้มาเยือนเกิดความประทับใจและเข้าถึงอาหารการกิน มั่นใจในการบริโภคอาหารที่ได้มาตรฐาน Clean food good taste พร้อมทั้งรณรงค์เครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ตลอดระยะเวลาการจัดงานในจังหวัดภูเก็ตต่อไป” นายไพบูลย์ กล่าวและว่า ร้านอาหารที่มาจำหน่ายนั้นจะเป็นของคนท้องถิ่นและอาหารท้องถิ่นเป็นหลัก โดยกิจกรรมพิเศษครั้งนี้ คือ การปรุงอาจาดถ้วยใหญ่ที่สุดในโลก และในช่วงของการจัดงานแต่ละวัน คาดว่าจะมีกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นประชาชนทั่วไป นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศเข้าร่วมวันละประมาณ 20,000 คน


วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

ตร.ภาค 8 ร่วมตร.ถลางบุกรวบคนร้ายยิงแคดดี้ได้ทั้งกลุ่ม


เมื่อวันที่ 18 มกราคม 54 ที่ห้องประชุมชั้น 3 ภ.จว.ภูเก็ต พล.ต.ต.พิสัณห์ จุลดิลก รองผบก.ภ.8 พร้อมด้วยพล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พ.ต.อ.ชลิต แก้วยะรัตน์ พ.ต.อ.พีระยุทย์ การเจดีย์ พ.ต.อ.พรศักดิ์ นวนหนู รองผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุม นางประทุม ชุมรักษ์ ผู้ใช้ ผู้จ้างวาน นายพงษ์ศักดิ์ บูรณะ มือปืน นายไพศาล ปรีชา ผู้ติดต่อมือปืน และนายหมาน (นามสมมุติ) ผู้ขับขี่รถจยย.พามือปืนไปลงมือ

สำหรับการจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 รายในครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 53 ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงน.ส.อมรรัตน์ เพชรตรง อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 3/3 ม.16 ต.หนองตากยา อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี มีอาชีพเป็นแคดดี้อยู่ที่สนามกอล์ฟ มิชชั่นฮิลล์ ต.ป่าคลอก อ.ถลาง ภูเก็ต เสียชีวิต เหตุเกิดที่ริมถนนสายบ้านเมืองใหม่ – ป่าคลอก ใกล้สนามกอล์ฟมิชชั่นฮิลล์ ม.4 ต.ป่าคลอก อ.ถลาง ภูเก็ต

จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสอบสวน สืบสวนจนกระทั่งทราบประเด็นในการลงมือสังหารในครั้งนี้ คือ ความขัดแย้งระหว่างพี่สาวของนายอุดม หนูนะ สามีของน.ส.อมรรัตน์ ซึ่งได้อยู่กินฉันท์สามี ภรรยากับนายอุดม แต่ทางพี่สาวของนายอุดม ไม่พอใจเนื่องจากน.ส.อมรรัตน์เคยมีครอบครัวและบุตรมาแล้ว ประกอบกับนายอุดม ได้ทิ้งภรรยายเก่าและบุตรมาอยู่กินกับน.ส.อมรรัตน์ ประกอบกับก่อนเกิดเหตุนางประทุมเคยโทรศัพท์ไปข่มขู่มารดาของน.ส.อมรรัตน์ ว่าให้มารับน.ส.อมรรัตน์ กลับบ้าน หรือหากไม่มีเงินทางนางประทุมยินดีที่จะออกให้ แต่ถ้าหากพูดไม่รู้เรื่อง ก็ให้มารับศพก็แล้วกัน ซึ่งทางเจ้าหน้าทีได้ทำการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาในคดีนี้ ว่าเป็ยพฤติการณ์ของคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย น่าจะเป็นการกระทำของกลุ่มมือปืนรับจ้าง

เมื่อเจ้าหน้าที่ทราบถึงผู้จ้างวาน ก็ได้ขอหมายจับเพื่อทำการจับกุมตัวนางประทุม ชุมรักษ์ พี่สาวของนายอุดม สามีของผู้ตาย จากนั้นก็ได้ทำการสอบสวนก็ทราบว่านายไพศาล ปรีชา ซึ่งนางประทุม มีบุญคุณอยู่เป็นผู้ติดต่อนายพงษ์ศักดิ์ บูรณะ มือปืน ซึ่งเป็นเพื่อนกันกัยนายไพศาล ให้มายิงผู้ตาย ในราคา 3 หมื่นบาท พร้อมกันนี้นายไพศาลยังได้จัดหารถจักรยานยนต์ พร้อมทั้งอาวุธปืนที่ใช้ในการสังหาร โดยมีนายหมาน นามสมมุติ เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ หลังจากลงมือแล้ว นายพงษ์ศักดิ์ และนายหมาน ก็ได้เดินทางกลับจังหวัดสงขลาทันที ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจภาค 8 ก็ได้เดินทางไปติดตามจับกุมตัวได้ทั้ง 2 คน จากนั้นก็ได้นำตัวสอบสวนเพิ่มเติม ซึ่งทั้ง 4 ก็ได้ให้การรับสารภาพว่า ได้ร่วมกันกระทำความผิดในคดีนี้