จำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เน้นย้ำนโยบายดูแลค่าครองชีพประชาชน


เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 31 กรกฎาคม 53 ที่บริเวณตลาดแม่สมจิต กะตะ บ้านกะตะ ต.กะรน อ.เมือง ภูเก็ต นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาอัดรายการเชื่อมั่นประเทศไทย กับ นายกอภิสิทธิ์ ภายหลังจากการเปิดประชุมพรรคประชาธิปัตย์ ที่โรงแรมเมอร์ลิน บีชรีสอร์ จังหวัดภูเก็ต เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว โดยมีประชาชน ตลอดจนนักท่องเที่ยวจำนวนมาก นำดอกไม้ ผลไม้สด และป้ายให้กำลังใจต้อนรับนายกรัฐมนตรี

จากนั้นนายกรัฐมนตรี ได้เดินสำรวจแผงร้านค้าภายในตลาดสด ทั้งแผงไข่ไก่ ผัก ผลไม้สด และ เนื้อสัตว์ พร้อมทั้งเน้นย้ำนโยบายของรัฐบาล ด้านการดูแลค่าครองชีพให้กับประชาชน ลดรายจ่าย เพิ่มร่ายได้ รวมถึงมาตรการควบคุมราคาสินค้า โดยได้ยกตัวอย่าง แนวทางการแก้ไขปัญหาไข่ไก่ของรัฐบาล ที่จะขยายไปยังสินค้าตัวอื่นอีก

ตลาดแม่สมจิตต์ เป็นตลาดเพียงแห่งเดียวในพื้นที่ตำบลกะรน มีขนาดกลาง และแผงขายสินค้ากว่า 70 แผง บริหารจัดการโดยนายแฉล้ม ตะกว้าน ภายใต้การสนับสนุนของเทศบาลตำบลกะรน ที่ต้องการเปิดตลาดสดน่าซื้อให้บริการประชาชน ตลอดจนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในพื้นที่ ได้จับจ่ายใช้สอยสินค้าดี มีคุณภาพ ราคามาตรฐาน โดยมีสำนักงานการค้าภายในจังหวัดภูเก็ต และผู้บริหารตลาด คอยควบคุมราคาสินค้า อย่างเป็นธรรม ไม่เอาเปรียบผู้บริโภค สำหรับรายการเชื่อมั่นประเทศไทย กับนายกอภิสิทธิ์ เตรียมออกอากาศในวันอาทิตย์ ที่ 1 สิงหาคมนี้ เวลา 09.00 – 10.00 น. ทางสถานีวิทยุโทรทัศแห่งประเทศไทย หรือ NBT


นายกฯ ขอ ส.ส.ร่วมประชุมสภา หวั่น กม.ไม่ผ่าน


เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 53 ที่ห้องประชุม โรงแรมเมอร์ลิน บีช แอนด์ รีสอร์ท หาดป่าตอง อ.กะทู้ ภูเก็ต นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานเปิดการ ประชุมสัมมนาคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และรัฐมนตรี ในหัวข้อ รวมพลังแก้ไขวิกฤตชาติ โดยมีคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และรัฐมนตรี รวมทั้งอดีตนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุม จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้บรรยายพิเศษ

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ขอความร่วมมือ ส.ส.ทุกคน ร่วมผลักดันกฎหมายสำคัญผ่านการพิจารณาในสภาฯ เพราะหากไม่ผ่านเท่ากับนโยบายรัฐบาลไม่สำเร็จ พร้อมแจง กรณีความจำเป็นของเอ็มโอยู ปี 2543 ที่ยังต้องคงไว้ เพื่อรักษาอธิปไตยของไทย

การสัมมนาวันนี้เป็นการดำเนินการตามปกติของพรรคที่ต้องทำความเข้าใจ และวางแนวทางการทำงาน ก่อนเปิดสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค นำเรื่องความปรองดองและการปฏิรูป มาเป็นประเด็นหลักในการสัมมนาด้วย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ขอความร่วมมือ สส. ให้เชื่อฟังคณะทำงานต่อสู้คดียุบพรรคทั้ง 2 คดี และระมัดระวังการแสดงความเห็นที่อาจกระทบต่อการสู้คดีและกระทบทางการเมืองพร้อมขอให้ ส.ส.เข้าร่วมประชุมสภาฯ อย่างพร้อมเพรียงเพื่อป้องกันปัญหาสภาล่มซ้ำซาก เพราะมีกฎหมายที่สำคัญอีกหลายฉบับที่ต้องพิจารณา เช่น พ.ร.บ.งบประมาณปี 2554 / กฎหมายการกระจายอำนาจ และกฎหมายภาษีที่ดิน โดยหากภายในสิ้นปีนี้ กฎหมายไม่ผ่านการพิจารณา ก็เท่ากับว่านโยบายต่างๆของรัฐบาลไม่ประสบความสำเร็จ

นายกรัฐมนตรี ยังเน้นย้ำถึงความเป็นเอกภาพในการทำงาน เพราะมี ส.ว.บางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในทุกเรื่อง ซึ่งแนวทางการทำงานลักษณะนี้เริ่มเข้มแข็งมากขึ้น ดังนั้นจึงต้องอาศัยเสียงของฝ่ายรัฐบาลเป็นสำคัญ ขณะเดียวกัน หลังจากผ่านวิกฤตบ้านเมืองมา ยังมีคนบางกลุ่มเคลื่อนไหวและมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น จึงต้องตั้งหลักการทำงานภายใต้สถานการณ์แบบนี้ไปอีกระยะ โดยมุ่งที่จะแก้ปัญหาให้ประชาชน อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ยังชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาปราสาทพระวิหาร ให้กับ ส.ส. ที่เข้าร่วมสัมมนาด้วย โดยย้ำว่า กรณีเอ็มโอยูปี 2543 ที่หลายฝ่ายอยากให้ยกเลิกนั้น แท้จริงไม่สามารถทำได้ เพราะเป็นเอ็มโอยูที่ 2 ประเทศทำร่วมกัน หากไม่มีเอกสารนี้ กัมพูชา สามารถยื่นแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารได้ ทั้งนี้ ยืนยัน รัฐบาลจะรักษาอธิปไตยของประเทศอย่างเต็มที่

องค์กรชุมชนชายฝั่งภูเก็ต ยื่นหนังสือนายก


เมื่อวันที่ 31กรกฎาคม 53 ที่บริเวณท่าอากาศยานภูเก็ต กลุ่มชาวบ้านอนุรักษ์ป่าชายเลยบ้านกู้กู ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต และเครือข่ายองค์กรชุมชนชายฝั่ง จ.ภูเก็ต ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งเดินทางมาร่วมประชุมพรรคประชาธิปัตย์ที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อให้เร่งรัดกรมที่ดิน เพิกถอนเอกสารสิทธิของนายทุนที่ออกในพื้นที่ป่าชายเลนเฉลิมพระเกียรติ หมู่ 3 (บ้านกู้กู) ตำบลรัษฎา อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ตรวมทั้งเรียกร้องให้สั่งการให้กรมธนารักษ์เพิกถอนที่ดินราชพัสดุทับพื้นที่สุสาน (ที่ฝังศพ) มอแกน หมู่ 5 ตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต และขอให้กำกับและแก้ไขปัญหาการมีสิ่งปลูกสร้างที่พักอาศัยบนภูเขา

โดยตัวแทนชาวบ้านกล่าวว่า ชุมชนอนุรักษ์ป่าชายเลนบ้านกู้กู หมู่ที่ 3 ตำบลรัษฎา อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต เป็นชุมชนที่มีการคัดค้านการบุกรุก ทำลาย เปลี่ยนแปลงสภาพป่าชายเลนซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติ คลองชีเหล้า – ท่าจีน จากนายทุนเพื่อให้พื้นที่ป่าชายเลนกลับมาเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกัน แต่ปัจจุบันปัญหาการบุกรุกที่ดินของนายทุนบริเวณดังกล่าวยังไม่ได้รับการแก้ไขแม้ว่าจะมีการร้องเรียนไปยังหลายหน่วยงานแล้วก็ตาม ทั้งที่หน่วยงานต่างๆออกมายืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าชายเลนจริงไม่สามารถออกเอกสารสิทธิ์ใดๆได้ แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์แต่อย่างใด จึงอยากเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีสั่งการให้มีการเพิกถอนที่ดินแปลงที่มีการบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลนดังกล่าวโดยด่วน แต่หากท่านไม่เห็นความสำคัญในปัญหาดังกล่าว ชาวชุมชนบ้านกู้กูและเครือข่ายภาคประชาชนที่มีแนวคิดเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในจังหวัดภูเก็ต จังหวัดพังงาและจังหวัดอื่นๆในภาคใต้จะออกมาต่อสู้มิให้ผู้ใดมาครอบครองที่ดินป่าชายเลนเฉลิมพระเกียรติดังกล่าวไม่ว่าจะมีการใช้อำนาจรัฐในทางมิชอบในรูปแบบใดก็ตาม

นอกจากนั้นตัวแทนชุมชนมอแกนบ้านแหลมหลา – บ้านเหนือ ( หินลูกเดียว ) – ท่าฉัตรไชย ได้ยื่นหนังสือให้รัฐบาลสั่งการให้กรมธนารักษ์เพิกถอนที่ดินราชพัสดุทับพื้นที่สุสาน ( ที่ฝังศพ ) ชาวมอแกน หมู่ 5 ตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต จำนวน 29-3-54 ไร่ และให้ขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ป่าช้าตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ซึ่งตรงกับความเห็นของผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต

ขณะที่เครือข่ายองค์กรชุมชนชายฝั่งจ.ภูเก็ต ได้ยื่นหนังสือให้รัฐบาลมีมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมและป้องกันการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ กรณีปัญหาการมีสิ่งปลูกสร้างที่พักอาศัยบนภูเขา และลงโทษทางวินัยต่อข้าราชการที่เกี่ยวข้องที่ปล่อยปละละเลยการปฏิบัติหน้าที่และไม่บังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์และเป็นธรรม นอกจากนี้ตัวแทนชาวบ้านยังได้ร้องเรียนว่าปัญหาการบุกรุกป่าไม้ที่จังหวัดพังงาได้มีการใช้อำนาจอิทธิพลของเจ้าหน้าที่รัฐไปในทางที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น กรณีผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเกาะยาว ที่เป็นญาติกับกลุ่มทุนที่ฟ้องร้องดำเนินคดีชาวบ้านที่ออกมาปกป้องทรัพยากร นอกจากนี้ยังมีอัยการคดีพิเศษคนจังหวัดพังงาที่คอยวิ่งเต้นเพื่อล้มคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษฟ้องร้องนายทุนที่ครอบครองพื้นที่ป่าโดยมิชอบ เป็นต้น

นอกจากนี้กลุ่มสหภาพแรงงานเครือโรงแรมเชอราตันแกรนด์ลากูน่าภูเก็ต ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกรณีพนักงาน 57 คน ถูกเลิกจ้างและตำรวจดำเนินคดี 5 ข้อหา โดยขอให้กลับเข้าทำงานและรับค่าทดแทนเลิกจ้างอย่างเป็นธรรมและกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าตลาดสดเทศบาลนครภูเก็ตได้ยื่นหนังสือ ระบุว่าขอให้ดูแลเรื่องการจัดเก็บค่าเช่าแผงและค่าเซ้งที่แพงเกินควร รวมถึงการก่อสร้างไม่มาตรฐาน

โดยนายรัฐมนตรีได้รับเรื่องไว้ และกล่าวว่า กรณีของที่ดินบ้านกู้กูนั้นได้มอบหมายให้นายสาทิต วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบและแก้ไขปัญหา ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้น ได้รับเรื่องไว้และจะสั่งการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป


เกิดอุบัติเหตุรถ ผบก.ภูเก็ตขณะเดินทางไปรับนายก


เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2553 ร.ต.อ.ธีระวัฒน์ อำนาจเจริญ ร้อยเวร สภ.เมืองภูเก็ตได้รับแจ้งว่าเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ชนกันที่บริเวณสามแยกบางคู (แยกโตโยต้า) ถ.เทพกระษัตรี ต.รัษฎา อ.เมือง มีผู้บาดเจ็บจำนวนหนึ่ง จึงพร้อมด้วยรถพยาบาลโรงพยาบาลสิริโรจน์ภูเก็ตรุดไปรับคนเจ็บ โดยที่เกิดเหตุอยู่กลางสามแยกขาออกนอกเมือง พบรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้ารุ่นแคมรี่สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ฌส 908 กรุงเทพมหานคร สภาพด้านหน้าพับยับ บริเวณพวงมาลัยรถและด้านข้างคนนั่งมีถุงลมนิรภัยระเบิด ภายในรถมีผู้บาดเจ็บ 3 ราย แต่งกายด้วยชุดของเจ้าหน้าที่ตำรวจเต็มยศ ประกอบด้วย พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผบก.ภ.จ.ภูเก็ต ร.ต.อ.ฐาปกรณ์ ทุมมาศ นายเวร ผบก.ภ.จ.ภูเก็ต และ ด.ต.ชาญพัฒน์ พุ่มเกลี้ยง ผบ.หมู่งาน ป.สภ.เมืองภูเก็ต ใกล้ๆ กับรถมิตซูบิชิรุ่นปาเจโร่สีขาว ทะเบียน ก 9515 ภูเก็ตป้ายแดงจอดอยู่กลางถนนสภาพด้านหน้าพังเล็กน้อย โดยกันชนหลุดออกจากตัวรถและไฟตัดหมอกแตก โดยมีนายภักดี ธนะกุล อายุ 37 ปีผู้รับเหมาอยู่ที่หาดป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต เป็นเจ้าของ จึงได้ทำการบันทึกรายละเอียดต่างๆ ไว้เป็นหลักฐานและได้ลากรถทั้ง 2 คันไปเก็บไว้ที่ สภ.เมืองภูเก็ต เพื่อรอการสอบสวนข้อเท็จจริง

จากการสอบสวน ด.ต.ชาญพัฒน์ พลขับรถประจำตำแหน่ง ผบก.ภ.จ.ภูเก็ต ทราบว่าก่อนเกิดเหตุได้รับ พล.ต.ต.พิกัด พร้อมด้วยนายเวรมาจากบ้านพัก เพื่อจะเดินทางไปรับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีที่สนามบินภูเก็ต ซึ่งจะมาประชุมสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ประจำปีที่โรงแรมเมอร์ลินบีช รีสอร์ท หาดไตรตรัง ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต โดยใช้ความเร็ว ประมาณ 60-80 กม. โดยใช้เส้นทาง ถ.เทพกระษัตรีออกจากตัวเมืองมุ่งหน้าไปยังสนามบิน จากนั้นเมื่อมาถึงบริเวณสามแยกดังกล่าว ซึ่งมีสัญญาณไฟจราจร แต่ขณะนั้นสัญญาณไฟกระพริบสีเหลือง จึงจอดอยู่ในเลนขวา เพื่อรอดูรถที่กำลังจะสวนมา ขณะนั้นก็มีรถยนต์โตโยต้าฟอร์จูนเนอร์สีดำจอดรอเพื่อให้รถของตนผ่านไปก่อน แต่ในระหว่างที่กำลังเคลื่อนรถออกไป ก็ได้มีรถมิตซูบิชิปาเจโร่สีขาวป้ายแดงวิ่งแซงออกมาจากด้านหลังรถโตโยต้าฟอร์จูนเนอร์สีดำที่จอดรอรถตนผ่านไปก่อนอย่างรวดเร็ว ทำให้รถพุ่งเข้าปะทะกับด้านหน้าซ้ายของรถมิตซูบิชิปาเจโร่เข้าอย่างแรง ถุงลมนิรภัยที่มีการติดตั้งอยู่ที่พวงมาลัย-คอนโซลด้านคนนั่งระเบิดออก ส่วน ผบก.ภ.จ.ภูเก็ตซึ่งนั่งด้านหลังเสียหลักกระแทกภายในรถจนได้รับบาดเจ็บที่เข่าซ้าย

ทั้งนี้ได้มีการนำเข้ารักษาตัวที่ห้อง 3618 ชั้น 6 รพ.สิริโรจน์ภูเก็ต ถ.เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ต.รัษฎา อ.เมืองภูเก็ต โดยแพทย์ได้นำเข้าห้องผ่าตัด เพื่อดึงเส้นเอ็นที่บริเวณหัวเข่าซ้าย โดยอีก 2 วันจะทำการเข้าเฝือกต่อไป ในขณะที่ ผบก.ยังสามารถพูดคุยได้ตามปกติ


วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

กมธ.ท่องเที่ยว สว.ฟังความเห็นชิโน-โปรตุกิส


เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2553 ที่โรงแรมเมโทรโพลภูเก็ต รศ.ดร.ทัศนา บุญทอง รองประธานวุฒิสภา เป็นประธานเปิดการสัมมนา เรื่อง “การเสริมสร้างกิจกรรมการพัฒนาการท่องเที่ยวพื้นที่ศิลปวัฒนธรรมชิโน-โปรตุกิส จังหวัดภูเก็ต” ซึ่งทางคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว วุฒิสภา ร่วมกับจังหวัดภูเก็ต และเทศบาลนครภูเก็ต โดยมีนางธันยรัศม์ อัจฉริยะฉาย ประธานคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว วุฒิสภา พร้อมด้วยคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยววุฒิสภา นายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต น.ส.สมใจ สุวรรณศุภพนา นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต สมาชิกสภาเทศบาลนครภูเก็ต นักวิชาการ ประชาชนย่านเมืองเก่าภูเก็ต เข้าร่วมประมาณ 200 คน โอกาสเดียวกันนี้ยังได้มีการอภิปราย เรื่อง การเสริมสร้างกิจกรรมการพัฒนาการท่องเที่ยวพื้นที่ศิลปวัฒนธรรมชิโน-โปสตุกิส จังหวัดภูเก็ต ด้วย

นางธันยรัศม์ อัจฉริยะฉาย ประธานคณะกรรมาธิการ การท่องเที่ยว วุฒิสภา กล่าวว่าด้วยภูเก็ตเป็นจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ของประเทศไทยที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่มีความสวยงามและมีชื่อเสียงระดับโลก จึงทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศนิยมเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากปีละประมาณ 5-6 ล้านคน สำหรับการจัดทำโครงการศึกษาการเสริมสร้างกิจกรรมการพัฒนาการท่องเที่ยวพื้นที่ศิลปวัฒนธรรมชิโน-โปรตุกิส จังหวัดภูเก็ตเป็นโครงการหนึ่งในการอนุรักษ์และฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมในเขตเมืองเก่าจังหวัดภูเก็ตได้อย่างมีมาตรฐานและยั่งยืน รวมทั้งจะเป็นประโยชน์ด้านการพัฒนาให้มีพื้นที่สำหรับการจัดกิจกรรมเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว และดึงดูดให้มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตเพิ่มมากขึ้น

ส่วนของการสัมมนาดังกล่าว เพื่อรับทราบข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคในการจัดทำโครงการฯ จากทางภาครัฐ เอกชนและชุมชนในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องโยเฉพาะประชาชนที่อยู่ในเขตเมือง เพื่อกำหนดแนวทางและแผนงานการเสริมสร้าง ฟื้นฟู ปรับปรุงในเขตการท่องเที่ยวพื้นที่วัฒนธรรมชิโน-โปรตุกิส จังหวัดภูเก็ต ได้อย่างสอดคล้องกับนโยบายการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตของหน่วยงานภาครัฐ และนำไปสู่การกระตุ้นให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศเกิดความเติบโตอย่างสูงสุด ฟื้นฟูเศรษฐกิจธุรกิจการค้าในเขตเมืองให้กลับมารุ่งเรือง และสร้างรายได้ให้คนภูเก็ต ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดภาคใต้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน นางธันยรัศม์กล่าว

ทางด้าน น.ส.สมใจ สุวรรณศุภพนา นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต กล่าวว่า แผนงานการปรับปรุงเส้นทางประวัติศาสตร์เขตเมืองเก่าจังหวัดภูเก็ต เน้นการสร้างบรรยากาศการชมเมืองเก่าให้เหมือนอยู่ในพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่มีชีวิตย้อนยุค เส้นทางชมเมืองจะมีเนื้อหาที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นการซ้อนภาพอดีตบนภาพปัจจุบันของเมืองเก่า รวมถึงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมภายในเขตเมืองเก่า เช่น ปรับปรุงทางเท้า ถนน จัดทำถนนคนเดิน ปรับสายไฟฟ้าลงใต้ดิน ปรับปรุงป้ายบอกทางและอุปกรณ์ประดับถนน ประกอบด้วย การปรับปรุงภูมิทัศน์คลองบางใหญ่ให้กลับมาใสสะอาดและเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจแห่งใหม่ในเมืองเก่า ปรับปรุงอาคารที่จอดรถสวนเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษาให้เป็นอาคารพานิชยกรรมแนวย้อนยุคเพื่อเป็นจุดสนับสนุนและประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับวิถีชีวิตบนถนนสายพานิชยกรรมดั้งเดิมเช่นถนนถลาง ปรับปรุงอาคารธนาคารชาร์เตอร์ดและอาคารสถานีตำรวจตำบลตลาดใหญ่เป็นพิพิธภัณฑ์เพอรานากัน เพื่อจัดแสดงวิถีชีวิตและระบบเศรษฐกิจของชาวบาบ๋าและกลุ่มชนเกี่ยวข้องในสมัยก่อตั้งย่านเมืองเก่าภูเก็ต นอกจากนี้ยังมีแผนงานปรับปรุงซ่อมแซมตึกแถวในเขตเมืองเก่าจังหวัดภูเก็ต กรณีศึกษาถนนถลาง การปรับปรุงเปลือกอาคารด้านหน้าบนถนนถลางให้กลับไปสู่สถาปัตยกรรมชิโน-โปรตุกีสแบบดั้งเดิม ซึ่งจะเป็นการเริ่มต้นของการจัดระเบียบทางกายภาพและเป็นแบบอย่างของการปรับปรุงอาคารรูปแบบสถาปัตยกรรมชิโน-โปรตุกีสจังหวัดภูเก็ต

อย่างไรก็ตามการแสดงความคิดเห็นของประชาชนในภาพรวมนั้น เห็นด้วยที่จะมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเขตเมือง แต่ในการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงส่วนใดๆ นั้น จะต้องมีการสอบถามความคิดเห็นของผู้ที่อยู่ในย่านเมืองเก่า รวมถึงจะต้องให้เกิดผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวชุมชนให้น้อยที่สุด รวมไปถึงการบริหารจัดการเพื่อไมให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง นอกจากนี้ควรจะมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในย่านเมืองเก่า เพราะการศึกษาวิจัยที่ผ่านมาจะเน้นเฉพาะในเรื่องของทางด้านสถาปัตยกรรม แต่การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ยังมีน้อยมาก


ภูเก็ตลงนามเพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำบางวาด



เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2553 ที่ห้องประชุมชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต ได้จัดให้มีพิธีลงนามความร่วมมือ การพัฒนางานชลประทานแบบบูรณาการ โครงการอ่างเก็บน้ำบางวาด (เพิ่มความจุอ่างฯ) อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ระหว่าง กรมชลประธาน โดยนายวีรวัฒน์ อังศุพาณิชย์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานภูเก็ต กับ จังหวัดภูเก็ต โดยนายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และเทศบาลเมืองกะทู้ โดยนายชัยอนันท์ สุทธิกุล นายกเทศมนตรีเมืองกะทู้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการกักเก็บน้ำของเขื่อนบางวาดจากเดิม 7.3 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็น 10.2 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งจะทำให้ปริมาณน้ำมีใช้เพียงพอตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้งที่มักจะประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค ซึ่งการลงนามความร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงานดังกล่าว ถือเป็นครั้งแรกของจังหวัดภูเก็ตที่มีการบูรณาการความร่วมมือกัน

นายวีรวัฒน์ อังศุพาณิชย์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานภูเก็ต กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ตเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีอัตราการเติบโตของการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภคเพิ่มขึ้นตามอัตราการเจริญเติบโตทางด้านธุรกิจการท่องเที่ยวและด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทางจังหวัดได้กำหนดให้เป็นวาระสำคัญที่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาแบบบูรณาการ และจากการหารือร่วมกันระหว่างจังหวัดภูเก็ต โครงการชลประทานภูเก็ตและเทศบาลเมืองกะทู้ เพื่อกำหนดแนวทางในการแก้ปัญหาแหล่งน้ำต้นทุนที่ไม่เพียงพอต่อการผลิตน้ำประปา รวมถึงปัญหาน้ำอุปโภค-บริโภค โดยให้ความสนใจเรื่องการพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนที่มีอยู่เดิมเพื่อให้สามารถมีน้ำใช้ได้ตลอดทั้งปี

โดยทางจังหวัดภูเก็ต กรมชลประทาน และเทศบาลเมืองกะทู้ จึงมีความเห็นร่วมกันที่จะทำบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนางานชลประทานแบบบูรณาการ โครงการอ่างเก็บน้ำบางวาด เพื่อเพิ่มความจุของอ่างเก็บน้ำขึ้น เพื่อเป็นรูปแบบการพัฒนางานชลประทานแบบบูรณาการในการบริหารจัดการน้ำแบบมีส่วนร่วมหรือการร่วมทุนระหว่างภาครัฐ เอกชน และท้องถิ่น (PPP:Public Private Partnership) ในอนาคต ซึ่งโครงการเพิ่มความจุของอ่างเก็บน้ำบางวาด จะเป็นการช่วยเพิ่มปริมาณแหล่งน้ำต้นทุนให้มากขึ้น จากเดิมซึ่งจุน้ำได้ 7.3 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็น 10.2 ล้านลูกบาศก์เมตร นายวีรวัฒน์กล่าว

นายวีรวัฒน์ กล่าวด้วยว่า ในการเพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำบางวาด นั้นจะเป็นการเสริมสันเขื่อนขึ้นไปจากเดิมประมาณ 1 เมตร พร้อมขยายสันเขื่อน ยกระดับและการติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งกรมชลประทานคาดว่าจะใช้งบประมาณจำนวนกว่า 300 ล้านบาท โดยเป็นงบประมาณประจำปี 2554 และคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในปีงบประมาณ 2554 เชื่อว่าหลังการดำเนินการเสร็จสิ้นจะช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในภูเก็ตได้เป็นอย่างดี ซึ่งขั้นตอนขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบเพื่อเสนอของบประมาณ

สำหรับสถานการณ์น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคของจังหวัดภูเก็ตในปี 2553 นั้นจังหวัดภูเก็ตมีความต้องการใช้น้ำประมาณ 51 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี หรือ 145,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน ในระยะยาวถึงปี 2570 ความต้องการน้ำประมาณ 78 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 214,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน ปัจจุบันใช้น้ำจากแหล่งเก็บกักน้ำ สูบจากลำรางธรรมชาติ น้ำทะเลและน้ำใต้ดิน รวมความจุแหล่งเก็บกักน้ำที่มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 21 ล้านลูกบาศก์เมตร มีปริมาณน้ำที่สามารถนำมาใช้ได้ประมาณ 46 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี กำลังการผลิตน้ำประปาสูงสุดปัจจุบันของทุกแหล่ง รวมประมาณ 45 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี หรือ 125,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน แต่โรงกรองน้ำบางแห่งน้ำดิบไม่เพียงพอและมีการสูญหายในระบบจ่ายน้ำ ทำให้ผู้บริโภคใช้น้ำได้จริงประมาณ 36 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี หรือ 99,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน ประมาณร้อยละ 68 ของความต้องการทั้งหมด พื้นที่บริการประมาณร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั้งจังหวัด นายวีรวัฒน์กล่าว

ปัจจุบันในจังหวัดภูเก็ตมีแหล่งเก็บกักน้ำต่างๆ มีน้ำเฉลี่ยประมาณร้อยละ 50 ของความจุ ประมาณ 11 ล้านลูกบาศก์เมตร แหล่งน้ำหลักคือ อ่างเก็บน้ำบางวาด มีน้ำ 2.5 ล้านลูกบาศก์เมตร และอ่างเก็บน้ำบางเหนียวดำ มีน้ำ 6.5 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งการประปาส่วนภูมิภาคและประปาเทศบาลนครภูเก็ตนำน้ำไปใช้เฉลี่ย 1.2 ล้านลูกบาศก์เมตร/เดือน ปริมาณน้ำที่มีสามารถใช้ได้ในระยะ 7 เดือน หรือถึงมกราคมปีหน้า โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเก็บสะสมน้ำให้เต็มอ่างเก็บน้ำเพื่อไว้ใช้ให้เพียง พอในช่วงแล้งปีหน้า นายวีรวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมในตอนท้าย


ก.แรงงานจัดนัดพบประชาชน

เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 53 ที่สวนเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษามหาราชินี อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดโครงการกระทรวงแรงงานพบประชาชน จังหวัดภูเก็ต โดยมีนายสมชาย ชุ่มรัตน์ ปลัดกระทรวงแรงงาน นายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายเรวัต อารีรอบและนางเฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดภูเก็ต พรรคประชาธิปัตย์ ผู้บริหาร ข้าราชการสังกัดกระทรวงแรงงาน ตลอดจนผู้ประกอบการ ผู้ใช้แรงงาน และประชาชนผู้สนใจทั่วไป เข้าร่วม

ในโอกาสเดียวกันนี้ยังได้มีการมอบสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน จากกองทุนเงินทดแทนและกองทุนประกันสังคม และการมอบป้ายรับรองแก่สถานประกอบการที่มีบุคลาการผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ จำนวน 15 แห่ง จากจังหวัดสุราษฏร์ธานี พังงา กระบี่ และภูเก็ต

ทั้งนี้ภายในงานมีกิจกรรมเชิงบูรณาการร่วมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงงานและบางส่วนจากส่วนกลาง ประกอบด้วย การนัดพบแรงงานย่อยซึ่งมีผู้ประกอบการมารับสมัครงาน 40 ราย มีตำแหน่งงานว่าง 3,000 อัตรา มหกรรมอาชีพเพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระและอาชีพเสริม เช่น สาธิตการนวดสปาหน้า การทำรองเท้าชายหาด การเพ้นท์รองเท้าผ้าใบ เป็นต้น, การแนะแนวอาชีพ ให้คำปรึกษาทางอาชีพ ทดสอบความพร้อมทางอาชีพและนิทรรศการโลกของอาชีพ, การให้คำปรึกษาแหล่งการกู้เงินเพื่อการลงทุนประกอบอาชีพ, การส่งเสริมการไปทำงานในต่างประเทศเพื่อป้องกันการหลอกลวงแรงงาน คลินิกแรงงานเพื่อการประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้เกี่ยวกับภารกิจของกระทรวงแรงงาน การประกันสังคมมาตรา 40 การรับเรื่องราวร้องทุกข์, คลินิกกฎหมายแรงงานและให้บริการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคจากการทำงาน รวมถึงคลินิกแรงงานต่างด้าว การแข่งขันฝีมือแรงงานการผสมเครื่องดื่มแบบมืออาชีพและการประกอบอาหาร นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเสริม ได้แก่ บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า, การตรวจเช็คสภาพรถ, การให้บริการตรวจสุขภาพจากหน่วยงานสาธารณสุขในเครือข่ายประกันสังคม, บริการนวดแผนไทย, นวดหัวไหล่, นวดฝ่าเท้าและนวดอโรมา การเล่นเกมส์ตอบคำถามชิงรางวัล และการจำหน่ายสินค้าคุณภาพในราคาประหยัด เช่น สินค้า OTOP จากจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต และสินค้าอุปโภคบริโภคจากบริษัทซุปเปอร์ชิป จำกัด จังหวัดภูเก็ต รวมถึงการแสดงมหกรรมดนตรีลูกทุ่งด้วย

นายเฉลิมชัย กล่าวว่า รัฐบาลได้กำหนดนโยบายเร่งด่วนที่สำคัญประการหนึ่งคือ การแก้ไขปัญหาความยากจนโดยพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อเพิ่มศักยภาพ การหารายได้ สร้างโอกาสในอาชีพอย่างยั่งยืนให้แก่ประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกร แรงงานและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในฐานะที่ตนควบคุมดูแลกระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทด้านการส่งเสริมให้ประชาชนมีงานทำ มีความรู้ ความเข้าใจในการประกอบอาชีพ พัฒนาฝีมือแรงงานและศักยภาพกำลังแรงงาน คุ้มครองให้มีสภาพการจ้างงานตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อเป็นหลักประกันในการดำรงชีวิตที่มั่นคงของแรงงานไทยทั้งในระบบและนอกระบบ สิ่งที่สำคัญคือการนำบริการของกระทรวงแรงงาน เน้นย้ำการประชาสัมพันธ์ภารกิจของกระทรวงแรงงานไปสู่ชุมชนและประชาชนอย่างทั่วถึง

อย่างไรก็ตามนายเฉลิมชัย กล่าวถึงความคาดหวังจากการจัดกิจกรรมกระทรวงแรงงานพบประชาชน ว่า ประชาชนจะได้รับความรู้เกี่ยวกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานที่ประจำอยู่ภายในจังหวัด และเป็นการเผยแพร่ผลงานของกระทรวงแรงงานที่ได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดอบรมเพิ่มเพิ่มทักษะอาชีพ เป็นต้น


กมธ.ท่องเที่ยว สว.ลงพื้นที่ถนนถลาง


เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 53 ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว วุฒิสภา นำโดยนางธันยรัศม์ อัจฉริยะฉาย ประธานคณะกรรมาธิการ พร้อมคณะ เดินทางลงพื้นที่ถนนถลาง ถนนพังงา ซอยรมณีย์ ย่านเมืองเก่าภูเก็ต เพื่อที่จะนำข้อมูลใช้ในการพัฒนาถนนย่านเมืองเก่าภูเก็ต โดยมีนางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา นายกเทศมนตรีนครภูเก็ตให้การต้อนรับและร่วมให้ข้อมูลการพัฒนาถนนเมืองเก่าดังกล่าว

ทั้งนี้นางธันยรัศม์ ได้กล่าวว่า ทางเทศบาลนครภูเก็ตให้ความสำคัญในการพัฒนาถนนย่านเมืองเก่าให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ซึ่งทางคณะกรรมาธิการได้เชิญนายกเทศมนตรีนครภูเก็ตเป็นคณะอนุกรรมการด้านการท่องเที่ยวของคณะกรรมาธิการ เพื่อที่จะทางคณะกรรมาธิการจะเข้ามาเสริมและการผลักดันการพัฒนาถนนย่านเมืองเก่าได้อย่างไรบ้าง และเสนอผลักดันของบประมาณมาดำเนินการต่อไป ในฐานะที่ตนเป็นคนภูเก็ตอยากที่จะให้มีการพัฒนาถนนย่านเมืองเก่าเป็นแหล่งท่องเที่ยว เพื่อที่จะดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาในตัวเมืองภูเก็ตมากขึ้นและเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในตัวเมืองภูเก็ตอีกด้วย เพราะนักท่องเที่ยวที่เข้ามาภูเก็ตปีละ 6 ล้านคน มีจำนวนน้อยมากที่จะเข้ามาท่องเที่ยวและจับจ่ายในเขตเมือง นักท่องเที่ยวเกือบทั้งหมดจะท่องเที่ยวและจับจ่ายอยู่ตามชายหาดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตามในการที่จะพัฒนาเมืองเก่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวนั้น สิ่งสำคัญก็คือจะต้องฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ย่านเมืองเก่าก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่และต้องการที่จะพัฒนาย่านเมืองเก่าไปในทิศทางใด อย่างกรณีของประเทศสิงคโปร์ที่มีการพัฒนาตึกๆเก่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวและช้อปปิ้งของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งภูเก็ตก็สามารถทำได้เพราะเรามีย่านเมืองเก่าๆที่เป็นสถาปัตยกรรมชิโนโปตุกีสที่สวยงามในถนนสายต่างๆในย่านเมืองเก่าอยู่แล้ว

ขณะที่นางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา นายกเทศนตรีนครภูเก็ต กล่าวว่า ที่ผ่านมาเทศบาลนครภูเก็ตให้ความสำคัญกับการพัฒนาย่านเมืองเก่ามาก ได้มีการศึกษาข้อมูลเชิงสถาปัตยกรรมชิโนโปตุกีส ให้ความรู้กับประชาชนย่านเมืองเก่าในการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง มีการอบรมไกด์นำเที่ยว และล่าสุดได้มีการนำสายไฟฟ้าลงดิน และทางร.ท.ภูมิศักดิ์ หงษ์หยก ได้นำเสนอการพัฒนาย่านเมืองเก่าไปยังคณะกรรมาธิการท่องเที่ยว วุฒิสภา เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาเมืองเก่า ที่เป็นการต่อยอดการพัฒนาย่านเมืองเก่าที่ผ่านมาให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยเริ่มจากถนนถลางและซอยรมณีย์เป็นพื้นที่นำร่อง

โดยทางเทศบาลได้ให้ทางบริษัทเอกชนเข้ามาออกแบบการพัฒนาเมืองเก่า เพื่อกำหนดรูปแบบในการปรับปรุงทั้งในเรื่องทางเท้า หงอคากี่ ป้ายหน้าบ้านที่เป็นการบอกกล่าวเรื่องราวของบ้านแตะหลังที่ให้นักท่องเที่ยวสามารถที่จะศึกษาได้ด้วยตัวเอง มีการปรับปรุงสวนสาธารณะ 72 พรรษา มหาราชินี การดาษท้องคลองบางใหญ่ ปรับปรุงธนาคารซาร์เตอร์แบงก์ เป็นต้น

“ขณะนี้การออกแบบในรายละเอียดแล้วเสร็จภายใต้คอนเช็ปต์ที่ยึดความเป็นตัวตนและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืนและมีชุมชนเป็นเจ้าของ ซึ่งจะมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวันที่ 30 ก.ค. 2553 นี้” นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต กล่าวในที่สุด


วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คณะทำงานด้านการยุติธรรมฯ ลงพื้นที่ภูเก็ต


เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2553 ที่ห้องประชุมศาลากลาง จ.ภูเก็ต นายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ให้การต้อนรับคณะทำงานด้านการยุติธรรม สิทธิมนุษยชนและธรรมาภิบาล สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำโดยนายสุทธินันท์ จันทระ ประธานคณะทำงานฯ ซึ่งเข้าพบเพื่อชี้แจงการลงพื้นที่ศึกษาดูงาน เรื่อง กระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำความผิด โดยมีเจ้าหน้าที่จากทางสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดภูเก็ต ร่วมชี้แจงข้อมูล นอกจากนี้ยังได้มีการไปรับฟังข้อมูลสภาพปัญหาเด็กและเยาวชนที่อยู่ในความดูแลของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดภูเก็ต รับฟังปัญหาอุปสรรคในการวินิจฉัยชี้ขาดคดีเด็กและเยาวชนจากศาลจังหวัดภูเก็ต แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว รวมทั้งปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินงานที่เกี่ยวกับคดีเด็กและเยาวชนจากสำนักงานอัยการจังหวัดภูเก็ต

นายสุทธินันท์ จันทระ ประธานคณะทำงานฯ กล่าวว่า คณะทำงานด้านการยุติธรรม สิทธิมนุษยชนและธรรมาภิบาล สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้เล็งเห็นความสำคัญของปัญหาความรุนแรงในเด็กและเยาวชนไทยที่ปัจจุบันมีแนวโน้มกระทำผิดและถูกละเมิดสิทธิ รวมทั้งตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมเพิ่มมากขึ้นทุกวัน โดยจะเห็นได้ชัดเจนจากสถิติของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนที่เคยกระทำความผิดและถูกคุมประพฤติในสถานที่ต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนด แต่เมื่อเด็กและเยาชนเหล่านั้นกลับออกมาสู่สังคมเดิมยังมีการกระทำผิดซ้ำสองอีกและเป็นความผิดที่รุนแรงกว่าเดิม ซึ่งจะเห็นได้จากการนำเสนอข่าวสารทางโทรทัศน์ วิทยุและหนังสือพิมพ์

ดังนั้นเพื่อเป็นการศึกษาหาข้อมูลและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ คณะทำงานด้านการยุติธรรมฯ จึงกำหนดให้มีการศึกษา เรื่อง กระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำความผิดชอบ เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนากระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำความผิดว่าเกิดจากสาเหตุประการใดเป็นสำคัญ มีปัจจัยอะไรที่ทำให้เด็กและเยาวชนไทยกระทำความผิดมากขึ้น และรัฐมีมาตรการในการดำเนินการต่อปัญหาดังกล่าวอย่างไร โดยเฉพาะปัญหาด้านการบริหารจัดการของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องว่าได้มีการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันหรือไม่ อย่างไร

นายสุทธินันท์ กล่าวด้วยว่า หลังจากรับฟังข้อมูลแล้วก็จะจัดทำรายงานสรุปผลข้อมูลต่างๆ เสนอต่อที่ประชุมคณะทำงานด้านการยุติธรรม พิจารณาประกอบการจัดทำร่างความเห็นและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เรื่อง กระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำความผิด เสนอต่อที่ประชุมสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พิจารณาเสนอต่อรัฐบาลต่อไป


พม.ภูเก็ตมอบทุนการศึกษา


เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2553 ที่ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคารหลังใหม่ ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานพิธีมอบเกียรติบัตรและทุนการศึกษาแก่เด็กจากครอบครัวที่ได้รับการคัดเลือกจากโครงการครอบครัวคุณธรรมนำสังคมเข้มแข็ง (พาลูกจูงหลานเข้าวัด/โบสถ์/มัสยิด) ประจำปี 2553

ทั้งนี้นางสาวพรรณี สิทธิการ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า สืบเนื่องจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้มอบหมายให้สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของจังหวัดภูเก็ต ดำเนินกิจกรรม โครงการครอบครัวคุณธรรมนำสังคมเข้มแข็ง (พาลูกจูงหลานเข้าวัด/โบสถ์/มัสยิด) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สมาชิกในครอบครัว ได้ทำกิจกรรมร่วมกันในวันเสาร์ – อาทิตย์ หรือวันหยุดต่างๆ ณ ศาสนสถานของแต่ละชุมชนจำนวนพื้นที่ละ 20 – 30 ครอบครัว จำนวน 60 – 70 คน

สำหรับจังหวัดภูเก็ตในปี 2553 ได้ดำเนินงานตามโครงการฯ จำนวน 2 พื้นที่คือหมู่ที่ 6 ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ต และหมู่ที่ 1 ต.ป่าคลอก อ.ถลาง และคณะกรรมการได้พิจารณาคัดเลือกเด็กและครอบครัวที่เข้าร่วมโครงการเพื่อรับเกียรติบัตรและทุนการศึกษาทุนละ 1,000 เพื่อเป็นรางวัลการทำความดีพื้นที่ 10 ราย รวม 20 ราย


ชาวเกาะแก้วมอบดอกไม้ขอบคุณผู้ว่าฯ ภูเก็ต


เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2553 ที่ห้องทำงานผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต ผู้นำชุมชนเกาะแก้ว ต.เกาะแก้ว อ.เมือง จ.ภูเก็ต นำโดยนายสะมะแอ วงศ์นา โต๊ะอิหม่ามมัสยิดยาบรรนูดร์ (เกาะแก้ว) ได้เข้าพบนายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เพื่อมอบมอบกระเช้าดอกไม้เป็นการขอบคุณในโอกาสช่วยประสานหน่วยงานเกี่ยวข้องให้ดำเนินการติดตั้งไฟสัญญาณจราจร ณ จุดกลับรถเกาะแก้ว ซึ่งจะเปิดใช้ในเร็วๆ นี้เพื่อลดอุบัติเหตุบริเวณจุดกลับรถดังกล่าว

ทั้งนี้นายโยทิน ถิ่นเกาะแก้ว ได้กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2552 ชาวชุมชนเกาะแก้วได้มายื่นหนังสือกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตเรื่องขอติดตั้งไฟสัญญาณจราจร ณ จุดกลับรถเกาะแก้ว และทางผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตรับปากกับชาวบ้านว่าจะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการติดตั้งสัญญาณไฟจราจร

“สัญญาณไฟจราจรดังกล่าวคาดว่าจะสามารถช่วยลดอุบัติเหตุและจะทำให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้ใช้รถใช้ถนน อีกทั้งเป็นการยกระดับภูเก็ต ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกให้สง่างามยิ่งขึ้น” นายโยธิน กล่าว

อย่างไรก็ตามในโอกาสเดียวกันนี้ทางโต๊ะอิหม่ามสะมะแอ และทีมงานยังได้สวดขอพรจากองค์อัลเลาะห์ให้กับนายวิชัย พร้อมทั้งขอบคุณ ผ่านทางผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตไปยังหน่วยงานเกี่ยวข้องต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ต ที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนด้านงบประมาณติดตั้งสัญญาณไฟจราจร ณ จุดกลับรถเกาะแก้วดังกล่าวด้วย


ชาวบ้านสุดทนปลูกกล้วยประชดผู้รับผิดชอบ


เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2553 ชาวบ้านบริเวณปากซอยกิ่งแก้ว ถนนรัษฎานุสรณ์ ม.3 ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต จำนวนประมาณ 30 คน ได้รวมตัวกันนำต้นกล้วย ต้นตะไคร้ มาปลูกบนถนนรัษฎานุสรณ์ ซึ่งมีลักษณะเป็นหลุมเป็นบ่อ พร้อมเขียนป้ายข้อความต่างๆ เพื่อประท้วงเทศบาลตำบลรัษฎา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปแก้ไขปัญหา เนื่องจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวได้รับความเดือดร้อนจากถนนเป็นหลุมเป็นบ่อในช่วงที่มีฝนตก และมีฝุ่นในช่วงหน้าแล้ง เนื่องจากถนนสายดังกล่าวมีรถสัญจรไปมาเป็นจำนวนมาก และจากสภาพถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อดังกล่าวส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง

นายชัยวัตร ใจจ้องดำรง อายุ 67 ปี อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 52/144 ม.3 ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต กล่าวว่า ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวได้รับความเดือดร้อนจากถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อมาเป็นเวลาประมาณ 6-7 ปี และได้มีการร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่รับผิดชอบไปแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง มีเพียงการนำดินมากลบแก้ปัญหาชั่วคราว เมื่อมีฝนตกลงมาก็กลับมาเป็นหลุมเป็นบ่อเช่นเดิม นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านโดยเร็ว และถาวร ซึ่งนอกจากการแก้ปัญหาถนนเป็นหลุมเป็นบ่อแล้วอยากให้เร่งทำท่อระบายน้ำริมถนนด้วย เนื่องจากปัจจุบันนี้เมื่อมีฝนตกลงมาน้ำจะไหลหลากลงมาบนถนนก็จะนำมาทั้งทรายและดินโคลนลงมา ทำให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก

ขณะที่นายสุรทิน เลี่ยนอุดม นายกเทศมนตรีตำบลรัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาถนนเป็นหลุมเป็นบ่อที่บริเวณปากซอยกิ่งแก้วนั้น ทางเทศบาลฯ ได้ตั้งงบประมาณเพื่อซ่อมแซมปรับปรุงไว้แล้ว โดยได้มีการประกาศเพื่อจัดหาบริษัทรับเหมาก่อสร้าง แต่ปรากฏว่าไม่มีผู้สนใจ จึงได้ใช้วิธีจัดจ้างพิเศษแต่ก็ไม่มีเอกชนรายใดสนใจเข้ามาดำเนินการอีกเช่นกัน ทำให้ต้องยกเลิกโครงการดังกล่าว และได้ตั้งงบประมาณใหม่ในปี 2554 โดยจะทำเป็นถนนคอนกรีต คสล. ตั้งแต่ 3แยกซอยกิ่งแก้วอุทิศไปจนถึง ซ.กิ่งแก้ว ส่วนการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้าได้สั่งการให้กองช่างฯ เข้าไปดำเนินการแล้วโดยให้นำคอนกรีตไปถมหลุมที่เกิดขึ้นเพื่อให้ประชาชนสัญจรไปมาได้สะดวกมากขึ้น


ร่วมรณรงค์สวมหมวกนิรภัย 100 %

เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2553 ที่ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคารหลังใหม่ ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานพิธีรับมอบหมวกนิรภัย จากกองทุนสังคมสงเคราะห์ จังหวัดภูเก็ต นายเฉลิมเกียรติ อ่องเจริญ เพื่อมอบต่อกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต โดยพ.ต.อ.พีระยุทธ์ การะเจดีย์ รองผบก.ภ.จว.ภูเก็ต เป็นผู้รับมอบ

ทั้งนี้นายเฉลิมเกียรติ ได้กล่าวว่า ตามที่จังหวัดภูเก็ต โดยกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตได้ดำเนินการโครงการ “รณรงค์สวมหมวกนิรภัยทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ 100% ในเขตเทศบาลนครภูเก็ต” ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2553 นั้น ทางกองทุนสังคมสงเคราะห์จังหวัดภูเก็ต ได้พิจารณาสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ เพื่อจัดซื้อหมวกนิรภัยมอบให้กับกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต เพื่อมอบให้ประชาชนที่มีรายได้น้อย โดยครั้งนี้เป็นจำนวน 130 ใบ


วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ค่าย To be number one Youth Leader Network Camp

 
เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2553 ที่วิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย วิทยาเขตภูเก็ต อ.ถลาง จ.ภูเก็ต นายไชยวัฒน์ เทพี ปลัดจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดค่ายแกนนำเยาวชนเครือข่าย To be number one ซึ่งทางชมรม To be number one เขาล้าน ต.ศรีสุนทร อ.ถลาง จ.ภูเก็ต จัดขึ้น โดยมีนายธำรง ตันติวิรัชกุล นายก อบต.ศรีสุนทร และแกนนำเยาวชนจากทุกตำบลในอำเภอถลางเข้าร่วมจำนวน 160 คน

นายไชยวัฒน์ เทพี ปลัดจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ชมรม To be number one บ้านลิพอนเขาล้าน เป็นชมรมหนึ่งซึ่งดำเนินงานและกิจกรรมภายใต้โครงการ To be number one ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาสิริวัฒนาพรรณวดี ดำเนินกิจกรรมด้านการณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชนอย่างเข้มแข็งส่งผลให้ชุมชนบ้านลิพอนเขาล้าน รวมถึงพื้นที่ใกล้เคียงตำบลศรีสุนทรมีจำนวนยาเสพติดลดลง ทั้งผู้ค้าและผู้เสพ ที่สำคัญ คือได้มีการสร้างเยาวชนแกนนำที่เข้มแข็งเพิ่มขึ้นทุกปี

ปัจจุบันมีเยาวชนแกนนำทั้งสิ้น 4 รุ่น จำนวนกว่า 150 คน และขยายเครือข่ายการดำเนินงานด้านการรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ไปสู่ 3 โรงเรียน 3 ชุมชน และการศึกษานอกโรงเรียน เพราะตระหนักถึงการเอาชนะปัญหายาเสพติดว่า มิใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ทุกคนทุกหน่วยงานต้องร่วมมือร่วมใจ เป็นพลังในการเอาชนะปัญหายาเสพติด ตามยุทธศาสตร์ 5 รั้วป้องกันและในฐานะรั้วชุมชนที่เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการป้องกันยาเสพติดและพัฒนาเด็กและเยาวชนในการพัฒนาและสร้างภูมิคุ้มกันในตนเอง ให้ห่างไกลจากภัยสังคมทุกรูปแบบ และที่สำคัญให้ห่างไกลปัญหายาเสพติด

การจัดค่ายแกนนำเยาวชนเครือข่าย To be number one หรือ To be number one Youth Leader Network Camp (TYN CAMP : ทีวายเอ็นแคมส์) “ปฏิบัติตนให้มีภูมิคุ้มกัน ปฏิบัติการสร้างชุมชนเข้มแข็ง” เพื่อพัฒนาศักยภาพเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเยาวชนและสร้างเสริมองค์ความรู้ให้กับเยาวชนในการสร้างชุมชุนเข้มแข็งห่างไกลยาเสพติด เป็นการขยายเครือข่ายแกนนำเยาวชน To be number one กิจกรรมด้านการรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของจังหวัดภูเก็ต ตลอดจนเตรียมความพร้อมแกนนำเยาวชนอำเภอถลางในการดำเนินงาน / กิจกรรมด้านการณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของจังหวัดภูเก็ต ในปี 2553 และเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรแกนนำเด็กและเยาวชนอำเภอถลาง นายไชยวัฒน์กล่าว

ทางด้านนายธำรง ตันติวิรัชกุล นายก อบต. ศรีสุนทร กล่าวว่า ทาง อบต. ได้ตระหนึกถึงความสำคัญของโครงการดังกล่าว และได้สนับสนุนตลอดมา เพื่อเป็นการสนับสนุนให้เยาวชนมีภูมิคุ้มกันและห่างไกลจากยาเสพติด ตลอดจนเป็นการสร้างเครือข่ายของกลุ่มเยาวชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดทั้งในระดับพื้นที่และระดับจังหวัดต่อไป



ตร.ภูเก็ต พร้อมรปภ.ประชุมพรรคปชป.

เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2553 ที่ห้องประชุมกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พ.ต.อ.โกมล วัตราภรณ์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานการประชุมผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรทุกสถานีในพื้นที่ เพื่อวางแผนเตรียมความพร้อมในการดูแลรักษาความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกด้านการจราจรในช่วงระหว่างการประชุมของพรรคประชาธิปัตย์ที่จังหวัดภูเก็ต ในระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม – 1 สิงหาคมที่จะถึงนี้ ที่โรงแรมเมอร์ลิน บีช ป่าตอง อ.กะทู้ ซึ่งจะมีรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมสัมมนา

ทั้งนี้ได้มีการได้เตรียมความพร้อมรักษาความปลอดภัยตามเส้นทางจราจรของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีตั้งแต่สนามบินนานาชาติภูเก็ต ไปจนถึงโรงแรมสถานที่พัก และสถานที่จัดประชุม ซึ่งจะมีการใช้ชุดรักษาความปลอดภัยทั้งนอกและในเครื่องแบบ รวมถึงชุดตรวจวัตถุต้องสงสัย เพื่อให้การดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดตลอดการสัมมนาที่จังหวัดภูเก็ต

สำหรับการจัดสัมมนาพรรคประชาธิปัตย์ที่จังหวัดภูเก็ตในครั้งนี้ จะมีการระดมความเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อสนับสนุนความปรองดองของประเทศ ในหัวข้อ รวมพลังทวีคูณแก้ปัญหาชาติ โดยเปิดโอกาสให้สมาชิกพรรคฯได้ร่วมกันหาแนวทาง เพื่อขยายผลการสร้างแนวร่วมจากภาคประชาสังคม ให้ก้าวข้ามวิกฤติความขัดแย้งและสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในชาติ

อย่างไรก็ตามในวันที่ 1 สิงหาคม จะมีการเปิดเวทีให้ประชาชนจากทุกสาขาอาชีพในพื้นที่ ร่วมพบปะกับผู้บริหารพรรคและแสดงความคิดเห็นในหัวข้อ รวมพลังสร้างภูเก็ต เพื่อร่วมกันเสนอทางออกนำพาประเทศก้าวข้ามวิกฤติความขัดแย้ง ซึ่งเป็นการดำเนินการคู่ขนานกับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทยด้วย


กงสุลใหญ่จีนพบรองผู้ว่าฯ ภูเก็ต


เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 28 กรกฎาคม 2553 ที่ห้องรับรองศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และนายตัน จี เคียง กรรมการสภาอุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ต ร่วมให้การต้อนรับนางหวัง ชันฟล (WANG TSANFEN) กงสุลใหญ่สารณรัฐประชาชนจีน ประจำจังหวัดสงขลา ในโอกาสเข้าพบเพื่อขอบคุณที่ทางจังหวัดภูเก็ตที่ให้การสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ของสถานกงสุลจีน และขอขอบคุณที่ดูแลนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาท่องเที่ยวเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต

นางหวัง ชันฟล กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนของทางการจีน ขอขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ในการดูแลนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาท่องเที่ยวในภูเก็ต โดยเฉพาะเรื่องอุบัติเหตุรถชนหรืออุบัติเหตุต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวจีนแล้ว แต่อย่างไรก็ตามขอความร่วมมือเพิ่มเติมในการแจ้งข้อมูลให้กับทางกงสุลได้ทราบด้วย

“ทางกงสุลฯ คิดว่าในเร็วๆ นี้อาจจะเปิดสาขาดูงานให้กับหน่วยงานต่างๆ ที่รับผิดชอบด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต และหวังว่าอนาคตชาวจีนคงจะเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยทางการจีนให้ความสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวกับไทย โดยเฉพาะภูเก็ตและจังหวัดภาคใต้ ซึ่งถือเป็นความสัมพันธ์ระหว่างกันของไทยกับจีน” กงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำจังหวัดสงขลากล่าว

ทางด้านนายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ตมีความปลอดภัยสูงและไม่มีความวุ่นวาย ดังนั้นจึงสามารถสร้างความมั่นใจให้กับทุกประเทศได้ ส่วนของสถานการณ์ทางการเมืองในกรุงเทพมหานครก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งข้อเสนอแนะต่างๆ ที่ได้รับก็จะนำเสนอให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องรับทราบและดำเนินการแก้ปัญหาต่อไป ทั้งนี้ทางจังหวัดภูเก็ตพร้อมที่จะสร้างกิจกรรมเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ต่อกันในอนาคต ซึ่งปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวใน จ.ภูเก็ต และประเทศไทยมากขึ้น รวมถึงนักท่องเที่ยวอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี อินโดนีเซีย เป็นต้น ขณะเดียวกันในส่วนของคนไทยก็เดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในประเทศจีนมากขึ้นเช่นกัน

สพท.เสริมความรู้ยาเสพติดแกนนำสภานักเรียน


เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 28 กรกฎาคม 2553 ที่ห้องประชุมโรงเรียนวิชิตสงคราม นายธีรยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดโครงการอบรมแกนนำสภานักเรียนป้องกันและแก้ไขปัญหาสารเสพติดในสถานศึกษา ประจำปีงบประมาณ 2553 รุ่นที่ 1 ซึ่งทางสำนักเขตพื้นที่การศึกษาภูเก็ต (สพท.ภูเก็ต) จัดขึ้น โดยมีแกนนำสภานักเรียนนักศึกษา โรงเรียนทุกสังกัดในจังหวัดภูเก็ต ทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา(ขยายโอกาสทางการศึกษา) เข้าร่วมจำนวน 100 คน เจ้าหน้าที่และวิทยากร จำนวน 20 คน ในระหว่างวันที่ 28 – 30 กรกฎาคม นี้ และรุ่นที่ 2 แกนนำสภานักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ระดับอาชีวศึกษาทุกสังกัดในจังหวัดภูเก็ต จำนวน 100 คน เจ้าหน้าที่และวิทยากรจำนวน 20 คน อบรมในระหว่างวันที่ 4 – 6 สิงหาคมที่จะถึงนี้

นายประสิทธิ์ สนิท รองผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาภูเก็ต กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ 5 รั้วป้องกัน เป็นยุทธศาสตร์หลักในการดำเนินงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยเฉพาะและเยาวชน ซึ่งเป็นพลังสำคัญของชาติ ด้วยการทำให้โรงเรียนมีความเข้มแข็ง มีภูมิคุ้มกันต่อปัญหายาเสพติดโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเยาวชนให้ห่างไกลอบายมุข และพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ได้แก่ การเสพยาเสพติด หนีเรียน ติดเกมส์ การทะเลาะวิวาท การพนัน ตั้งแก็งค์ก่อกวน ซึ่งมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากความอยากรู้ อยากลอง อิทธิพลจากกลุ่มเพื่อนชักชวน ทำให้เยาวชนมีโอกาสใช้ยาเสพติดได้ง่าย เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันไม่เข้มแข็ง เป็นปัญหาทางสังคมของประเทศชาติ

สพท.ภูเก็ต ได้ตระหนักถึงความสำคัญด้านการป้องกันยาเสพติด จึงจัดทำโครงการดังกล่าวขึ้น เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสารเสพติด แก่นักเรียนนักศึกษาแกนนำ เพื่อต่อต้านยาเสพติดในสถานศึกษาและสร้างจิตสำนึก ชี้แนะถึงโทษภัยของสารเสพติด เฝ้าระวังไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับสารเสพติด โดยประสานความร่วมมือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับสิ่งเสพติดในสถานศึกษา เพื่อไม่ให้เยาวชน นักเรียน นักศึกษาก่อปัญหาต่างๆ ในสังคมและสถานศึกษา และดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล และดำเนินการตามปฏิบัติการของกระทรวงมหาดไทย CLEAN & SEAL ทำความดีเพื่อแผ่นดินกวาดล้างให้สิ้นยาเสพติด นายประสิทธิ์กล่าว


อบจ.ภูเก็ตเตรียมเปิดศูนย์โอทอปฯ


นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต (อบจ.ภูเก็ต) กล่าวถึงการเปิดให้บริการศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน หรือศูนย์โอทอป อบจ.ภูเก็ต ซึ่งตั้งอยู่บริเวณสะพานหิน อ.เมืองภูเก็ต ว่า ทาง อบจ.ภูเก็ต ได้ร่วมกับเครือข่ายโอทอปจังหวัดภูเก็ตคัดเลือกผลิตภัณฑ์ชุมชนต่างๆ นำสินค้าเข้าไปจัดจำหน่ายภายในศูนย์ฯ มาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ที่ผ่าน ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจระดับหนึ่ง โดยลูกค้าในระยะแรกส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มของผู้ที่มาศึกษาดูงาน อบจ.ภูเก็ต และมีประชาชนบ้างบางส่วน เนื่องจากยังไม่ได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการจึงยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ทั้งนี้จะมีการเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการประมาณปลายปีนี้

“การจัดทำศูนย์จำหน่ายสินค้าโอทอป อบจ.นั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ สินค้าเกษตร สินค้าชุมชน อาหารและสินค้าที่ระลึก ตลอดจนเป็นการส่งเสริมรายได้และสร้างอาชีพให้กับประชาชนอีกทางหนึ่ง รวมทั้งจะทำให้สินค้าของชุมชนในจังหวัดภูเก็ตเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นแหล่งรวมสินค้าชุมชนที่มีให้เลือกหลากหลายชนิด ณ จุดเดียว”


อย่างไรก็ตามนอกจากภายในอาคารซึ่งมี 2 ชั้น โดยจัดล่างจัดไว้สำหรับการวางจำหน่ายสินค้าชุมชนชนิดต่างๆ แล้ว ในส่วนของชั้นสองจัดเป็นพื้นที่สำหรับงานศิลปะจากศิลปินต่างๆ ของจังหวัดภูเก็ต ขณะที่ด้านนอกอาคารซึ่งนี้จะจัดทำเป็นตลาดชุมชนและเปิดให้บริการเฉพาะในช่วงวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ โดยเปิดโอกาสให้มีการนำสินค้าชนิดต่างมาจัดแสดง รวมไปถึงงานแสดงทางด้านศิลปวัฒนธรรมด้านอื่นๆ ด้วย ขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการทดลองทำกิจกรรมด้วยเช่นกัน เพื่อเลือกให้เหมาะสมและมีความแตกต่างจากตลาดนัดทั่วๆ ไป นายไพบูลย์กล่าว

ในส่วนของการปรับปรุงเพิ่มเติมนั้น คาดว่าจะต้องใช้งบประมาณอีกจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะการปรับภูมิทัศน์โดยรอบอาคาร รวมถึงการจัดระเบียบรถเข็นจำหน่ายสินค้าด้านหน้าอาคารซึ่งจะได้มีการหารือในรายละเอียดกันครั้งเพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและมีความสวยงามมากยิ่งขึ้น นายไพบูลย์ กล่าวและว่า นับเป็นความโชคดีเมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ผู้เข้าประกวดมิสไทยแลนด์เวิร์ด 2010 รอบ 30 คนสุดท้ายซึ่งเดินทางมาเก็บตัวที่จังหวัดภูเก็ต ได้แวะเข้าเยี่ยมชมศูนย์จำหน่ายสินค้าโอทอป เพราะจะเป็นส่วนหนึ่งในการที่จะช่วยประชาสัมพันธ์ศูนย์ฯ ดังกล่าวให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น



ปภ.ภูเก็ตเตือนระวังภัยธรรมชาติในช่วงมรสุม


นายสันติ์ จันทรวงษ์ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ระยะนี้ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตประสบกับปัญหามรสุมตะวันตกเฉียงใต้พาดผ่าน ทำให้มีฝนตกหนัก ลมพายุกระโชกแรง ส่งผลให้ต้นไม้ล้มทับบ้านเรือนประชาชนและล้มกีดขวางเส้นทางการจราจร รวมถึงป้ายโฆษณาต่างๆ จึงขอให้ประชาชนพยายามติดตามข้อมูลข่าวสารจากกรมอุตุนิยมวิทยาหรือประกาศเตือนผ่านทางสถานีวิทยุกระจายเสียงหรือสถานีวิทยุโทรทัศน์ต่างๆ อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง โดยเฉพาะประชาชนที่ตั้งบ้านเรือนของอยู่ใกล้ต้นไม้ใหญ่หรือแหล่งน้ำต่างๆ ขอให้เฝ้าระวังเป็นกรณีพิเศษด้วย เพราะอาจจะมีน้ำบ่าไหลหลากและดินโคลนถล่มได้ รวมไปถึงการใช้รถใช้ถนนสัญจรไปมาก็ขอให้ใช้ความระมัดระวังเช่นเดียวกัน

ปัญหาฝนตกหนักและพายุลมแรง ในช่วงนี้ที่เห็นเด่นชัดเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีเหตุทำให้มีเรือประมงจม กระโดงเรือใบหัก คลื่นซัดคนตกปลาและต้นมะขามโค่นล้มทับนักเรียนเสียชีวิต 1 ราย ในพื้นที่บ้านพารา ต.ป่าคลอก อ.ถลาง ซึ่งก็ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ พร้อมรถกู้ภัยและเครื่องมือ เข้าไปในพื้นที่เพื่อตัดกิ่งไม้ และเคลื่อนย้ายออกจากผิวจราจรเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ยังประสานงานกับเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วทั้งจังหวัดภูเก็ตเร่งรัดให้การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเสียหายเดือดร้อนที่เกิดขึ้นในช่วงนี้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังได้ประสานไปยังตำรวจท่องเที่ยวภูเก็ต ให้แจ้งเตือนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศให้ใช้ความระมัดระวังในการเดินทางท่องเที่ยวทั้งบนบกและในทะเลด้วย นายสันติ์กล่าว

นายสันติ์ กล่าวด้วยว่า ประชาชนที่ประสบภัยธรรมชาติสามารถแจ้งขอความช่วยเหลือหรือติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ต หมายเลขโทรศัพท์ 076-218444 หรือแจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใกล้บ้าน เพราะมีพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องมือและเครื่องจักรกลหนัก สนับสนุนช่วยเหลือ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

จับยาบ้าเกือบ 8 พันเม็ดคาด่านตรวจภูเก็ต



เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 53 ที่ห้องประชุมสภ.ท่าฉัตรไชย ต.ไม้ขาว อ.ถลาง ภูเก็ต พ.ต.อ.ศักดิ์ชัย ลิ้มเจริญ ผกก.สภ. พ.ต.ท.วินัย คงแก้ว รอง ผกก.(สส.)ฯ, พ.ต.ท.ธวัช ตันสกุล สวป.สภ.ท่าฉัตรไชย, พ.ต.ท.สุทธิรัฐ โทจำปา สว.กก.บก.ปส.4, พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมนายเวสารัช นิลจำรัส อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 67/62 ม.6 ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ นนทบุรี และนายจัด เจ็ดกลาง อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 13 ม.9 ต.พลสงคราม อ.โนนสูง นครราชสีมา พร้อมด้วยของกลาง ยาบ้า จำนวน 7755 เม็ด ยาไอซ์จำนวน 1 ถุงน้ำหนักประมาณ 2.85 กรัม นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์การเสพยาไอซ์ จำนวน 1 ชุด เงินสดจำนวน 2,380 บาท โทรศัพท์มือถือ จำนวน 5 เครื่อง พร้อมทั้งตรวจยึดรถยนต์เก๋งโตโยต้า วีออส สีเทา หมายเลขทะเบียน สช 4795 กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 คัน ไว้เพื่อตรวจสอบ โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า,ยาไอซ์) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย

ทั้งนี้พ.ต.อ.ศักดิ์ชัย ลิ้มเจริญ ผกก.สภ.ท่าฉัตรไชย ได้กล่าวว่า ในช่วงเวลา 18.00 น.ของวันที่ 26 กรกฎาคม 53 เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้ปฏิบัติงานประจำด่านตรวจ จากนั้นก็ได้มีรถยนต์เก๋งโตโยต้า วีออส สีเทา หมายเลขทะเบียน สช 4795 กรุงเทพมหานคร ได้ขับมาจากจังหวัดพังงา เพื่อเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ต เจ้าหน้าที่ก็ได้เรียกเพื่อทำการตรวจค้นตามปกติ โดยนายเวสารัช นิลจำรัส เป็นผู้ขับขี่ และนายจัด เจ็ดกลาง นั่งอยู่ที่นั่งผู้โดยสารซ้ายมือผู้ขับขี่ เจ้าหน้าที่พบ อุปกรณ์การเสพยาไอซ์ จำนวน 1 ชุด วางอยู่ข้างเบาะนั่งคนขับด้านซ้าย

เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจค้นภายในรถ จากการตรวจค้นทางเจ้าหน้าที่พบยาบ้าบรรจุอยู่ในหลอดกาแฟปิดหัวปิดท้าย จำนวน 5 หลอด รวม 73 เม็ดและยาไอซ์บรรจุอยู่ใน ถุงพลาสติกใสสีขาวชนิดกดปิดเปิดปากถุง จำนวน 1 ถุงน้ำหนักประมาณ 2.85 กรัมใส่อยู่ในถุงพลาสติกหูหิ้วสีส้มซุกซ่อนอยู่ในช่องใต้เบรกมือ

จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ตรวจค้นเพิ่มเติมยังพบของกลางยาบ้า บรรจุอยู่ในถุงสีฟ้าชนิดกดปิดเปิดปากถุง จำนวน 9 ถุง ห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาล จำนวน 1 ห่อ ใส่อยู่ในถุงขนมมันฝรั่งทอด รวม 1,753 เม็ดและยาบ้าอยู่ในถุงสีฟ้าชนิดกดปิดเปิดปากถุง จำนวน 30 ถุง ห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาล จำนวน 3 ห่อ ห่อละ 10 ถุง บรรจุอยู่ในกล่องรังนกสีทอง รวม 5,929 เม็ด วางอยู่บนเบาะหลังรถ จึงได้ทำการตรวจยึดเป็นของกลาง และได้แจ้งข้อกล่าวหาให้นายเวสารัชฯ และ นายจัดฯ ทราบว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า, ยาไอซ์) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย จากนั้นก็ได้นำตัวมาทำการสอบสวนเพิ่มเติม พร้อมทั้งทำการขยายผลว่าผู้ต้องหาจะนำของกลางทั้งหมดไปส่งที่ไหน และให้ใคร

ทั้งนี้จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ นายเวสารัส ให้การรับสารภาพว่า ตนเองต้องคดีที่กำแพงเพชรในข้อหามียาไอซ์ในครอบครอง อยู่ระหว่างประกันตัว ศาลนัดวันที่ 29 กรกฎาคม 53 นอกจากนี้ยาบ้าจำนวน 73 เม็ดและยาไอซ์ นั้นเป็นของตนเองเพื่อเอาไว้เสพ ส่วนยาบ้าที่เหลือนั้นรับจ้างมาส่ง ให้กับผู้ค้าในจังหวัดภูเก็ต นอกจากนี้นายเวสารัสยังให้การอีกว่า เคยนำยาบ้ามาส่งที่จังหวัดภูเก็ตเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 53 มาครั้งหนึ่งแล้วจำนวน 24,000 เม็ด และครั้งนี้มาส่งในส่วนที่เหลือจากครั้งก่อน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจมีความเข้มงวดเรื่องการตรวจค้นอยู่แล้ว ส่วนนายจัด ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา จึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่ง พ.ต.ท.วัชรินทร์ จิรัฐติกาลวิวัฒน์ พนักงานสอบสวน สภ.ท่าฉัตรไชยเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ต้นมะขามอายุ 50 ปี โค่นล้มทับเด็กตาย


เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2553 พ.ต.ท.เสกสรร คมสาคร สารวัตรเวร สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีต้นมะขามอายุกว่า 50 ปี ล้มทับเด็กเสียชีวิต บริเวณถนนสายท่าเรือ – เมืองใหม่ หมู่ที่ 4 บ้านพารา ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ขอให้เดินทางไปตรวจสอบด้วย หลังรับแจ้งก็ได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นจึงได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ต เจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอีกจำนวนหนึ่ง

บริเวณจุดเกิดเหตุอยู่บริเวณด้านหน้าบ้านนายสำราญ ปานดำ ผู้ใหญ่บ้าน ม.4 ต.ป่าคลอก ซึ่งมีต้นมะขามโค่นล้มพาดเต็มถนน ทำให้รถไม่สามารถสัญจรไปมาได้ นอกจากนั้นยังมีเสาไฟฟ้าจำนวน 3 ต้น โค่นล้มลงมาทำให้ไฟฟ้าดับทั้งตำบล และบริเวณโคนต้นมะขามพบศพซึ่งทราบชื่อ คือ เด็กชายศุภกิจ เหล่าม่วง อายุ 11 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15/10 หมู่ 2 ต.ป่าคลอกอ.ถลาง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านป่าคลอก ในสภาพศพนอนคว่ำหน้า สวมเสื้อยืดสีน้ำเงิน สวมกางเกงวอร์มขายาวสีดำ สวมรองเท้าแตะ เหนือศีรษะมีรถจักรยาน 1 คัน ถูกต้นมะขามทับจนแขน – ขา – คอหัก โดยชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ได้ใช้เลื่อยตัดกิ่งต้นมะขามที่ทับร่างเด็กออก และมอบศพให้ทางมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต นำส่งแพทย์โรงพยาบาลถลาง เพื่อให้แพทย์ชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้ง

ทั้งนี้จากการสอบถามชาวบ้านผู้เห็นเหตุการณ์บอกทราบว่าก่อนเหตุเหตุผู้ตาย ได้ปั่นจักรยานมาตามถนนสายดังกล่าว โดยมีด.ช.ชยณัฐ ธิบูรณ์บุญ อายุ 13 ปี นั่งซ้อนท้าย เพื่อที่จะไปบ้านเมืองใหม่ ต.เทพกระษัตรี ซึ่งขณะนั้นมีฝนตกลงมาอย่างหนักและลมกระโชกค่อนข้างแรง เมื่อปั่นมาถึงจุดเกิดเหตุซึ่งมีต้นมะขามใหญ่ ด.ช.ชยณัฐ เพื่อนซึ่งนั่งซ้อนท้ายปวดปัสสาวะ และให้ผู้ตายจอดรถจักรยานรออยู่ใต้ต้นมะขามดังกล่าว ระหว่างนั้นลมได้กระโชกมาอย่างแรง และมีฝนตกอย่างหนัก ทำให้ต้นมะขามขนาดใหญ่อายุประมาณ 50 ปี ล้มลงมาทับ ด.ช.ศุภกิจ จนเสียชีวิต และด.ช.ชยณัฐ ได้ไปตามผู้ใหญ่บ้านมาช่วยแต่ปรากฏว่าไม่สามารถช่วยได้

บรรยากาศการทำบุญวันอาสาฬหบูชา


เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 53 ซึ่งตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 เป็นวันอาสาฬหบูชา และในวันรุ่งขึ้นหรือวันที่ 27 กรกฎาคม 53 ก็จะเป็นวันเข้าพรรษา และหลังจากนี้เป็นเวลา 3 เดือน พระจะจำพรรษาอยู่ภายในวัด ไม่ออกเดินทางไปค้างแรมที่ไหน หรือไปค้างแรมได้หากมีความจำเป็นแต่ไม่เกิน 7 วัน เพื่อให้พระได้มีเวลาในการบวชเรียน โดยวันนี้ได้มีประชาชนต่างพร้อมด้วยครอบครัวไปทำบุญที่วัดนอกจากนี้ยังได้มีการนำเทียนพรรษาและหลอดไฟฟ้าถวายวัดเนื่องในวันเข้าพรรษากันเป็นจำนวนมาก

โดยเฉพาะบรรยากาศที่วัดพิทักษ์สมณกิจ ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นวัดป่าแห่งเดียวของจังหวัดภูเก็ตที่ไม่ใช้ไฟฟ้า ถูกปกคลุม ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่หลายร้อยต้น และบริเวณโดยรอบโคนต้นไม้แต่ละต้นทางพระลูกวัด เด็กวัด รวมถึงชาวบ้านที่คอยช่วยเหลือทางวัด ได้นำเทียนพรรษาที่ประชาชนนำมาถวายกับทางวัดไปปักไว้โดยรอบจนเต็มพื้นที่วัด ซึ่งมีความสวยงามอย่างยิ่ง

ทั้งนี้เทียนพรรษาดังกล่าวที่ถูกนำไปวางไว้โดยรอบบริเวณวัดนั้นเพื่อให้ทางวัดนำไปใช้ในการให้แสงสว่างแก่พื้นที่วัดโดยรอบ และเพื่อให้แสงสว่างแก่พี่น้องประชาชนที่จะเดินทางมาร่วมทำบุญเวียนเทียนกับทางวัดในค่ำวันนี้

นอกจากนี้ที่บริเวณเขานาคเกิด ต.ฉลอง อ.เมือง ภูเก็ต ก็ได้มีประชาชนทั้งชาว และแรงงานต่างด้าว ได้ขึ้นไปสักการบูชา พระพุทธมงคลเอกนาคคีรี หรือพระใหญ่กันเป็นจำนวนด้วยเช่นกัน



วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เรือประมงชนเรือบรรทุกทรายจม

เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2553 ร.ต.ต.จีระยุทธ์ อ่อนทอง รองสารวัตรตำรวจน้ำภูเก็ต พร้อมเจ้าหน้าที่ได้นำเรือศูนย์ปราบปรามน้ำมันเถื่อนตำรวจน้ำภูเก็ต ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ เรือประมงชนเรือบรรทุก เหตุเกิดที่บริเวณห่างจากเกาะตะเภาน้อย ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 2 ไมล์ทะเล พร้อมทั้งให้เรือประมงช่วยกันลากเรือออกจากร่องน้ำเดินเรือดังกล่าว

ทั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อเวลาประมาณ 23.00 น.ของวันที่ 24 กรกฎาคม 53 ทางเจ้าหน้าที่กองบังคับการ 8 ตน.ภูเก็ต ได้รับแจ้งว่า เรือประมงอวนลาก ชื่อ สีทองแพ ชนกับท้ายเรือเหล็กบรรทุกทราย ชื่อ กันตังลำเลียง 6 ซึ่งจอดอยู่ ส่งผลให้เรือสีทองแพ จมลงทะเลเหลือเพียงส่วนหัวเรือที่โผล่พ้นน้ำโดยทางไต๋กงเรือนำเชือกผูกไว้กับเรือในบริเวณใกล้เคียง ส่วนลูกเรือซึ่งมีอยู่ประมาณ 20 คน มีเรือประมงอีกลำที่แล่นคู่กันมาได้ช่วยไว้ได้ทันและปลอดภัยทั้งหมด

ร.ต.ต.จีระยุทธ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบและสอบถามผู้อยู่ในเหตุการณ์ ทราบว่าเรือสีทองแพได้ชนเข้าที่บริเวณกราบด้านซ้ายของท้ายเรือกันตังลำเลียง 6 โดยขณะเกิดเหตุเรือกันตังลำเลียงทอดสมอเปิดไฟกระพริบอยู่ที่บริเวณท้ายเรือแต่เป็นไฟดวงเล็กมาก ทำให้เรือประมงอวนลากที่แล่นเข้ามามองไม่เห็น ส่วนของลูกเรือทั้งหมดปลอดภัย ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสอบสวนจากไต้ก๋งเรือทั้งสองลำเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงอีกครั้ง

ทางด้าน ไต้ก๋งเรือสีทองแพ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เรือสีทองแพเป็นเรือหาปลามาจากจังหวัดระนอง ขณะที่กำลังแล่นตีคู่มากับเรืออีกลำ และเมื่อผ่านจุดดังกล่าวซึ่งเป็นร่องน้ำเดินเรือ ปรากฏว่ามีเรือเหล็กบรรทุกทรายจอดทอดสมออยู่ แต่ตนมองไม่เห็น เนื่องจากแสงไฟสีแดงที่เรือบรรทุกทรายเปิดเป็นสัญญาเตือนนั้นสังเกตเห็นได้ยาก จึงชนกับท้ายเรือเหล็กลำดังกล่าว ทำให้ส่วนหัวเรือเสียหาย น้ำทะลักเข้าตัวเรือ ตนพร้อมลูกเรือได้พยายามกู้เรือไว้ แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากเรือเริ่มจมลงทะเลจึงได้สละเรือไปขึ้นเรืออีกลำที่แล่นมาคู่กัน แต่ยังมีส่วนหัวเรือโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ตนและลูกเรือได้ใช้เชือกผูกหัวเรือที่โผล่พยุงไว้ไม่ให้จม เพื่อรอการกู้เรือต่อไป ส่วนค่าความเสียหายยังไม่ประเมินได้แต่คาดว่าหลักหลายล้านบาท ทั้งนี้ต้องรอเถ้าแก่เจ้าของเรือมาจัดการต่อไป