จำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ

วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553

อบจ.ภูเก็ตจัดงานวันพ่อประจำปี 2553


เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2553 ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมเมโทรโพล ภูเก็ต นายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดงานวันพ่อแห่งชาติ ประจำปี 2553 ซึ่งทางสำนักปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต (อบจ.ภูเก็ต) จัดขึ้น โดยมีนายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายก อบจ.ภูเก็ต ผู้บริหาร สมาชิกสภาฯ ตลอดจนแขกผู้มีเกียรติ และผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นพ่อดีเด่นของแต่ละตำบลเข้าร่วม

ในการนี้ได้มีการประกอบพิธีถวายเครื่องราชสักการะ เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2553 ถวายพานพุ่มเงิน พุ่มทอง เปิดกรวยดอกไม้ กล่าวอาเศียรวาท เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในโอกาสมหามงคลฯ และวันพ่อแห่งชาติประจำปี 2553 ร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงสดุดีมหาราชา ฉายวีดีทัศน์เทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ชุด In your heart และชุด King Of Kings การเดี่ยวแซ็กโซโฟนบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพลงใกล้รุ่งกับเพลงยามเย็น โดยนายอมร หมวดสิงห์ การมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ พร้อมหนังสือธรรมะพระเจ้าแผ่นดินแก่พ่อดีเด่น ประจำปี 2553 ของ อบจ.ภูเก็ต จำนวน 14 คน พ่อดีเด่น ประจำปี 2553 กล่าวถึงการปฏิบัติตนอย่างไรในการเป็นพ่อที่ดี มอบเกียรติบัตรพร้อมของรางวัลสำหรับผู้ชนะการประกวดแต่งบทร้อยกรอง หัวข้อ “พ่อของแผ่นดิน” และการบรรยายพิเศษ หัวข้อ สานใจ สายใยรัก โดยนายแพทย์พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา

นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายก อบจ.ภูเก็ต กล่าวว่า เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงเป็นพ่อแห่งชาติ และร่วมระลึกถึงพระคุณของพ่อ อบจ.ภูเก็ต จึงได้จัดทำโครงการจัดงานวันพ่อแห่งชาติขึ้น เพื่อให้ประชาชนในจังหวัดได้มีส่วนร่วมในการเทิดพระเกียรติ และแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช นอกจากนี้เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม อีกทั้งให้ลูกได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อ รวมถึงส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรม และตระหนักถึงความสำคัญของพ่อ

ภูเก็ตพร้อมจัดไอรอนแมน 70.3 ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก


เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 53 ที่บริเวณเต็นท์งานแสดงสินค้าไตรกีฬา ศูนย์กลางการแข่งขันไตรกีฬาเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ชิงแชมไอรอนแมน 70.3 ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก โรงแรมลากูน่า บีช รีสอร์ท อ.ถลาง จ.ภูเก็ต นายบัวยัญ สุวรรณมณี ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดภูเก็ต นายประเสริฐ ตันหรรษ์ ผู้จัดการสำนักงานขายจังหวัดภูเก็ต บริษัทการบินไทยจำกัด (มหาชน) นายไมเคิล ไอลิ่ง กรรมการผู้จัดการบริษัทลากูน่า รีสอร์ท แอนด์โฮเท็ล จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันแถลงข่าว ถึงความพร้อมในการจัดการแข่งขันไตรกีฬาเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯชิงแชมไอรอนแมน 70.3 ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก

ซึ่งจังหวัดภูเก็ตได้รับคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขึ้นขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งการแข่งขันรายการดังกล่าวเป็นการแข่งขันไตรกีฬาที่เป็นที่นิยมของนักไตรกีฬาทั่วโลก โดยมีนักไตรกีฬาที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลกมาก เช่น นายแมสซิโม ซิกาน่า จากประเทศอิตาลี นางเบอร์ลินดา เกรนด์เจอร์ จากประเทศออสเตรเลีย ซึ่งทั้ง 2 คนได้คว้าแชมป์การแข่งขันลากูน่า ภูเก็ต ไตรกีฬา ประจำปี 2553 เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2553 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีนักไตรกีฬาที่มีชื่อเสียงอีกหลายคนเข้าร่วมการแข่งขัน เข้าร่วมการแถลงข่าวในครั้งนี้

สำหรับการแข่งขันไตรกีฬาเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ชิงแชมไอรอนแมน 70.3 ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก จะจัดขึ้นในวันที่ 5 ธันวาคม 53 มีการแข่งขันกีฬา 3 ประเภท ประกอบด้วยการแข่งขันว่ายน้ำ 3.8 กิโลเมตร การแข่งขันปั่นจักรยาน 180 กิโลเมตรและวิ่งระยะทาง 42 กิโลเมตร โดยขณะนี้มีนักไตรกีฬาจากทั่วโลกกว่า 51 ประเทศตอบรับเข้าร่วมการแข่งขันแล้วกว่า 800 คน โดยเป็นการแข่งขันประเภทบุคคลจำนวน 764 คน และประเภททีมจำนวน 16 ทีม สำหรับการแข่งขันในครั้งนี้มีนักไตรกีฬามืออาชีพสมัครเข้าร่วมการแข่งขันจำนวน

ทุกภาคส่วนสนับสนุนของรางวัลให้กาชาด



เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 53 ที่สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดภูเก็ต นายตรี อัครเดชา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยนางนลินี อัครเดชา นายกเหล่ากาชาดจังหวัดภูเก็ต ร่วมรับสิ่งของรางวัลเพื่อเป็นของรางวัลงานเทศกาลของดีภูเก็ตและงานกาชาดประจำปี 2554 โดยมีนายนิวิทย์ อรุณัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายวีรวัฒน์ จันทร์เพ็ญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายสมเกียรติ สังข์ขาวสุทธิรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย สมาชิกเหล่ากาชาด ส่วนราชการ ภาคเอกชน เข้าร่วม


สำหรับงานเทศกาลของดีภูเก็ตและงานกาชาดประจำปี 2554 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 53 ถึงวันที่ 9 มกราคม 54 ณ บริเวณเวทีกลางสะพานหินภูเก็ต โดยกิจกรรมภายในงานมีการออกร้านกาชาด และจำหน่ายสลากกาชาด ซึ่งรางวัลที่ 1 ในปีนี้คงเป็นเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา จะเป็นบ้านทาวเฮ้าส์ชั้นเดียว 1 หลัง รางวัลที่ 2 เป็นรถกะบะตอนเดียว 1 คัน รางวัลที่ 3 รถจักรยานยนต์ และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีการจัดนิทรรศการของส่วนราชการ การออกร้านจำหน่ายสินค้าอุปโภค บริโภค การแสดงจากนักเรียน การแสดงของศิลปินดารา และมหรสพต่างๆ มากมาย

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ททท.ภูเก็ต-ตราด เชื่อมโยงท่องเที่ยวระหว่างกัน


นางบังอรรัตน์ ชินะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภูเก็ต กล่าวว่า ในระหว่างวันที่ 1-3 ธันวาคม 2553 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานภูเก็ต ร่วมกับสำนักงานตราด สายการบินบางกอกแอร์เวย์ และชมรมไทยบริการท่องเที่ยวภาคใต้ตอนบน นำส่วนราชการ ภาคธุรกิจด้านการท่องเที่ยว จากจังหวัดตราด ระยองและจันทบุรี โดยนางสาวเบญจวรรณ อ่านเปรื่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด พร้อมด้วยผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยว และภาคเอกชนจากจังหวัดตราด จำนวนประมาณ 49 คนเดินทางทัศนศึกษาแหล่งท่องเที่ยวใน จ.ภูเก็ตและพังงาน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างภูมิภาค ซึ่งได้เยี่ยมชมท่าเทียบเรือยอช์ทรอยัลภูเก็ตมารีน่า ย่านเมืองเก่าภูเก็ต แหล่งท่องเที่ยวยามค่ำคืนในพื้นที่หาดป่าตอง การแสดงของภูเก็ตแฟนตาซี รวมทั้งแหล่งท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา

นอกจากนี้ยังได้จัดให้มีงานส่งเสริมการขาย Table Top Sale เพื่อให้ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตพบปะเจรจาธุรกิจการท่องเที่ยวและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตกับจังหวัดตราด โดยมีผู้ประกอบการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเข้าร่วมจำนวน 22 ราย ประกอบด้วยสถานที่พัก บริษัทนำเที่ยว สวนน้ำ สินค้าของที่ระลึก นางบังอรรัตน์กล่าว

นางบังอรรัตน์ กล่าวด้วยว่าว่า การจัดงานดังกล่าวจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวระหว่างกันได้เป็นอย่างดี เพราะจะทำให้เกิดการเดินทางแลกเปลี่ยนระหว่างกันโดยเฉพาะภูเก็ต ตราด ระยอง และจันทบุรีมากขึ้น สอดรับกับการเปิดเส้นทางบินตรงภูเก็ต-ตราด ของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ ที่เปิดเส้นทางภูเก็ต-ตราด สัปดาห์ละ 4 เที่ยวบิน ในวันจันทร์ พุธ ศุกร์และอาทิตย์ ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2553 ซึ่งจะทำให้การเดินทางเชื่อมโยงระหว่างกันมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงดึงดูดให้การเดินทางเชื่อมโยงของนักท่องเที่ยวมากตามไปด้วย

ทางด้านนางสาวเบญจวรรณ อ่านเปรื่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด กล่าวว่า การเชื่อมโยงนักท่องเที่ยวระหว่างภูมิภาคหลังเปิดเส้นทางบิน ภูเก็ต-สมุย-ตราด จะช่วยให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางระหว่างกันมากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่จะมาท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตและถือเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวอันดามันอยู่แล้ว ทำให้ช่วยร่นระยะเวลาในการเดินทางได้เป็นอย่างมาก จากเดิมที่จะต้องไปต่อเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ

“แหล่งท่องเที่ยวระหว่างภาคใต้ฝั่งอันดามันกับภาคตะวันออกนั้นจะมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในส่วนของ จ.ตราด ซึ่งเป็นหมู่เกาะในฝั่งอ่าวไทยที่ยังคงมีความสวยงามของธรรมชาติ เช่น เกาะช้าง เกาะกูด เป็นต้น รวมถึงวิถีชีวิตชุมชนและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ ถือเป็นการเปิดเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่ที่จะทำให้สามารถแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวระหว่างกันได้มากขึ้น เพราะมีการเดินทางที่สะดวก”

ทรภ. 3 ปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเฉลิมพระเกียรติ 1 ล้านตัว


เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2553 ที่ บริเวณชายหาดหน้ากองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต พลเรือโทชุมนุม อาจวงษ์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 เป็นประธานถวายพระพรชัยมงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ เฉลิมพระเกียรติ 1 ล้านตัว เนื่องในวโรกาส วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 5 ธันวาคม 2553 โดยมีนายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายณรงค์ หงษ์หยก ประธานชมรมผู้บริจาคโลหิตเพื่อสุขภาพจังหวัดภูเก็ต พ.ต.อ.พรศักดิ์ นวนหนู รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต สมาชิกสมาคมอาสาสมัครรักษาดินแดน ข้าราชการทหารเรือ ทัพเรือภาคที่ 3 หน่วยงานภาครัฐ เอกชน นักเรียน และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วม

ทั้งนี้ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 และผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ได้ร่วมกันปล่อยเต่าตนุ อายุประมาณ 2 ปีจำนวน 2 ตัว ขณะที่ยังได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน นักเรียน และประชาชนปล่อยพันธ์กุ้งแชบ๊วย จำนวนรวม 1 ล้านตัว บริเวณหน้าชายหาดดังกล่าว เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติฯ และเพิ่มปริมาณพันธุ์สัตว์น้ำในทะเลด้วย นอกจากนี้ยังได้มีการจัดโต๊ะลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมถึงนิทรรศการอนุรักษ์ทะเลไทยด้วย


รวบแล้วมือเผารถ รับก่อมาแล้ว 5 ราย


เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 53 ที่ห้องประชุมชั้น 2 สภ.เมือง ภูเก็ต พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พร้อมด้วยพ.ต.อ.โกมล วัตรากรณ์ พ.ต.อ.พีรยุทธ การะเจดีย์ รองผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พ.ต.ท.จำรูญ พลายด้วง รองผกก.ป.สภ.เมืองภูเก็ต ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมนายสังวร โทอุดทา อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 36/15 มง2 ต.ทุ่งมะพร้าว อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา พร้อมด้วยของกลางกระเป๋าสะพายแบบสีน้ำเงิน 1 ใบ ไฟแช็ค 3 อัน กรรไกร 1 อัน ไขควง 1 อัน เศษยางในรถจักรยานยนต์ 2 ชิ้น เศษโฟมห่อท่อแอร์ 1 ชิ้น กางเกงวอร์มสีน้ำเงินแถบสีขาว แบบสามส่วน 1 ตัว หมวกแก๊ปสีน้ำเงิน 1 ใบ รองเท้าแตะแบบคีบ 1 คู่ ร่วมผ้าใบสีม่วง 1 คัน โดยจับกุมได้ที่บริเวณสามแยกทางไปห้างสรรพสินค้าโลตัส ถนนเยาวราช ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต จึงควบคุมตัวพร้อมของกลางดำเนินคดีในข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นต่อไป

พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต กล่าวว่า สำหรับการจับกุมในครั้งนี้ สืบเนื่องจากมีเหตุการณ์เผารถยนต์ในพื้นที่สภ.เมืองภูเก็ตหลายคดี โดยเฉพาะในวันที่ 2 พฤศจิกายน ต่อเนื่องวันที่ 3 พฤศจิกายน 2553 และวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมารวมแล้ว 5 คดี ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้ออกติดตามเพื่อหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดี มีการนำภาพที่ได้จากกล้องวงจรปิดมาแจกจ่ายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ช่วยกันติดตามจับกุม จนกระทั่งเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ที่ผ่านมา ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกตรวจถึงบริเวณสามแยกห้างเทสโก้โลตัส ถนนเยาวราช ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต พบนายสังวร เดินอยู่ ซึ่งหน้าตาคล้ายกับภาพกล้องวงจรปิดที่บันทึกได้ขณะเผารถยนต์เก๋งที่ถนนสตูล ต.ตลาดเหนือ อ.เมือง จ.ภูเก็ต จึงได้นำตัวมาสอบสวน จากการสอบสวนนายสังวรณ์ได้ให้การรับสารภาพว่าได้ก่อเหตุเผารถยนต์ในพื้นที่สภ.เมืองภูเก็ตจริง โดยสาเหตุที่ได้ก่อเหตุนั้นเนื่องจากดื่มสุราขาวจนเมา จากนั้นก็จะเดินไปตามถนน เมื่อเจอรถยนต์ที่จอดอยู่ข้างถนนก็จะเผาโดยใช้วิธีการใช้ไฟเช็คจุดยางในรถยนต์ที่เตรียมมา แล้ววางที่ล้อด้านหน้าของรถยนต์ เป็นการเผาเพื่อความสะใจโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น และทุกครั้งที่เมาสุราก็จะมีพฤติกรรมเหมือนกัน จนกระทั่งถูกจับกุมตัว

พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับ 5 ครั้งที่นายสังวร โทอุดทา ได้ก่อเหตุ ประกอบด้วย เผารถยนต์ยี่ห้อฮ้อนด้า รุ่นซีอาร์วี สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน กฉ-8844 ภูเก็ต ของนางสุธิดา ศรีสมุทร เหตุเกิดหน้าบ้านเลขที่ 1 ถนนสตูล ต.ตลาดเหนือ อ.เมือง จ.ภูเก็ต

คันที่ 2 เผารถยนต์ยี่ห้อนิสสัน สีเทา หมายเลขทะเบียน บจ-5551 ภูเก็ต ของนายเอกรัตน์ เลี้ยงไพศาล เหตุเกิดที่หน้าบ้านเลขที่ 77/3 ถนนปฎิพัทธ์ ตลาดเหนือ อ.เมือง จ.ภูเก็ต

คันที่ 3 เผารถยนต์ ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิ้ลยู สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน 7223 ภูเก็ต ของนายชัยรัตน์ สฤษดิสุข เหตุเกิดที่หน้าร้านฝันดี เลขที่ 71/3 ถนนปฎิพัทธิ์ ต.ตลาเหนือ อ.เมืองภูเก็ต

คันที่ 4 เผารถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า สีเขียว หมายเลขทะเบียน กค-6285 ภูเก็ต ของนายบุญชนะ เกษตริกะ อายุ 44 ปี เหตุเกิดหน้าบ้านเลขที่ 7 ถนนปฎิพัทธิ์ ต.ตลาดเหนือ อ.เมือง จ.ภูเก็ต

คันที่ 5 เผารถยนต์ยี่ห้อฮ้อนด้า รุ่นซีวิค สีเทา หมายเลขทะเบียน กท- 8832 ภูเก็ต ของนางสาวพัชรินทร์ คงเพ็ชร อายุ 31 ปี เหตุเกิดที่ ถนนพังงา ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต

วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ตร.ฉลองรวบคนลักแบตเตอร์รี่


เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 53 ที่ห้องประชุมสภ.ฉลอง อ.เมือง ภูเก็ต พ.ต.ท.จรัล บางประเสริฐ สว.สส.สภ.ฉลอง อ.เมืองภูเก็ต พร้อมพวกร่วมกันแถลงข่าวจับกุมนายสัณหณัฐ ศรีเมือง อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 55 ม.2 ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต พร้อมด้วยของกลางแบตเตอร์รี่ยี่ห้อ DJ 2 ลูก แบตเตอร์รี่ยี่ห้อDFLM 1 ลูก แบตเตอร์รี่ ยี่ห้อ FB 1 ลูก ไดชาร์จ 3 ลูก รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮ้อนด้ารุ่นเวฟ 125 สีขาว หมายเลขทะเบียน ขตข-543 ภูเก็ต 1 คัน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ที่บริเวณหน้าบริษัทอัสสะคอนทรัคชั่น จำกัด เลขที่ 36/40 ซอยนาใหญ่ ม.4 ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต โดยกล่าวหาว่าลักทรัพย์หรือรับของโจร

ทั้งนี้พ.ต.ท.จรัล บางประเสริฐ สว.สส.สภ.ฉลอง กล่าวว่า ในการจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อเช้าวันนี้(2) ได้รับแจ้งจากนายวิลาศ ศรีฟ้า อายุ 47 ปี ว่ามีคนแอบเข้าไปขโมยแบตเตอร์รี่และไดชาร์จในบริษัทดังกล่าว และขณะนี้พนักงานของร้านดังกล่าวได้ติดตามเพื่อควบคุมตัวผู้ต้องหา จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนก็ได้เดินทางไปที่เกิดเหตุและสามารถจับกุมคนร้ายได้ เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพได้ก่อเหตุดังกล่าวจริง เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวดำเนินคดีดังกล่าว

เตรียมซ้อมหนีภัยสึนามิช่วงกลางคืน


เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2553 ที่ห้องประชุมสภาองค์การบริหารส่วนตำบลกมลา อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต นายวีระวัฒน์ จันทร์เพ็ญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานการประชุมคณะทำงานฝึกซ้อมแผนการอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยสึนามิบริเวณชายหาดกมลา ครั้งที่ 1/2553 โดยมีนายศิริพัฒ พัฒกุล นายอำเภอกะทู้ นายสันติ์ จันทรวงษ์ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ต.อ.พีระยุทธ์ การะเจดีย์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต นายจุฑา ดุมลักษณ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลกมลา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและซักซ้อมความเข้าใจก่อนที่จะมีการฝึกซ้อมจริงของคืนวันที่ 14 ธันวาคม 2553

นายวีระวัฒน์ จันทร์เพ็ญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์แผ่นดินไหวได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ประกอบกับจังหวัดภูเก็ตมีระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าจากคลื่นสึนามิ โดยมีนโยบายให้ท้องถิ่นที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ทำการฝึกซ้อมแผนอพยพฯ อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ทางจังหวัดจึงเห็นควรให้มีการจัดการฝึกซ้อมอพยพหลบภัยสึนามิในพื้นที่ อบต.กมลา ช่วงเวลากลางคืนของวันที่ 14 ธันวาคม 2553 นี้ โดยคัดเลือกพื้นที่บริเวณชายหาดกมลา และโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 36 เพื่อเตรียมความพร้อมของกองอำนวยการจังหวัดภูเก็ต ในการลดผลกระทบของสึนามิ ตลอดทั้งการอพยพประชาชน โดยบูรณาการฝึกซ้อมฯ กับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และหน่วยงานข้างเคียงในพื้นที่ตำบลกมลา

ทางด้านนายสันติ์ จันทรวงษ์ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า เหตุที่เลือกพื้นที่กมลาในการฝึกซ้อม เนื่องจากบริเวณพื้นที่ดังกล่าวสามารถที่จะควบคุมไม่ให้เกิดความแตกตื่นของประชาชนที่ไม่รับทราบข่าวได้ดีกว่าพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ และยังสามารถจะประชาสัมพันธ์ให้ถึงกลุ่มนักท่องเที่ยว ประชาชนและผู้ประกอบการได้ทั่วถึงกว่าด้วย

สำหรับการฝึกซ้อมดังกล่าวได้มีการสมมติสถานการณ์ว่า เวลา 20.00 น. วันที่ 14 ธันวาคม 2553 เกิดแผ่นดินไหวบริเวณหมู่เกาะนิโคบา 9.0 ริกเตอร์ ลึกจากเปลือกโลก 10 กม.ห่างจากเกาะภูเก็ต ประมาณ 600 กม. และอาจจะทำให้เกิดคลื่นสึนามิ โดยทางเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยภูเก็ตได้รับวิทยุด่วนที่สุด จากศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ว่า เวลา 20.10 น.เกิดแผ่นดินไหวขนาด 9.0 ริกเตอร์ ซึ่งคาดว่าคลื่นสึนามิจะเข้าสู่พื้นที่กมลา ประมาณ 21.00 ให้รีบทำการแจ้งท้องถิ่นเพื่อทำการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่โดยด่วน หลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่ อบต.กมลา ได้รับทราบ ทางด้าน นายก อบต.กมลาได้สั่งการให้นำรถประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบและอพยพไปที่ปลอดภัย ณ อาคารอเนกประสงค์ในโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 36 (สมมุติว่าสูงที่สุดในบริเวณนี้)

ในระหว่างอพยพประชาชน/นักเรียน เกิดอุบัติเหตุรถชนกันที่หน้าโรงเรียนฯ มีผู้บาดเจ็บ ทางหัวหน้าป้องกันฯ แจ้งหน่วยกู้ภัยกมลาและแจ้งตำรวจกมลาอำนวยความสะดวกจราจร และประเมินสถานการณ์ พร้อมแจ้งนายก อบต.กมลา เพื่อขอความช่วยเหลือ โดยทาง นายก อบต.กมลาพร้อมเจ้าหน้าที่ได้มาพร้อมยังจุดรวมพลและตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจขึ้น และแจ้งไปยังหน่วยงานต่างๆ เพื่อช่วยเหลือหลังเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ


หลายภาคส่วนจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ



เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 53 ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต อ.เมือง นายสมเกียรติ สังข์ขาวสุทธิรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดกิจกรรมบริจาคโลหิต ภายใต้โครงการ "ทำความดีบริจาคโลหิต ด้วยใจถวายพ่อของแผ่นดิน" ซึ่งสโมสรนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต จัดขึ้น เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา และเพื่อจัดหาโลหิตสำรองไว้ใช้ในช่วงเทศกาลปีใหม่

ส่วนที่บริเวณชายหาดชายกะตะ-กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายวีระวัฒน์ จันทร์เพ็ญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานในพิธีคืนชีวิตสู่ทะเล โดยการปล่อยพันธ์สัตว์น้ำสู่ทะเลอันดามัน และโครงการรณรงค์รักษาความสะอาดบริเวณชายหาดกะตะ-หาดกะรน เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในวันพ่อแห่งชาติ ซึ่งเทศบาลตำบลกะรนร่วมกับภาคเอกชน ผู้ประกอบการด้านโรงแรม ประชาชน นักเรียนนักศึกษาร่วมกันจัดขึ้น โดยมีการปล่อยพันธุ์กุ้งมังกร 7 สี จำนวน 99 ตัว ปล่อยพันธุ์ปลาเก๋า และจัดเก็บขยะและทำความสะอาดบริเวณชายหาดกะตะ-หาดกะรนระยะทางกว่า 5 กิโลเมตร

นอกจากนั้นที่บริเวณป่าชายเลนเฉลิมพระเกียรติชุมชนบ้านอ่าวกุ้ง ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต นายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดโครงการปลูกป่าชายเลนและปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ เพื่อเฉลิมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ฯในในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 5ธันวามหาราช โดยมีผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประชาชน นักเรียน นักศึกษาเข้าร่วม

ขณะที่บริเวณหนองน้ำในหาน ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายอรุณ โสฬส นายกเทศมนตรีตำบลราไวย์ เป็นประธานปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ มีประชาชนนำท่องเที่ยวเข้าร่วมจำนวนมาก โดยปล่อยพันธุ์ปลากะพงขาวจำนวน 49,999 ตัว เพื่อคืนความสมบูรณ์ให้กับแหล่งน้ำในพื้นที่ นอกจากนั้นยังได้จัดให้มีกิจกรรมทำความสะอาดและเก็บขยะบริเวณชายหาดในหาน หาดราไวย์ และแหลมพรหมเทพ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดภูเก็ต


มหกรรมล้อเหล็ก เพื่อคนพิการ


เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2553 ที่บริเวณเวทีกลางสะพานหิน อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดงาน มหกรรมล้อเหล็ก ซึ่งทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต (อบจ.ภูเก็ต) จัดขึ้น โดยมีนายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายก อบจ.ภูเก็ต นพ.วิวัฒน์ ศีตมโนชญ์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต นพ.ภูมินทร์ ศิลาพันธ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลป่าตอง ผู้แทนจากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดภูเก็ต สมาคมอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) จังหวัดภูเก็ต ชมรมโรตารี่ทุกสาขาในจังหวัดภูเก็ต ชมรมทูบีนัมเบอร์วันจังหวัดภูเก็ต เครือข่ายเมาแล้วขับจังหวัดภูเก็ต และผู้พิการที่ต้องนั่งรถเข็นเข้าร่วมจำนวน 40 คน โดยทั้งหมดได้ร่วมกันนั่งรถเข็นจากบริเวณเวทีกลางสะพานหินไปยังปลายแหลมสะพานหินระยะทางประมาณ 500 เมตรด้วย

นพ.วิวัฒน์ ศีตมโนชญ์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการการดำเนินงานดูแลผู้ป่วย ผู้พิการ และการค้นหาผู้พิการในจังหวัดภูเก็ต ตามโครงการดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยเรื้อรัง และผู้พิการในชุมชน ปรากฎข้อมูลผู้พิการในจังหวัดภูเก็ตที่ได้รับจดทะเบียนคนพิการทุกประเภทจำนวน 3,550 คน ในจำนวนดังกล่าว พบผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง และผู้พิการที่ช่วยเหลือตัวเองได้เล็กน้อย และบางรายไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย นอนติดบ้าน ติดเตียง จำนวนมากกว่า 350 ราย

นอกจากนี้จากการที่ได้จัดทีมอาสาสมัครสาธารณสุข พยาบาล แพทย์ ร่วมกับทีมเจ้าหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ออกเยี่ยม ดูแลสุขภาพ และสนับสนุนส่งเสริมด้านการประกอบอาชีพ ยังพบว่ามีผู้ป่วย และผู้พิการซึ่งต้องอยู่บ้านามลำพัง ไม่มีโอกาสออกจากบ้านมาสัมผัสกับสังคมภายนอก เนื่องจากไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ห้องน้ำ ทางลาด ที่จอดรถ ดังนั้นการให้ความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของผู้พิการทุกประเภท จะช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้ผู้พิการอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข โดยการจัดงานมหกรรมล้อเหล็ก นั้นก็เพื่อรณรงค์ให้สังคม ชุมชน องค์กร หน่วยงานได้เห็นถึงความสำคัญในการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการ เช่น ทางลาด ที่จอดรถ เป็นต้น นพ.วิวัฒน์กล่าว

ขณะที่นายนิวิทย์ อรุณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า การที่องค์กรต่างๆ ได้ร่วมมือร่วมใจกันให้ความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการ ร่วมกันจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน และความสะดวกอื่น ๆ ที่เหมาะสม และจำเป็นให้ผู้พิการได้รับบริการตามสภาพความพิการ โดยเฉพาะผู้พิการที่ต้องนั่งรถเข็น ต้องอยู่ติดบ้าน ติดเตียง ได้มีโอกาสออกนอกบ้านสู่สังคมนอกบ้านได้สะดวกขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ผู้พิการสามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ และขณะเดียวกันความสุขที่ผู้พิการรับก็มีผลให้ผู้ดูแลผู้พิการได้รับความสุขด้วย

จัดสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานให้คนพิการ


เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 53 ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายสมเกียรติ สังข์ขาวสุทธิรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการ กับผู้บริหารท้องถิ่นใน จ.ภูเก็ต จำนวน 19 ท้องถิ่น อาทิ องค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต เทศบาลนครภูเก็ต เทศบาลเมืองป่าตอง เทศบาลเมืองกะทู้ เทศบาลตำบลรัษฎา เทศบาลตำบลราไวย์ องค์การบริหารส่วนตำบลเกาะแก้ว องค์การบริหารส่วนตำบลป่าคลอก เป็นต้น โดยมีนายแพทย์นรินทร์รัชต์ พิชญคามินทร์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต และนางสาวพรรณี สิทธิการ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดภูเก็ต เป็นพยาน

สำหรับบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว จัดทำขึ้นเพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันระหว่างจังหวัดภูเก็ตกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับ เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ตามรายละเอียดความร่วมมือ ได้แก่ สถานที่ที่เป็นบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต เทศบาลนคร เทศบาลเมือง เทศบาลตำบล และองค์การบริหารส่วนตำบล พิจารณาปรับปรุงสถานที่ที่มีอยู่แล้วหรือให้จัดก่อสร้างขึ้นใหม่ โดยคำนึงถึงสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการทุกประเภท ได้แก่ ทางลาด ทางเดิน ห้องน้ำ ที่จอดรถ ป้ายและสัญลักษณ์ รวมถึงอื่นๆ ที่ก่อให้คนพิการได้รับการอำนวยความสะดวกตามสมควร โดยสอดคล้องกับ พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550

ด้านนายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต (อบจ.ภูเก็ต) กล่าวว่า ในส่วนของ อบจ.ภูเก้ต มีนโยบายด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งได้ให้ความสำคัญต่อเด็ก สตรี คนชรา รวมทั้งผู้ด้อยโอกาสและผู้พิการมาตลอด โดยมุ่งเน้นสนับสนุนการมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าของประชาชนให้ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการจัดทำกิจกรรมหรือโครงการเพิ่มเติม ด้านการสงเคราะห์และช่วยเหลือที่เกินศักยภาพและงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นๆ ในแต่ละพื้นที่ โดยมีการคัดสรรและประสานงานมายัง อบจ. ภูเก็ต เช่น โครงการเบี้ยยังชีพชรา ผู้ป่วยโรคเอดส์ คนพิการ เป็นต้น ซึ่งในปี 2553 ได้มีการเสนอมาจำนวน 552 คน เป็นเงินจำนวนรวมกว่า 3.4 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีนโยบายด้านสาธารณสุขในเชิงรุก โดยจัดทำโครงการภูเก็ตแคร์ ภายใต้นิยาม สุขภาพพอเพียงกับโรงพยาบาลหมื่นเตียงในภูเก็ต เพื่อจัดบริการและช่วยเหลือผู้ป่วยเรื้อรังและผู้พิการถึงบ้าน เพื่อให้ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง และให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้ผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้พิการและครอบครัวให้มีความรู้ ความเข้าใจและสามารถดูแลตนเองได้ โดยอุดหนุนงบประมาณผ่านทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต จำนวน 2.855 ล้านบาท จัดทำโครงการดูแล ช่วยเหลือผู้ป่วยเรื้อรังและผู้พิการในชุมชนจังหวัดภูเก็ต และเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการให้แก่อาสาสมัครสาธารณสุขและทีมเยี่ยมบ้าน นายไพบูลย์ กล่าว

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

งาน “วันคนพิการ” “ยิ้มสู้...เพื่ออยู่อย่างเท่าเทียม”


เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2553 ที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต นายสมเกียรติ สังห์ขาวสุทธิรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดงานวันคนพิการจังหวัดภูเก็ต ประจำปี 2553 โดยมีนายเรวัต อารีรอบ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.ภูเก็ต นายไพบูลย์ อุบัติศฤงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต นางสาวพรรณี สิทธิการ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.ภูเก็ต นายไสว พรหมจินดา นายกสมาคมสภาคนพิการทุกประเภทจังหวัดภูเก็ต ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาคมและผู้พิการเข้าร่วม โอกาสเดียวกันนี้ยังได้มีการมอบโล่และประกาศเกียรติคุณให้แก่อาสาสมัครพัฒนาสังคมช่วยเหลือคนพิการ (อพมก.) ซึ่งเป็นผู้ประสานงานในการช่วยเหลือคนพิการ จำนวน 25 คน และผู้ดูแลคนพิการดีเด่น จำนวน 10 คน

นางสาวพรรณี สิทธิการ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.ภูเก็ต กล่าวการจัดงานเนื่องในวันคนพิการ ว่า สืบเนื่องจากองค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้วันที่ 3 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคนพิการสากล มาตั้งแต่ปี 2524 เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจของสังคมต่อคนพิการ การยอมรับคนพิการเข้าร่วมกิจกรรมทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจ ส่งเสริมสิทธิและศักยภาพของคนพิการ รวมทั้งเปิดโอกาสให้คนพิการได้พบปะสังสรรค์สนุกสนานร่วมกัน ประกอบกับปัจจุบันทุกภาคส่วนของสังคมโลก ได้ตระหนักและตื่นตัวในเรื่องสิทธิของคนพิการ รัฐบาลไทยในฐานะที่เป็นประเทศสมาชิก ทุกยุคทุกสมัยได้ให้ความสำคัญและช่วยเหลือผู้พิการอย่างต่อเนื่องตลอดมา

สำหรับในปีนี้ประเด็นหลักในการจัดงาน คือ การยึดมั่นคำสัญญา : การผนวกประเด็นความพิการเข้ากับการพัฒนากระแสหลักในเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ ในปี พ.ศ. 2558 และต่อจากนั้น (Keeping the Promiss : Mainsteaming Disability in the Millennium Development Goals toward 2015 and beyond) และสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้เชิญชวนให้ทุกจังหวัดจัดงาน โดยได้อัญเชิญชื่อ เพลงพระราชนิพนธ์ “ยิ้มสู้” ในพระบาทสมเด็นพระเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งได้ทรงพระราชทานให้กับคนพิการทุกคน เป็นหัวข้อในการจัดงาน “ยิ้มสู้...เพื่ออยู่อย่างเท่าเทียม” และเป็นโอกาสสำคัญที่คนพิการจะได้แสดงพลังแห่งความจงรักภักดี และแสดงพลังแห่งการดำเนินชีวิตในสังคมบนพื้นฐานแห่งความเท่าเทียม นางสาวพรรณีกล่าว

ขณะที่นายสมเกียรติ สังห์ขาวสุทธิรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ในรอบปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมสิทธิ โอกาสและความเสมอภาค เท่าเทียมของคนพิการอย่างมาก โดยได้ผลักดันนโยบายหลายเรื่อง เช่น การจัดสวัสดิการสิทธิเบี้ยความพิการ เดือนละ 500 บาท ให้แก่คนพิการทุกคนจำนวนมากกว่า 8 แสนคน และมีมติคณะรัฐมนตรีหลายประเด็นที่เกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เช่น การจัดการทำสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการอย่างทั่วถึงและครบถ้วนภายในปี 2554 เรื่องกำหนดให้เจ้าของสถานประกอบการ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐต้องรับคนพิการเข้าทำงานในอัตราส่วน 100 : 1 คน เรื่องมตราการภาษีเพื่อช่วยเหลือคนพิการ รวมถึงจัดระบบสวัสดิการต่าง ๆ โดยคำนึงถึงการไม่เลือกปฏิบัติต่อคนพิการ เป็นต้น

นทท.ภูเก็ตร้องจุดประทัด พรุ พร่ำเพรื่อ รบกวนการพักผ่อน


นายปมุข อัจฉริยะฉาย กงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ฟินแลนด์ ประจำจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการโรงแรมที่พักในหลายพื้นที่และกงสุลได้รับการร้องเรียนจากนักท่องเที่ยว เกี่ยวกับการเล่นประทัด พรุดอกไม้ไฟ และโคมลอยกันเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณชายหาดต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดความรำคาญ และตื่นตระหนก เพราะบางครั้งไม่ใช่ช่วงประเพณีหรือเทศกาลสำคัญๆ

“เหตุที่มีการหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาก็เนื่องจากว่ามีนักท่องเที่ยวหารือเข้ามาเป็นจำนวนมาก นอกจากความรำคาญจาเสียงดังของพลุแล้ว ยังเกรงว่าจะเกิดอันตรายขึ้นจากประกายไฟของพลุ ดอกไม้ไหรือแม้แต่กระทั่งโคมลอย จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าไปตรวจสอบการอนุญาตและการจำหน่าย ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามไปมากกว่านี้ หรือมีอันตรายเกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวในภาพรวมได้”

นายปมุข กล่าวด้วยว่า การจุดดอกไม้ไฟหรือประทัดหรือพลุนั้น สามารถทำได้ตามช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสม รวมทั้งควรที่จะต้องมีการขออนุญาตเป็นกรณีไป ไม่ใช่ปล่อยให้มีการจุดกันพร่ำเพรื่อเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะในระยะหลังมีนักท่องเที่ยวร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเข้ามาจำนวนมาก เพราะสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับนักท่องเที่ยว

ด้านพล.ต.ต.พิกัด ตันติพงษ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้มงวดจับกุมทั้งคนเล่นและคนขายมาตั้งแต่หลังเสร็จสิ้นงานประเพณีถือศีลกินผัก โดยให้มีการดำเนินการกวาดล้างอย่างจริงจัง เพราะการเล่นประทัดและดอกไม้ไฟนั้นนอกจากจะส่งเสียงดังรบกวนนักท่องเที่ยวแล้วยังเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นอีกด้วย โดยเฉพาะกรณีที่มีการเล่นประทัดที่เป็นอันตราย

ตร.ภูเก็ตร่วมภาค 8 บุกจับแหล่งก๊อปปี้ซีดี



เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 53 พล.ต.ต.อภิรักษ์ หงษ์ทอง ผบก.อก.ภ.8 ในฐานะหน้าชุดปฏิบัติการปราบปรามความผิดเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ ตำรวจภูธรภาค 8 พร้อมด้วย พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พ.ต.อ.พรศักดิ์ นวลหนู รอง.ผบก.ภ.จ.ภูเก็ต พ.ต.ท.ชัยวัฒน์ อุ้ยคำ รอง.ผกก.ป.สภ.เมืองภูเก็ต นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตกว่า 30 นาย และตัวแทนผู้รับมอบอำนาจจากบริษัท จีเอ็มเอ็มแกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้นำหมายศาลจังหวัดภูเก็ต เข้าทำการตรวจค้นภายในบ้านเลขที่ 56/12,13,14 ซ.ห่านฝรั่ง ต.เกาะแก้ว อ.เมือง จ.ภูเก็ต ภายหลังสืบทราบว่าบ้านดังกล่าว ได้มีการลักลอบปั้มซีดี ดีวีดีเถื่อน

โดยบ้านทั้ง 3 หลัง เป็นบ้านชั้นเดียวปลูกเรียงรายกัน 5 หลัง อยู่ริมถนนภายในซอยดังกล่าว โดย 3 ใน 5 หลัง แต่ละหลังมีรั้วรอบขอบชิด ภายในรั้วบ้านมีรถ จยย.แบบพ่วงข้างหรือซาเล้งจอดอยู่เป็นจำนวนมาก บางหลังมีรถยนต์กระบะ โดยภายในบ้านทั้ง 3 หลังมีกลุ่มชายฉกรรจ์เดินวนเวียนอยู่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำกำลังบุกเข้าชาร์ตพร้อมกันทั้ง 3 หลัง หลังแรกบ้านเลขที่ 56/12 พบเครื่องคอมพิวเตอร์-จอพร้อมปริ๊นเตอร์แบบหัวจ่ายหรือกล่องไรท์ซีดีจำนวน 4 หัว 1 ชุดกำลังก๊อบปี้แผ่นภาพยนตร์และเพลงอยู่ จากการตรวจสอบพบแผ่นซีดีภาพยนตร์ที่ผ่านการเขียนหรือก๊อบปี้แล้วจำนวน 1,200 แผ่น แผ่นซีดีเพลงที่ผ่านการเขียนหรือก๊อบปี้แล้วจำนวน 1,500 แผ่น ส่วนบ้านเลขที่ 56/13 พบเครื่องคอมพิวเตอร์-จอพร้อมปริ๊นเตอร์แบบหัวจ่ายหรือมีกล่องไรท์ซีดีขนาด 5 หัวหรือ 5 กล่องไรท์จำนวน 4 เครื่องวางเรียงราย

โดยกำลังก๊อบปี้แผ่นปกภาพยนตร์และเพลงอยู่ พบแผ่นซีดีภาพยนตร์ที่ผ่านการเขียนหรือก๊อบปี้แล้วจำนวน 2,250 แผ่น แผ่นซีดีเพลงที่ผ่านการเขียนหรือก๊อบปี้แล้วจำนวน 6,300 แผ่น แผ่นซีดีเปล่าจำนวน 300 แผ่นพร้อมเครื่องเสียงชุดใหญ่อีก 1 ชุด ส่วนบ้านเลขที่ 56/14 พบเครื่องคอมพิวเตอร์-จอขนาดใหญ่ 1 ชุด ซึ่งเป็นเครื่องแม่กำลังดาวน์โหลดภาพยนตร์และเพลงจากเว๊บไซด์ต่างๆอยู่ โดยมีสายแลนด์พ่วงจากเครื่องไปยังคอมพิวเตอร์ที่อยู่ภายในบ้านอีก 2 หลัง พบแผ่นซีดีภาพยนตร์ที่ผ่านการเขียนหรือก๊อบปี้แล้วจำนวน 1,500 แผ่น แผ่นซีดีเพลงที่ผ่านการเขียนหรือก๊อบปี้แล้วจำนวน 880 แผ่น รวมแผ่นซีดีภาพยนตร์ทั้งหมด 5,250 แผ่น แผ่นซีดีเพลงทั้งหมดจำนวน 8,680 แผ่น ควบคุมตัวนางสมพักตร์ หรือ เจ๊แดง ตันสิงห์ อายุ 52 ปี เจ้าของบ้านและนายสันติ ตันสิงห์ อายุ 29 ปีลูกชายพร้อมลูกจ้างอีก 4 คนไปสอบสวน ประกอบด้วย นายประมูล กุทอง อายุ 46 ปี นายสมศักดิ์ เพ็งเมือง อายุ 29 ปี นายสุเชษฐ์ ชูเกิด อายุ 27 ปีและนายบุญฤทธิ์ คงรัก อายุ 35 ปี

จากการสอบสวนทราบว่า นางสมพักตร์ได้เช่าบ้านทั้ง 3 หลังเพื่อไว้ใช้เป็นแหล่งผลิตหรือก๊อบปี้แผ่นซีดีภาพยนตร์และเพลงจากเว๊บไซด์ต่างๆโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งจะมีนายสันติลูกชายเป็นคนควบคุมการผลิตและมีลูกจ้างอีก 4 คนคอยก๊อบปี้ภาพยนตร์และเพลงที่กำลังได้รับความนิยมจากเว๊บไซด์ในอินเตอร์เน็ต โดยการดาวน์โหลดจากโปรแกรมต่างๆ ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ตลอด 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะมีลูกค้ามารับออกไปจำหน่ายตามตลาดนัดใน จ.ภูเก็ตและพังงา โดยนางสมพักตร์ยังได้จัดกองทัพซาเล้งหรือรถจักรยานยนตร์พ่วงข้างให้ลูกจ้างนำแผ่นภาพยนตร์และเพลงออกไปขายตามตลาดนัดเช่นกัน ซึ่งในแต่ละวันเฉพาะขบวนรถซาเล้งที่นำแผ่นผีออกไปขายตามตลาดนัดนั้นจะสามารถขายได้วันละนับหมื่นบาท โดยนางสมพักตร์ลักลอบผลิตซีดีผีมาแล้วกว่า 2 ปี จนสามารถสร้างฐานะร่ำรวยได้ระดับหนึ่ง ส่วนมูลค่าความเสียหายที่เกิดจากการผลิตหรือทำซ้ำภาพยนตร์และเพลงละเมิดลิขสิทธิ์ครั้งนี้หลายล้านบาท โดยนางสมพักตร์และนายสันติถูกแจ้งข้อหาร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ผู้อื่นเพื่อการค้าและผลิต – ทำซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ต้องหาทั้ง 2 ให้การรับสารภาพ ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองภูเก็ตเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้พล.ต.ต.พิกัด ผบก.ภ.จว.ภูเก็ตได้กล่าวว่า ในการนำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจค้นในครั้งนี้ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้ขยายผลการจับกุมผู้ค้าซีดีเถื่อนตามตลาดนัดต่างๆ และทราบว่าได้รับซีดีมาจากแหล่งผลิต ที่อยู่ภายในซอยห่านฝรั่ง ต.เกาะแก้ว อ.เมือง ภูเก็ต พล.ต.ต.พิสันห์ จุลดิลก รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ ก็ได้สั่งการให้ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต โดยชุดสืบสวน สภ.เมืองภูเก็ต ทำการสืบสวน จนกระทั่งพบว่าผู้ผลิตได้เช่าบ้านจำนวน 3 หลังติดกันไว้ทำการผลิต จึงได้นำเจ้าหน้าที่บุกเข้าทำการจับกุมในขณะที่ผู้ต้องหากำลังผลิต ซีดีเถื่อนดังกล่าว

ผบ.ทร.เผยการส่งหมู่เรือปราบปรามโจรสลัดเกิดผลคุ้มค่า


พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผบ.ทร. กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมและบำรุงขวัญกำลังพลของหน่วยงานต่างๆ ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน ว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้หมู่เรือปราบปราบโจรสลัดที่ไปร่วมปฏิบัติภารกิจบริเวณอ่าวเอเดนและชายฝั่งโซมาเรีย อยู่ปฏิบัติภารกิจต่ออีก 36 วัน ตามที่กองกำลังร่วมผสมได้ทำการร้องขอ รวมถึงองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องของไทย เช่น สมาคมเรือประมง สมาคมเรือพาณิชย์ เป็นต้น ร้องขอมาด้วยเช่นกัน เนื่องจากในช่วงต่อจากนี้คลื่นลมในทะเลเริ่มสงบ จึงเหมาะแก่การออกปฏิบัติการของเรือโจรสลัด เพื่อเป็นการให้ความร่วมมือช่วยเหลือและดูแลเรือประมงหรือเรือพาณิชย์ของประเทศไทยเราด้วย

“สถานการณ์ในช่วงที่ผ่านมาถือว่าเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีการเข้าไปช่วยดูแลหมู่เรือประมงที่ทำการประมง และช่วยควบคุมดูแลเรือสินค้านานาชาติตามเส้นทางที่มีการแนะนำ ซึ่งคาดว่าหมู่เรือปราบปราบโจรสลัดของไทยจะเดินทางกลับประเทศในประมาณกลางเดือนมกราคมปีหน้า”

พล.ร.อ.กำธร กล่าวด้วยว่า ส่วนหลังจากหมดอายุการอนุญาตในครั้งนี้แล้วหรือไม่นั้น ก็คงจะต้องมีการพิจารณาเป็นคราวๆ ไปในแต่ละปีงบประมาณ ทั้งนี้จะต้องดูสถานการณ์ก่อนว่าคลี่คลายไปในทางที่ดีหรือไม่อย่างไร รวมทั้งความต้องการของคนไทยเราที่ไปประกอบธุรกิจอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว รวมถึงกำลังงบประมาณของรัฐบาลด้วย ซึ่งเมื่อพิจารณาอย่างรอบด้านแล้วพบว่ามีจำเป็นต้องไปร่วมในการดูแลรักษาผลประโยชน์ให้กับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนแล้วก็จะได้มีการเสนอต่อรัฐบาลเพื่อขออนุมัติความเห็นชอบในปีหน้า (2554) ตามช่วงเวลาที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม พล.ร.อ.กำธร กล่าวว่า การใช้งบประมาณนำเรือรบจำนวน 2 ลำไปร่วมปฏิบัติการกับกองกำลังร่วม เมื่อเทียบกับประโยชน์ที่เราได้รับ คิดว่ามีความคุ้มค่าทั้งในแง่ของตัวเงินหรือขวัญกำลังใจของผู้ที่ประกอบอาชีพในทะเล รวมถึงเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศซึ่งจะมีความมั่นคงมากขึ้น หากมีระบบขนส่งทางทะเลที่ดี และปลอดภัย ส่วนผลดีที่เกิดกับกองทัพเรือ นั่นคือ ได้มีโอกาสไปแสดงศักยภาพในการปกป้องผลประโยชน์ทางทะเล ขณะเดียวกันกำลังพลก็จะได้มีประสบการณ์ในการทำงานซึ่งไม่สามารถหาได้จากการฝึกกับการปฏิบัติในสนามจริง เพราะจะทำให้ได้บทเรียนใหม่ๆ นำมาใช้ในการปรับยุทธวิธีในการปฏิบัติงานในรูปแบบต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น