จำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ

วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประชุมรัฐมนตรีสภาไตรภาคียางพารา



เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2555 ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ ต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายยุทธพงษ์ จรัสเสถียร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดการประชุมรัฐมนตรีสภาไตรภาคียางพารา (International Tripartite Rubber Council: ITRC) ของบริษัท ร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ (IRCo) 


โดยมีนาย GITA WIRJAWAN รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า ประเทศอินโดนีเซีย, นาย TAN SRI BERNARD DOMPOK รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพืชอุตสาหกรรมและสินค้าโภคภัณฑ์ ประเทศมาเลเซีย นอกจากนี้ยังมีผู้แทนจากประเทศลาว กัมพูชา และเวียดนามร่วมสังเกตการณ์ รวมทั้งยังมีนายดำรง จิระสุทัศน์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร บริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม 


และในช่วงเที่ยงของวันเดี่ยวกัน นายนายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็ได้เดินทางเข้าร่วมรับประทานอาหารเที่ยงร่วมกับนายยุทธพงษ์ จรัสเสถียร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นาย GITA WIRJAWAN รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า ประเทศอินโดนีเซีย, นาย TAN SRI BERNARD DOMPOK รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพืชอุตสาหกรรมและสินค้าโภคภัณฑ์ ประเทศมาเลเซีย พร้อมด้วยรัฐมนตรีจากประเทศลาว กัมพูชา และเวียดนาม ที่ได้เดินทางมาร่วมสังเกตการณ์ ในการประชุมรัฐมนตรีสภาไตรภาคียางพารา (International Tripartite Rubber Council: ITRC) ของบริษัท ร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ (IRCo) ด้วย 


สำหรับการประชุมดังกล่าว เพื่อหารือและติดตามมาตรการรักษาเสถียรภาพยางของประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย รวมถึงบูรณาการการทำงานของทั้ง 3 ประเทศ ในการแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ นอกจากนั้นยังมุ่งแสวงหาความร่วมมือและติดตามสถานการณ์ราคายางพารา รวมทั้งติดตามผลการดำเนินงานต่างๆ พร้อมพิจารณาแผนการดำเนินงานร่วมกันในอีก 10 ปีข้างหน้า (ปี 2555 – 2564) ภายใต้ความร่วมมือระหว่างสภาไตรภาคียางพาราและบริษัทร่วมทุนยางฯ ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติของอาเซียน เพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางและเพิ่มปริมาณการใช้ยางธรรมชาติในระดับภูมิภาคด้วย 


อย่างไรก็ตามนายยุทธพงษ์ กล่าวภายหลังการประชุมว่า ได้มีข้อสรุปร่วมกันว่า กรณีที่มีการควบคุมโควต้าการส่งออกเป็นผลทำให้ราคายางพาราอยู่ได้ในระดับราคา 3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อกิโลกรัม เพราะไม่เช่นนั้นราคาจะตกต่ำมากกว่านี้ นอกจากนี้ยังได้ข้อสรุปร่วมด้วยกันว่าเมื่อทั้งสามประเทศกลับไปแล้วจะไปดำเนินการในเรื่องของการปลูกต้นยางพาราใหม่ทดแทนต้นยางพาราที่มีอยู่เดิม เพื่อเป็นการลดปริมาณซัฟพราย โดยแต่ละประเทศจะไปทำการศึกษาข้อมูลของบปริมาณตัวเลขการโค่นต้นยางพาราเก่าและปลูกใหม่ 


จากนั้นก็จะได้มาหารือร่วมกันอีกครั้ง และยังได้รวมถึงการส่งเสริมให้มีการใช้ยางพาราภายในประเทศให้มากขึ้น โดยในส่วนของประเทศไทยนั้น ได้นำเสนอว่าควรจะมีการนำยางพารามาใช้ในการทำถนนแทนการใช้ยางแอสฟัสติกส์ ซึ่งขณะนี้กรมทางหลวงของประเทศไทยได้มีการศึกษาเรื่องนี้แล้ว และพบว่ามีความเป็นไปได้มาก จึงได้มีการตกลงร่วมกันว่าจะมีการถ่ายทอดเทคโนโลยี ขณะเดียวกันทางประเทศมาเลเซียก็ได้เสนอว่าให้มีการนำไปใช้งานด้านอื่นๆ ด้วย เช่นเดียวกับประเทศอินโดนีเซียที่เห็นด้วยว่าการใช้ยางพาราจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยีสีเขียว ลดปัญหาโลกร้อนได้ด้วย 


“ส่วนกรอบแนวทางการดำเนินงานร่วมกันในช่วง 10 ข้างหน้านั้น ได้มอบหมายให้ ITRC และบริษัทร่วมทุนยางฯ ไปศึกษาว่า ต้องการให้ยางพารามีระดับราคาเท่าใด และต้องใช้เม็ดเงินมากน้อยเพียงใดในการพยุงราคา รวมถึงการใช้ทรัพยากรต่างๆ ที่มีอยู่ เช่น การควบคุมปริมาณการส่งออก เป็นต้น และให้นำผลการศึกษามารายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งถัดไป ซึ่งประเทศมาเลเซียเป็นเจ้าภาพในวันที่ 12 ธันวาคม 2556 ขณะเดียวกันได้มีมอบหมายให้ทำการศึกษาเรื่องการจัดตั้งตลาดกลางยางพาราร่วมกันของ 3 ประเทศ” 


นายยุทธพงษ์ ยังกล่าวด้วยว่า ในการประชุมครั้งนี้ได้มีการเชิญประเทศสมาชิกอาเซียนที่มีการปลูกยางพารามาร่วมสังเกตการณ์ประชุมด้วย คือ ลาว กัมพูชาและเวียดนาม พร้อมกันนี้ยังจะได้มีการประชุมหารือนอกรอบร่วมกันกับผู้แทนของทั้งสามประเทศด้วย เพื่อรับทราบแนวทางของการที่จะมาเข้าร่วมการเป็นสมาชิกสภาไตรภาคี และวัตถุประสงค์ของการเข้ามาร่วม 


อย่างไรก็ตามนายยุทธพงษ์ กล่าวถึงการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของไทย ว่า ในส่วนของกระทรวงเกษตรนั้น นับตั้งแต่ตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยขณะนั้นราคายางพาราอยู่ที่กิโลกรัมละ 75 บาท แต่ปัจจุบันอยู่ที่กิโลกรัมละ 81-82 บาท จึงมองว่าแนวทางที่ดำเนินการในโครงการเสริมสร้างและรักษาเสถียรภาพราคาเดินทางมาถูกทางแล้ว และเชื่อว่าแนวโน้มราคายางพาราจะปรับขึ้น ส่วนราคาที่เหมาะสมส่วนตัวในฐานะรัฐมนตรีคิดว่าราคาน่าจะอยู่ที่เลข 3 หลัก


จึงได้นำแนวทางและทรัพยากรต่างๆ ที่มีอยู่มาใช้เพื่อให้ราคาเพิ่มสูงขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกมีปัญหา เนื่องจากเราต้องพึ่งพาการส่งออกไปยังผู้บริโภครายใหญ่ เช่น จีน ญี่ปุ่น อียู เป็นต้น และประเทศเหล่านี้ก็มีปัญหาด้านเศรษฐกิจ ซึ่งหวังว่าหลังการเลือกตั้งประธานธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกา และจีนมีผู้บริหารชุดใหม่แล้ว ซึ่งนำเสนอนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นเชื่อว่าแนวโน้มการใช้ยางพาราก็น่าจะมีเพิ่มมากขึ้น และจะส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้นด้วย


ด้านนายดำรง จิระสุทัศน์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดประชุมสภาไตรภาคียางพาราในครั้งนี้มีประเด็นสำคัญ ในการร่วมมือหลายประเด็น อาทิ มาตรการรักษาเสถียรภาพราคายาง การจัดตั้งตลาดภูมิภาคของ 3 ประเทศ การขยายความร่วมมือกับประเทศผู้ใช้ยางและผู้ประกอบการยางล้อให้ใช้ยางธรรมชาติในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น การหาแนวทางจัดตั้งตลาดยางพาราของภูมิภาคอาเซียน และการจัดตั้งกองทุนยางพาราในแต่ละประเทศสมาชิก อีกทั้งยังมีการหารือประเด็นการขยายอุปสงค์ในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วย


การประชุมรัฐมนตรีสภาไตรภาคียางพาราจะช่วยกระชับและเสริมสร้างความร่วมมือด้านยางพาราของมาเลเซียและไทยให้แน่นแฟ้นมากขึ้น ขณะเดียวกันยังคาดว่า ผลการประชุมเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการของทั้ง 3 ประเทศ ทั้งยังช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ภาคอุตสาหกรรมการตลาด และเกษตร เพื่อพัฒนาความยั่งยืนของการประกอบอาชีพยางพาราแก่ผู้เกี่ยวข้องทั้งระบบ ซึ่งจะกระตุ้นให้ราคายางอยู่ในระดับที่เหมาะสมและทำให้ราคายางมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น นายดำรงค์กล่าว



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น