จำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ

วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

ไกด์ไทยภาษาจีนร่วม 200 คน ยื่นหนังสือผู้ว่าฯ



เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 29 เมษายน 2556 ที่บริเวณลานหน้าศาลากลางจังหวัดภูเก็ต กลุ่มมัคคุเทศก์ไทยภาษาจีน ซึ่งประกอบอาชีพอยู่ในจังหวัดภูเก็ตจำนวนประมาณ 200 คน นำโดยนางสาวอาภารัตน์ ชาติชุติกำจร ที่ปรึกษามัคคุเทศก์ภาษาจีน และนายใจ้ฟู่ แซ่หลี ตัวแทนมัคคุเทศก์อาชีพภาษาจีน ได้รวมตัวกันเพื่อยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต 


เพื่อให้ดำเนินการแก้ไขปัญหามัคคุเทศก์เถื่อนต่างชาติที่เข้ามาแย่งอาชีพมัคคุเทศก์คนไทย โดยเฉพาะมัคคุเทศก์ภาษาจีน เนื่องจากเป็นอาชีพสงวนสำหรับคนไทย พร้อมป้ายเขียนข้อความต่างๆ เช่น ไกด์คนไทยตกงาน เพราะไกด์ต่างชาติ, ประเทศไทยเป็นของเราไม่ใช่ของบคนต่างชาติ..ออกไป, อย่าให้ไกด์ต่างชาติเข้ามาหาผลประโยชน์ในเมืองของเรา, คนไทยตกงาน คนต่างชาติมีงานทำ เป็นต้น โดยมีนายสมเกียรติ สังข์ขาวสุทธิรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือร้องเรียนดังกล่าว


หลังจากนั้นได้มีการเชิญตัวแทนของมัคคุเทศก์ดังกล่าว จำนวน 10 ร่วมประชุมกับ พ.ต.อ.ศักดิ์ชัย ลิ้มเจริญ รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต, พ.ต.อ.เสริมพันธ์ ศิริคง ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต และหัวหน้าหน่วยงานราชการเกี่ยวข้อง อาทิ ท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานธุรกิจการค้า นายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยว และมัคคุเทศก์ สาขาภาคใต้เขต 2 หัวหน้าศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดภูเก็ต เป็นต้น เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน 


สำหรับเนื้อหาในหนังสือร้องเรียนมีใจความสรุปว่า ปัจจุบันมีคนต่างชาติเข้ามาแย่งอาชีพคนไทยในจังหวัดภูเก็ตไปเกือบ 100% โดยเฉพาะมัคคุเทศก์ภาษาจีน ทั้งๆ ที่อาชีพมัคคุเทศก์เป็นอาชีพที่สงวนไว้ให้กับคนไทย นอกจากนี้มีหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่รัฐบางหน่วยบางคนแทนที่จะจับกุมมัคคุเทศก์เถื่อนต่างชาติ กลับมาจ้องจับมัคคุเทศก์ภาษาจีนที่เป็นคนไทย จึงได้รวมตัวกันเพื่อขอให้ทางจังหวัดภูเก็ตลงมาดูแลปัญหาอย่างใกล้ชิด มีการบังคับใช้กฎหมายผลักดันให้ไกด์เถื่อนชาวต่างชาติออกไป 


บังคับใช้กฎหมายลงโทษบริษัททัวร์ที่ทำทัวร์ศูนย์เหรียญหรือทัวร์ติดลบ บังคับใช้กฎหมายกับบริษัททัวร์ที่ใช้ไกด์เถื่อนต่างชาติอย่างจริงจัง นอกจากนี้ให้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาร่วมกันแก้ไขปัญหาโดยมีตัวแทนจากภาครัฐ และเอกชนที่ปราศจากผลประโยชน์แอบแฝงหรือทับซ้อน หากปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขก็จะได้ประสานกับทางชมรมมัคคุเทศก์ภาษาอื่นๆ ทั้งในภูเก็ตและกรุงเทพฯ ร่วมกันไปประท้วงที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรีต่อไป 


นายใจ้ฟู่ แซ่หลี่ ตัวแทนกลุ่มอาชีพมัคคุเทศก์อาชีพภาษาจีน กล่าวถึงความเดือดร้อนที่กลุ่มมัคคุเทศก์ไทยภาษาจีน ได้รับว่า ปัจจุบันมีไกด์เถื่อนชาวจีนได้เข้ามาทำอาชีพไกด์ไม่ต่ำกว่า 300 คน โดยแฝงตัวเข้ามาในคราบของนักท่องเที่ยว และเข้าไปทำงานในบริษัททัวร์จีนต่างๆ ซึ่งนอกจากผิดกฎหมายแล้ว ยังทำลายภาพพจน์การท่องเที่ยวด้วย เพราะส่วนใหญ่จะไม่รู้ถึงวัฒนธรรมประเพณีของเรา และจะให้ข้อมูลที่ผิดๆ กับนักท่องเที่ยว เช่น บอกว่าเมืองไทยเป็นเมืองผู้หญิงขายบริการ โชว์กระเทย เป็นต้น ประกอบกับอีก 2 ปีข้างหน้าก็จะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้น หากปล่อยไว้มัคคุเทศก์ชาวไทยจำนวนมากจะตกงานอย่างแน่นอน รวมไปถึงตลาดเกาหลี และรัสเซีย ที่กำลังมีปัญหาเช่นกัน 


“การที่ชาวต่างชาติเข้ามาทำอาชีพไกด์ถือว่าผิดกฎหมายในทุกข้อ จึงอยากให้หน่วยงานภาครับเข้ามาดูแลแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง รวมถึงการเปิดกิจการนำเที่ยวโดยใช้ไกด์จีนแดง ทำให้มัคคุเทศก์ชาวไทยภาษาจีนไม่มีงานทำ และเป็นบริษัทนอมินี อีกทั้งอยากเรียกร้องต่อเจ้าหน้าที่ในการจับกุมขอให้ดำเนินการอย่างเป็นธรรม เพราะที่ผ่านมาพบว่าถ้าเป็นไกด์คนไทยหากมีการทำผิดเล็กน้อยก็จะถูกจับกุม แต่หากเป็นไกด์เถื่อนก็มักมีผู้มาเคลียร์ ซึ่งไม่ยุติธรรม นอกจากนี้เนื่องจากปัจจุบันตลาดนักท่องเที่ยวจีนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจึงอยากให้เรียกร้องให้มีการเปิดอบรมเพื่อสอบใบอนุญาตให้กับไกด์คนไทยให้มากขึ้น เพราะปัจจุบันมีการออกใบอนุญาตมัคคุเทศก์ปีละประมาณ 80 คน ซึ่งไม่เพียงพอ ในขณะที่มัคคุเทศก์คนไทยที่มีความรู้ภาษาจีน แต่ไม่มีใบอนุญาตจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 2,000 คน ส่วนที่มีใบอนุญาตแล้วมีประมาณ 500 คน”นายใจ้ฟู่กล่าว 


ขณะที่นายสมเกียรติ กล่าวภายหลังการประชุมว่า เท่าที่ประเมินปัญหาที่เกิดขึ้น มี 3 เรื่องด้วยกัน คือ มีชาวต่างชาติเข้ามาทำหน้าที่เป็นไกด์ซึ่งถือว่าผิดกฎหมายชัดเจน รวมทั้งบริษัทที่เป็นนอมินี ซึ่งในเรื่องนี้จะต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และจะได้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมในการเข้าไปตรวจสอบและจับกุม โดยบูรณาการร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง สำนักพัฒนาธุรกิจการค้า นายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวฯ และหน่วยที่เกี่ยวข้อง โดยขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการหรือผู้ที่เดือดร้อน ได้ส่งข้อมูลที่มาให้ผู้ว่าฯ เพื่อจะได้สั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และบูรณาการลงไปดำเนินการตามกฎหมายต่อไป 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น