จำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

ตำรวจรู้ตัว 1 ใน 2 คนร้ายปล้นร้านทองแล้ว



จากกรณี 2 คนร้ายใส่วิกผม ใช้ปืนอัดลมและค้อนเป็นอาวุธบุก ร้านทองยงชวน เลขที่ 68/295 หมู่บ้านการเคหะแห่งชาติภูเก็ต หมู่ 7 ต.รัษฎา อ.เมือง ภูเก็ต เข้าทุบเคาร์เตอร์ตู้โชว์ แล้วกวาดทองรูปพรรณชนิดต่างๆ น้ำหนักรวมกว่า 150 บาท มูลค่ากว่า 4 ล้านบาท จากนั้นก็ได้หลบหนีด้วยรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ 110 สีขาว – แดง หมายเลขทะเบียน ขพก 180 ภูเก็ต หลบหนี ต่อมาทางเจ้าหน้าที่พบรถ จยย.คันดังกล่าวจอดทิ้งไว้ที่บ้านพักคนงานในแพปลาแห่งหนึ่ง
ถ.ศรีเสนา ต.รัษฎา อ.เมือง ภูเก็ต ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 1 กม. นอกจากนี้ทาเจ้าหน้าที่ยังพบคราบเลือดที่บริเวณท่อไอเสียและสร้อยข้อมือทองคำหนัก 1 บาทตกอยู่ข้างรถจักรยานยนต์ และห่างออกมาทางเจ้าหน้าที่ยังพบวิกผมตกอยู่ที่พื้นด้วย เบื้องต้นตำรวจคาดว่าคนร้ายอาจเป็นแรงงานต่างด้าวหรือลูกเรือประมงลำใดลำหนึ่งที่จอดเทียบท่าองค์การสะพานปลาหรือท่าเรือใกล้เคียง เนื่องจากตรวจสอบพบว่ารถ จยย.ที่คนร้ายใช้หลบหนีมีเจ้าของเป็นแรงงานชาวพม่า


ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2555 ที่ห้องประชุมชั้น 2 สภ.เมืองภูเก็ต พล.ต.ต.ชนสิษฐ์ วัฒนวรางกูร ผบก.ภ.จ.ภูเก็ต พร้อมด้วยพ.ต.อ. ชลิต แก้วยะรัตน์ รอง.ผบก.ภ.จ.ภูเก็ต พ.ต.อ.เสริมพันธุ์ ศิริคง ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต พ.ต.อ.วันชัย ปาละวัน ผกก.สส.ภ.จ.ภูเก็ต พ.ต.ท.จำรูญ พลายด้วง รอง.ผกก.สส.พ.ต.ท.เสริม ขวัญนิมิตร รอง.ผกก.สส.ภ.จ.ภูเก็ต พ.ต.ท.ประวิทย์ เอ่งฉ้วน สว.สส.สภ.เมืองภูเก็ต และร.ต.อ.ธาดา โสดารักษ์ เจ้าของคดี ได้ร่วมกันประชุมความคืบหน้าคดีดังกล่าว โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้ารับฟัง โดยบรรยากาศภายในห้องประชุมเป็นไปอย่างเคร่งเครียด ซึ่งมีการนำภาพวีดีโอจากกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ภายในร้านและนอกร้านทองดังกล่าวมาเปิดดูพฤติกรรมของคนร้ายอย่างละเอียด ตลอดจนภาพคนร้ายหลังก่อเหตุที่กล้องวงจรปิดตามร้านค้าหรือริมถนนใกล้เคียงสามารถบันทึกภาพไว้ได้อย่างชัดเจน โดยสามารถเห็นใบหน้าและลักษณะการแต่งกายของคนร้ายทั้ง 2 ได้อย่างชัดเจน เบื้องต้นคาดว่าอาจเป็นอดีตลูกเรือประมงหรือคนงานที่เคยทำงานในสะพานปลา แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นคนงานแล้ว โดยมีกล้องวงจรปิดบางจุดสามารถจับภาพขณะคนร้ายถอดเสื้อและวิกผมที่สวมใส่ขณะก่อเหตุทิ้ง 


พล.ต.ต.ชนสิษฐ์ วัฒนวรางกูร ผบก.ภ.จ.ภูเก็ต ได้กล่าวภายหลังการประชุมว่า ขณะนี้การติดตามคนร้ายที่ก่อเหตุดังกล่าวนั้น ขณะนี้ได้เบาะแสสำคัญจากคนขี่รถ จยย.รับจ้างที่ปรากฏภาพในกล้องวงจรปิดตามจุดต่างๆ หลังคนร้ายก่อเหตุ ได้แยกย้ายกันหลบหนี โดย 1 ใน 2 คนร้ายได้ขึ้นรถ จยย.รับจ้างจากบริเวณหน้าแพปลาดังกล่าวไปยังบ้านเช่าหลังหนึ่งในหมู่บ้านธารทอง 5 บ้านบ่อแร่ ถ.ศักดิ์เดชน์ ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ต ห่างจากจุดเกิดเหตุราว 10 กม. และจากการตรวจสอบพบว่าผู้เช่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นพ่อค้าขายลูกชิ้นทอด ซึ่งอาจมีสัญชาติพม่าหรือมอญ ทราบชื่อคือ นายโกศล ไม่ทราบนามสกุล แต่ไม่พบตัว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้สอบถามคนข้างบ้านก็ทราบว่า ได้ออกจากบ้านพักไปพร้อมกับแฟนสาวเมื่อช่วงเย็นวันเกิดเหตุ ทางพนักงานสอบสวนก็ได้รวบรวมหลักฐานเสนอต่อศาล จ.ภูเก็ต เพื่อขออนุมัติออกหมายจับนายโกศลตามภาพและลักษณะรูปพรรณที่ปรากฏในกล้องวงจรปิด ส่วนคนร้ายอีก 1 คนยังไม่รู้ว่าเป็นใคร เนื่องจากภาพจากกล้องวงจรปิดตามเส้นทางหลบหนีพบเพียงคนร้ายว่าจ้างรถ จยย.ไปส่งที่หน้าเทสโก้โลตัสเอ็กซ์เพรส ห่างจากจุดเกิดเหตุราว 1 กม.แล้วหายตัวไป ซึ่งคาดว่ายังคงกบดานอยู่ในพื้นที่ โดยอยู่ระหว่างการสืบหาและติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย 


ร.ต.อ.ธาดา โสดารักษ์ ร้อยเวรสถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต เจ้าของคดีกล่าวถึงความคืบหน้าของคดีว่า ขณะนี้ศาลจังหวัดภูเก็ตได้อนุมัติหมายจับผู้ก่อเหตุดังกล่าวแล้ว คือ หมายจับเลขที่ 490/2555 ชื่อนายโกศล ไม่ทราบนามสกุล สัญชาติมอญ ซึ่งเป็นผู้ใช้ปืนลมขู่เจ้าของร้าน และหมายจับเลขที่ 491/2555 เป็นการขอหมายจับชายไม่ทราบชื่อตามตำหนิรูปพรรณสัณฐานที่ปรากฏในกล้องวงจรปิดอย่างชัดเจน ผิวดำแดง สูงประมาณ 160 เซนติเมตร ไว้ผมยาวผูกจุก นุ่งกางเกงยีนส์สีน้ำเงิน สวมเสื้อแขนสั้นสีดำ แถบเหลือง ใบหน้ากลม จมูกราบ โดยตั้งข้อกล่าวหาว่า ร่วมกันลักทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจ โดยใช้ยานพาหนะ 


อย่างไรก็ตามสำหรับคนร้ายที่ก่อเหตุทั้ง 2 คนนั้น ทาง พล.ต.ต.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เผยแพร่ภาพของผู้ต้องสงสัยให้กับประชาชนทราบ หากประชาชนท่านใดพบเห็นชายต้องสงสัยดังกล่าวสามารถแจ้งข้อมูลมาที่สถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ตได้ตลอดเวลา ขณะที่การติดตามจับกุมคนร้าย ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเร่งแกะรอยตามพยานหลักฐานที่ได้มีการสืบสวนขยายผล โดยได้แบ่งกำลังในการติดตามจับกุม คาดว่าจะสามารถจับกุมตัวได้ในเร็วๆ นี้ ร.ต.อ.ธาดา กล่าว 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น