จำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

คืบหน้าสำรวจจุดเรืออับปางไม่พบคราบน้ำมันแล้ว

เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 5 กันยายน 2553 ที่ผ่านมา ภายหลังจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งเจ้าหน้าที่ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ที่ 5 จ.ภูเก็ต ทัพเรือภาคที่ 3 ตำรวจน้ำ ชุดปฏิบัติการใต้น้ำ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด และหน่วยงานอื่นๆ ได้ออกเดินทางไปกับเรือหลวงรัง ทัพเรือภาคที่ 3 เรือของศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 5 จ.ภูเก็ต กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เรือตำรวจน้ำ คุณพุ่ม ต.814 พร้อมนักประดาน้ำและหน่วยจู่โจมใต้น้ำออกเดินทางไปตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุเรือโชคถาวร 6 ซึ่งเป็นเรือบรรทุกน้ำมันถูกคลื่นซัดจนอับปางระหว่างเกาะเฮ กับเกาะราชา อ.เมือง ภูเก็ต เพื่อดูสถานการณ์และเก็บตัวอย่างคุณภาพน้ำ เพื่อนำมาตรวจสอบและหามาตรการในการดำเนินการกำจัดคราบน้ำมัน

จากนั้นนายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ ขนส่งทางน้ำภูมิภาคที่ 5 สาขาภูเก็ต กล่าวภายหลังร่วมเดินทางไปสำรวจจุดที่เกิดเหตุ ว่า จากการเดินทางไปกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบบริเวณจุดเกิดเหตุเรืออับปาง พบมีเรือเฝ้าระวังอยู่ 1 ลำ และรอบๆ บริเวณจุดที่เรืออับปางไม่พบคราบน้ำมันและไม่มีร่องรอยของน้ำมันที่รั่วไหลออกมาเพิ่มเดิม จึงทำให้ปัญหาคราบน้ำมันหมดไป แต่ทางทางเจ้าหน้าที่ก็ได้เก็บตัวอย่างน้ำบริเวณที่เกิดเหตุ เพื่อนำมาตรวจสอบคุณภาพด้วย เบื้องต้นเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น่าจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากคราบน้ำมันที่พบมีการสลายทั่วอย่างรวดเร็ว

ส่วนของการกู้ซากเรือลำที่เกิดเหตุคงจะต้องรอให้คลื่นลมสงบก่อน เนื่องจากขณะนี้บริเวณฝั่งทะเลอันดามันยังคงมีคลื่นลมแรง แต่เชื่อว่าคงทำได้ไม่ยากนัก เนื่องจากเรือไม่ได้จมถึงพื้นทราย รอเพียงให้สภาพอากาศดีขึ้นเท่านั้น นายภูริพัฒน์กล่าว

ขณะที่นายประมวล หนวดงาม เจ้าของเรือโชคถาวร 6 กล่าวว่า การกู้เรือต้องรอให้คลื่นลมสงบก่อน ส่วนของน้ำมันที่เหลืออยู่ในตัวเรือนั้นคาดว่าจะมีประมาณ 25,000 ลิตร เนื่องจากก่อนที่เรือจะอับปางเรือโชคถาวร 8 ได้ทำการดูดน้ำมันออกมาได้แล้วประมาณ 15,000 ลิตร

ทางด้านนายวรรณเกียรติ ทับทิมแสง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า หลังจากสรุปผลการบินสำรวจเมื่อช่วงเช้า (5ก.ย.) ที่ผ่านมา ไม่พบคราบน้ำมันรั่วไหลเพิ่มเติมและมีบางส่วนได้ระเหยไป แล้ว เหลือเพียงเฉพาะบริเวณจุดที่เรืออับปางซึ่งมีวงกว้างประมาณ 30 ตารางเมตรเท่านั้น ซึ่งเป็นน้ำมันในส่วนของเครื่องยนต์เรือ จากการประเมินคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อทรัพยากรสิ่งแวดล้อมไม่มากนัก แต่ก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่ทำการจัดเก็บตัวอย่างน้ำบริเวณที่เกิดเหตุและพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อนำมาตรวจสอบหาค่าสารไฮโดรคาร์บอนว่าจะเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตหรือระบบนิเวศน์ใต้น้ำมากน้อยเพียงใด

“ส่วนตัวเรือที่จมใต้ทะเลคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตเหนือผิวดินใต้น้ำ เพราะตัวเรือจมลงใต้ผิวน้ำประมาณ 10 เมตรเท่านั้น ด้วยน้ำมันมีน้ำหนักเบากว่าน้ำจึงลอยขึ้นมา ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการกู้เรือ โดยขณะนี้ได้เร่งรัดเจ้าของเรือให้เร่งรัดทำการกู้เรือให้เร็วที่สุด”

นายวรรณเกียรติ กล่าวด้วยว่า บริเวณใกล้เคียงกับจุดที่เรืออับปางจะเป็นพื้นที่มีแนวปะการัง โดยเฉพาะบริเวณเกาะราชาซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 600 ไร่ เกาะไม้ท่อนประมาณ 400 ไร่ นอกจากนี้มีสัตว์น้ำประเภทหอยมือเสือ และกังวลว่ากระแสน้ำอาจจะพัดไปทางเกาะพีพีได้ ซึ่งอาจจะกระทบกับปะการังในพื้นที่ดังกล่าว แต่จากการตรวจสอบข้อมูลล่าสุดพบว่าน้ำมันได้ระเหยไปเกือบหมดแล้ว จึงมีผลกระทบในทะเลน้อยมาก

ส่วนมาตรการป้องกันในระยะนี้ซึ่งคลื่นลมในทะเลค่อนข้างแรงคงต้องขอความร่วมมือผู้ประกอบการเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือบรรทุกสิ่งของ เนื่องจากเส้นทางเดินเรือจุดดังกล่าวมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ และก่อนหน้านี้เคยมีเรือบรรทุกปูนซีเมนต์จมขณะกำลังลำเลียงปูนไปยังเกาะราชามาแล้วครั้งหนึ่ง นายวรรณเกียรติกล่าว


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น