จำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ

วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ทำลายของกลางคดีสินสุด 95,038 ชิ้น


เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2554 ที่บริเวณโรงเตาเผาขยะ จ.ภูเก็ต นางปัจฉิมา ธนสันติ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เป็นประธานในพิธีประชาสัมพันธ์และทำลายของกลางคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่คดีถึงที่สุดแล้ว โดยมีนายวีระวัฒน์ จันทร์เพ็ญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พล.ต.ท.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 นายสมบูรณ์ เฉยเจริญ ผู้อำนวยการสำนักป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ตลอดจนผู้บริหารระดับสูงกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 กรมศุลกากร โดยสำนักงานศุลกากรภาคที่ 4 (ด่านศุลกากรกันตัง ด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ ด่านศุลกากรสะเดา ด่านศุลกากรภูเก็ตและด่านศุลกากรสงขลา) กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดภูเก็ต และภาคเอกชนเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา เข้าร่วม
ทั้งนี้มีของกลางที่ทำลายจำนวน 95,038 ชิ้น อาทิ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า น้ำหอม แผ่นดีวีดี เป็นต้น น้ำหนักประมาณ 25 ตัน มูลค่ากว่า 58 ล้านบาท โดยเป็นของกลางของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต จำนวน 27,677 ชิ้น ของกลางจากกรมศุลกากร โดยสำนักงานศุลกากรภาคที่ 4 จำนวน 63,236 ชิ้น และของกลางจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ จำนวน 4,125 ชิ้น โดยใช้ค้อนทุบทำลายของกลางและกรีดกระเป๋าของปลอมจากนั้นทำลายด้วนรถบด และนำเข้าเตาเผา นอกจากนี้ยังมีการมอบป้ายหยุดละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาให้กับด่านศุลกากรภูเก็ต ด่านศุลกากรท่าอากาศยานภูเก็ต และกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ซึ่งในช่วงบ่ายของวันเดียวกันนี้ยังได้มีการเดินรณรงค์ต่อต้านสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ที่บริเวณอ่าวนาง จ.กระบี่ ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังพิเศษ (พื้นที่สีแดง) เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ซื้อ ไม่ใช้และไม่ขายของปลอม
นางปัจฉิมา ธนสันติ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า การปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ถือเป็นนโยบายที่สำคัญยิ่งของรัฐบาลในการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้สร้างสรรค์ นักลงทุนและผู้ประกอบการค้า ตลอดจนคุ้มครองเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญามิให้ถูกเอารัดเอาเปรียบทางการค้า คุ้มครองผู้บริโภคมิให้ถูกหลอกลวง สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ และป้องกันมิให้ต่างชาติหยิบยกปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญามาเป็นประเด็นต่อรองหรือกีดกันทางการค้า
“ทรัพย์สินทางปัญญาเปรียบเสมือนยาดำที่แทรกอยู่ในทุกกิจกรรมและมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนนโยบาย Creative Economy หรือเศรษฐกิจสร้างสรรค์ซึ่งรัฐบาลได้ผลักดันให้เป็นทิศทางหลักในการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้รัฐบาลได้เริ่มต้นประกาศแนวนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา โดยได้แถลงพันธะสัญญาของรัฐบาล 12 ข้อ ในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อวางเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในภูมิภาคอาเซียน และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์จากร้อยละ 12 ของผลผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ เป็นร้อยละ 20 ภายในปี 2555”
นางปัจฉิมา กล่าวด้วยว่า ในส่วนของการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา หน่วยงานป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (IP Agents) อันได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมศุลกากร และกรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้ดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งผลการปฏิบัติการปราบปรามในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ พ.ศ.2554 (ต.ค.53-เม.ย.54) มีผลการจับกุมรวม 4,769 คดี เป็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 4,502คดี กรมสอบสวนคดีพิเศษ 18 คดี และกรมศุลกากร 249 คดี ยึดของกลางได้รวม 3,418,614 ชิ้น นอกจากนี้จากการประชุมคณะทำงานสืบสวนและปราบปรามสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ครั้งที่ 1/2554 เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2554 มีมติส่วนหนึ่ง คือ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเข้มข้น ทั้งในส่วนของการนำเข้า ส่งออก การผลิต การจำหน่าย รวมถึงการสืบสวนขยายผลให้ผู้ที่เป็นตัวการอยู่เบื้องหลังด้วย
ในส่วนของการรณรงค์ปลุกจิตสำนึก กรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และกรมศุลกากร ได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ และกระตุ้นเตือนประชาชนไม่ซื้อ ไม่ใช้และไม่ขายของปลอมมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการจัดกิจกรรมในโรงเรียน การแจกเอกสารให้ความรู้ให้แก่ชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติในบริเวณด่านศุลกากรที่สำคัญ เช่น ด่านศุลกากรอรัญประเทศ เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้มีโครงการรณรงค์ปลูกจิตสำนึก ซึ่งกรมฯ ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ถ้อยคำของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ที่ว่า“หยุดละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา มึงเจริญ ชาติเจริญ” ในรูปแบบของเสื้อ โปสการ์ด และบิลบอร์ด เพื่อขยายผลการประชาสัมพันธ์ให้ออกไปในวงกว้างขึ้นด้วย นางปัจฉิมา กล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น