นายบัญชา ค้าของ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต (สสจ.ภูเก็ต) กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออกในจังหวัดภูเก็ต ว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-12 มิถุนายน 2556 มีรายงานผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพิ่มสูงถึง 912 ราย และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย โดยพบผู้ป่วยกระจายอยู่ทุกพื้นที่และทุกกลุ่มอายุ โดยเฉพาะอายุ 15 ปีขึ้นไป จะมีจำนวนผู้ป่วยมากขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะซื้อยากินเอง และกว่าจะไปพบแพทย์ก็ล่าช้า ไม่ทันเวลา และทำให้มีอันตรายถึงชีวิต
“จากสถานการณ์ดังกล่าว ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต จึงขอความร่วมมือไปยังประชาชน หากมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย (ไม่มีน้ำมูก ไม่ไอ) ควรงดทานยาแก้ไข้สูง/แก้ปวดเมื่อย เพราะจะเป็นเหตุทำให้โรคมีความรุนแรงและอันตรายมากขึ้น นอกจากนี้ให้ทายา/โลชั่นกันยุงกัด เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นในช่วงที่มีไข้สูง โดยทาวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 3 วัน รวมจำนวน 6 ซอง รวมทั้งให้สังเกตอาการที่เปลี่ยนแปลง หาก 2 วันแล้วไข้ยังไม่ลดให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อรับการเจาะเลือด และตรวจวินิจฉัยอาการ รวมถึงให้ช่วยกันกำจัดลูกน้ำยุงลายในบ้าน ชุมชน โรงเรียน สถานที่ทำงานทุกสัปดาห์ ทั้งนี้การดำเนินการที่ทำได้ดีที่สุด คือ ประชาชนทุกบ้านทุกหลังคาเรือนช่วยกันทำ ภายใต้แนวคิด “บ้านใคร บ้านคนนั้น เราต้องทำเอง” ซึ่งจะเป็นวิธีการป้องกันโรคไข้เลือดออกที่ได้ผลที่สุด และเกิดความยั่งยืน”
นายแพทย์บัญชา กล่าวด้วยว่า การพ่นสารเคมีกำจัดยุงนั้น เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และไม่สามารถกำจัดยุงได้ครอบคลุม แต่การพ่นเคมีจำเป็นต้องดำเนินการกรณีที่มีผู้ป่วยที่จะต้องควบคุมโรค โดยวิธีการพ่นเคมี จะมี 2 ชนิด คือ การพ่นหมอกควัน เป็นการพ่นภายในบ้าน ปิดประตู หน้าต่าง และอบควันทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมงเพื่อฆ่ายุง โดยประชาชนยังมีความเข้าใจผิดและปฏิเสธการพ่นภายในบ้านแต่จะให้พ่นนอกบ้าน คูระบายน้ำ ซึ่งเป็นการพ่นที่ผิดวิธี เพราะยุงลายอาศัยอยู่ในบ้าน กรณีที่ประชาชนไม่ยินยอมให้พ่นในบ้านสามารถใช้สเปรย์กระป๋องฉีดพ่นเอง และการพ่นฝอยละออง เช่น เครื่องพ่นติดรถยนต์ ซึ่งการพ่นวิธีนี้ต้องปิดประตูและหน้าต่างให้ฝอยละอองลอยไปสัมผัสตัวยุง เพื่อทำให้ยุงตาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น