จำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ

วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

ผู้ปกครองร.ร.ปลูกปัญญาชุมนุมยืนหนังสือผู้ว่า



เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2556 ที่บริเวณสนามหน้าโรงเรียนเทศบาลปลูกปัญญาฯ ถ.สตูล ต.ตลาดเหนือ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนเทศบาลปลูกปัญญา ในพระอุปถัมภ์ ฯ จำนวนกว่า 500 คน นำโดยนายธีรพนธ์ ลิ่มชูเชื้อ ประธานชมรมผู้ปกครองฯ นายสมบัติ ธีรประยูร รองประธานชมรมฯ 


ได้รวมตัวกัน พร้อมป้ายข้อความต่างๆ เช่น 100 ปีปลูกปัญญาตำนานยังคงอยู่ อนุบาล ประถม คุณค่าที่ควรรักษา, ปลูกปัญญายังคงเป็นตำนานการสร้างลูกหลานชาวภูเก็ตต่อไป, เราทำได้อนุบาล- มัธยมปลายอยู่เหมือนเดิม, ท่านผู้ว่าฯ เราเดือดร้อนจริง ขอความสุข..ของเด็กๆ คืนมา เป็นต้น ได้รวมตัวกันเพื่อคัดค้านนโยบายของเทศบาลนครภูเก็ต ที่จะยุบการศึกษาระดับชั้นอนุบาลศึกษาปีที่ 1 จนถึง ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยให้เหลือไว้เพียงระดับมัธยมศึกษา 


จากนั้นทางผู้เข้าร่วมชุมนุม ได้จัดรูปขบวนพร้อมทั้งเดินเท้าต่อไปยังศาลากลางจังหวัดภูเก็ต ซึ่งอยู่ได้ห่างจากโรงเรียนประมาณ 2 กม.เพื่อยื่นหนังสือคัดค้านกับนายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และเดินทางต่อไปยังสำนักงานเทศบาลนครภูเก็ต เพื่อยื่นหนังสือถึงนายกเทศมนตรีนครภูเก็ต แต่เนื่องจากนายกเทศมนตรีติดราชการเดินทางไปต่างประเทศ โดยมีนายกวี ตันสุคตานนท์ รองนายกเทศมนตรี ได้ออกมารับหนังสือแทน 


ทั้งนี้นายธีรพนธ์ ลิ่มชูเชื้อ ประธานชมรมผู้ปกครองฯ ได้อ่านแถลงการณ์ว่า ตามที่เทศบาลนครภูเก็ตจะรื้อระบบการศึกษาของโรงเรียนเทศบาลปลูกปัญญา ในพระอุปถัมภ์ฯ โดยยกเลิกระดับอนุบาล – ประถมศึกษา และมาจัดระบบการศึกษาเป็นระดับมัธยมทั้งโรงเรียน ซึ่งการดำเนินการครั้งนี้ มีการทำแบบลุกลี้ลุกลน ไม่มีต้นสายปลายเหตุและจะเริ่มภายในปีการศึกษาหน้า โดยไม่คำนึงถึงผู้ปกครองนักเรียน 


ประกอบกับไม่มีความเห็นใจต่อนักเรียนที่ถูกไล่ออกไปอยู่โรงเรียนอื่น อีกทั้งไม่คำนึงถึงคณะครูที่อยู่โรงเรียนมานาน ทำให้กระทบความรู้สึกของผู้ปกครองอย่างรุนแรง นอกจากนั้นยังใช้อำนาจขมขู่ กดดันไม่แยแสต่อความต้องการของประชาชน และละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานในการได้รับการศึกษา ดังนั้นทางเทศบาลนครภูเก็ตจึงไม่มีเหตุผลเพียงพอในการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาของโรงเรียนเทศบาลปลูกปัญญาฯ ที่จัดการศึกษามาเป็นระยะเวลา 100 ปี 


ดังนั้นทางชมรมผู้ปกครองฯ จึงขอเรียกร้องต่อทางเทศบาลนครภูเก็ต จำนวน 5 ข้อ คือ 1. เพื่อเรียกร้องสิทธิตามรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติการศึกษาว่าด้วยสิทธิการเข้าเรียนของเด็กทุกคน 2. เพื่อให้คณะผู้บริหารเทศบาลนครภูเก็ตโดยเฉพาะกลุ่มคนหนุ่ม ยกเลิกนโยบายการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาที่จะยุบระดับอนุบาล – ประถมศึกษามาเป็นระดับมัธยมเพียงอย่างเดียว 


3. เพื่อให้คณะผู้บริหารเทศบาลนครภูเก็ตสัญญาว่า จะไม่มีนโยบายที่จะรื้อระบบการศึกษาของโรงเรียนเทศบาลปลูกปัญญา ในพระอุปถัมภ์ฯ ต่อไป 4.เพื่อให้คณะผู้บริหารเทศบาลนครภูเก็ตให้มีการสนับสนุนการศึกษาของโรงเรียนเทศบาลปลูกปัญญา ในพระอุปถัมภ์ฯ ให้มีการพัฒนาคุณภาพยิ่งขึ้นไป 5.เพื่อให้ผู้ครองนักเรียน คณะครู มีความมั่นใจและตั้งใจพัฒนาลูกหลานสู่ความสำเร็จอย่างเต็มศักยภาพ 


ทั้งนี้นายธีรพนธ์ กล่าวด้วยว่า ผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว และเกิดกระแสความไม่พอใจเป็นอย่างมาก ซึ่งนับวันมีการต่อต้านรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทางชมรมผู้ปกครองนักเรียนฯ ซึ่งเป็นองค์ภายในโรงเรียนจัดตั้งมา 14 ปีแล้ว ได้เคยเชิญคณะผู้บริหารเทศบาลนครภูเก็ตมาร่วมพูดคุยหารือกับคณะกรรมการทั้ง 10 ฝ่ายของชมรมฯ แล้วแต่ไม่เป็นผล โดยทางเทศบาลนครภูเก็ตยังคงยืนยันนโยบายเดิม ไม่คำนึงถึงความเดือนร้อนที่จะเกิดขึ้นกับผู้ปกครองและความเสียใจที่จะเกิดขึ้นกับนักเรียนกำลังใจจะหดหายไป จึงได้มายื่นหนังสือร้องเรียนกับผู้ราชการจังหวัดภูเก็ต และในส่วนของเทศบาลฯ ดังกล่าว 


ขณะที่นายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ได้กล่าวกับผู้ปกครองว่า การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องการดูแลเป็นอย่างยิ่ง และต้องปลูกฝังนักเรียนในระดับอนุบาล – มัธยมศึกษา ให้มีการตั้งใจเรียนหนังสือ เพื่อจะเป็นอนาคตของประเทศชาติ อีกทั้งยังเป็นความภาคภูมิใจของผู้ปกครองที่เห็นบุตรของตนเองเป็นคนดีของสังคมต่อไป หลังจากนี้ก็จะได้เชิญนางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต และหัวหน้าส่วนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนตัวแทนผู้ปกครอง มาร่วมประชุมชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง เพื่อจะหาข้อสรุปให้กับผู้ปกครองโดยเร็วที่สุด เพราะในการจัดการศึกษาแม้จะเป็นอำนาจของท้องถิ่น แต่ก็จะต้องสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและชุมชนด้วย 


ทางด้านนายกวี ตันสุคตานนท์ รองนายกเทศบาลฯ กล่าวภายหลังเป็นตัวแทนรับมอบหนังสือร้องเรียนฯ ว่า ทางเทศบาลฯ จะรับเรื่องไว้พิจารณา และทันทีที่นายกเทศมนตรีนครภูเก็ตเดินทางกลับมาจากการศึกษาดูงาน ก็จะได้เชิญตัวแทนที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาพูดคุยและเจรจา เพื่อหาทางออกให้กับปัญหาทั้งหมด ซึ่งเหตุที่มีการเปลี่ยนแปลงการศึกษาของโรงเรียนเทศบาลปลูกปัญญานั้น เนื่องจากต้องการให้โรงเรียนมีการพัฒนา สามารถแข่งขันกับโรงเรียนต่างๆ ได้ แต่หากดำเนินการแล้วเกิดปัญหาก็ต้องกลับมาพูดคุยกันใหม่ 


ส่วนของนายสมบัติ ธีรประยูร รองประธานชมรมผู้ปกครองฯ เปิดเผยว่า ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนส่วนใหญ่ได้รับความเดือดร้อนจริงๆ จึงจำเป็นต้องคัดค้านไปยังหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบ หากมีการยุบระดับชั้นเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงประถมศึกษาปีที่ 6 ทันที ก็จะทำให้ผู้ปกครองและเด็กนักเรียนต้องหาสถานที่เรียนใหม่ บางรายมีลูกเรียนคนละแห่งก็ยิ่งสร้างความลำบากในการไปรับ – ส่ง ประกอบกับครูที่สอนในระดับชั้นดังกล่าว ก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน 


เนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้ ทางโรงเรียนเคยมีการพูดคุยว่า ในอนาคตจะเริ่มปรับระดับการศึกษา โดยจะไม่รับเด็กนักเรียนชั้นอนุบาลแล้ว เป็นระยะเวลา 8 ปี พอถึงช่วงนั้นก็จะทำให้โรงเรียนไม่มีเด็กนักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงประถมศึกษาปีที่ 6 จะเหลือเพียงนักเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นทางผู้ปกครองทั่วไปยินยอมรับได้ แต่จู่ๆ ทางเทศบาลฯและผู้อำนวยการโรงเรียนฯ ก็จะยุบทิ้งภายใน 2 ปี ก็จะทำให้ผู้ปกครองเดือดร้อน ดังนั้นจากนี้ไปจะให้เวลาการแก้ไขปัญหาและคำตอบภายใน 15 วัน หากทางเทศบาลฯยังยืนยันที่จะเปลี่ยนแปลง ทางชมรมผู้ปกครองก็เตรียมที่จะยกระดับการชุมนุมเพื่อกดดันทันที 


อย่างไรก็ตามภายหลังการยืนหนังสือที่ศาลากลางจังหวัดภูเก็ตและสำนักงานเทศบาลนครภูเก็ตแล้ว ทางกลุ่มของผู้ปกครองฯ ได้เดินทางกลับไปยังโรงเรียน และเรียกร้องให้นายวินัย สุริยปราการ ผู้อำนวยการโรงเรียนปลูกปัญญาฯ ออกมาชี้แจงถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยกล่าวว่า เขาก็เครียดไม่น้อยไปกว่าผู้ปกครอง เนื่องจากเป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชาในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาก็ต้องทำตามนโยบาย ไม่ใช่ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ก็ต้องปฏิบัติ เพราะเป็นข้าราชการ คุณครูภายในโรงเรียนก็เช่นกัน ก็ต้องวางตัวเป็นกลาง ตนก็รู้สึกอึดอัดใจเช่นกัน 


ดังนั้นจึงต้องรอให้นายกเทศบาลนครภูเก็ตกลับมาจากต่างประเทศ และจะเร่งเข้าไปพูดคุยพร้อมหาทางออกกันอีกครั้ง โดยมีตัวแทนของชมรมผู้ปกครองฯ เข้าร่วมเจรจาด้วย ซึ่งนโยบายการเปลี่ยนรูปแบบการศึกษาที่ทำขึ้นเพราะต้องการพัฒนาโรงเรียนให้มีขีดความสามารถแข่งขันกับโรงเรียนต่าง ๆ และส่งเสริมให้เด็กนักเรียนมีคุณภาพ จึงขอให้มีการพูดคุยกันแบบผู้ใหญ่อย่าดึงเด็กเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น