จำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

“ปานศิริ” รับลูก “เฉลิม” สั่งพื้นที่แก้ปัญหามาเฟีย



เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2555 ที่ห้องประชุมกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. (ปป.1) เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวตามนโยบายรัฐบาล และมอบนโยบายการทำงานในพื้นที่ ภาค 8 โดยมี พล.ต.อ.ฉัตรชัย โปตระนันทน์ ที่ปรึกษา (สบ.10) พล.ต.ท.สันติ เพ็ญสูตร ผบช.ภ.8, พล.ต.ต.อดิศร์ งามจิตสุขศรี ผบก.ทท.,พล.ต.ต.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต และข้าราชการตำรวจในระดับผู้บังคับการ รองผู้บังคับการ
หัวหน้าสถานีตำรวจภูธรในพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 8 และภาค 9


พล.ต.อ. ปานศิริ กล่าวว่า การเดินทางมาครั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว และเน้นย้ำการสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน จากกรณีมีคนร้าย 2 คนฆ่าชิงทรัพย์นักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลีย มีผู้เสียชีวิต 1 คน และบาดเจ็บ 1 คน ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความเสียหายในระดับประเทศ และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ( ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง) ได้มีการเรียกประชุมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ผู้ว่าราชการจังหวัด กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว พร้อมกำชับให้มีการดำเนินคดีและจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี 


ดังนั้นจึงได้ลงพื้นเพื่อมอบนโยบายการทำงานให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานมาประชุมร่วมกัน ทั้งตำรวจภูธร ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจทางหลวง ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เพื่อประสานการทำงานร่วมกัน


“ความปลอดภัยถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว ซึ่งในพื้นที่ของตำรวจภูธรภาค 8 ซึ่งมี 7 จังหวัด และเป็นพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ในแต่ละปีทำรายได้ให้กับประเทศเป็นจำนวนมาก และรองนายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะทราบว่าที่ผ่านมามีปัญหาเกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวเริ่มตั้งแต่ลงเครื่องบินก็ถูกคุกคาม รถรับส่งไปยังโรงแรมที่พัก การคิดอัตราค่าบริการที่ไม่เป็นธรรมจากการตรวจสอบพบมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่เกิดขึ้นประมาณ 6 ฉบับ เช่น พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ร.บ.การจราจร พ.ร.บ.การขนส่งทางบก พ.ร.บ.มัคคุเทศก์และนำเที่ยว เป็นต้น”


พล.ต.อ.ปานศิริ กล่าวด้วยว่า ต่อจากนี้การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องไม่เกรงใจใคร โดยเฉพาะปัญหารถแท็กซี่ป้ายดำหรือรถผิดกฎหมาย เป็นปัญหามากในเมืองท่องเที่ยวโดยเฉพาะภูเก็ต ซึ่งมีคิวแท็กซี่ป้ายดำที่มีนักการเมืองท้องถิ่นอยู่เบื้องหลังคุมคิวจำนวนกว่า 70 คิว โดยให้เริ่มด้วยการพูดคุยทำความเข้าใจกันก่อน หากไม่ปฏิบัติตามก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แต่เจ้าหน้าที่จะต้องมีการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานให้ได้มากที่สุด เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากแต่ขึ้นอยู่ว่าจะตั้งใจทำหรือไม่เท่านั้น เพราะหากดำเนินการโดยไม่มีหลักฐานชัดเจนก็จะมีข้อต่อสู้ของผู้มีอิทธิพลของที่อยู่เบื้องหลังได้ นอกจากปัญหาดังกล่าวแล้ว ยังมีปัญหาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ตุ๊กต๊ก หรือเจ็ทสกี ขอให้ทุกฝ่ายเร่งดำเนินการรวบรวมข้อมูล และวางแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยให้เวลาในการทำ 30 วัน จากนั้นก็ขอให้รายงานผลไปยังผู้บังคับบัญชา รวมถึงปัญหาอุปสรรคต่างๆ ด้วย และหากต้องการความช่วยเหลือก็ให้แจ้งไป เพราะทราบว่าที่ผ่านมาก็มีการดำเนินอยู่ 


อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.ปานศิริ ยังกล่าวอีกว่า ขอให้ทางผู้บังคับการจังหวัดและหัวหน้าสถานีตำรวจในแหล่งท่องเที่ยวแต่ละแห่งทำการสำรวจสภาพปัญหานักท่องเที่ยวในพื้นที่ว่ามีอะไรบ้าง มีใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังพร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางการแก้ปัญหา เพราะเชื่อว่าคนในพื้นที่ย่อมรู้เรื่องดี และหากต้องมีการบูรณาการกับหน่วยงานใดก็ให้เสนอเข้าไปด้วย, ให้จัดทำฐานข้อมูลของแต่ละพื้นที่ ทั้งตัวบุคคลหรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวและมีการกระทำที่ไม่ถูกต้อง มีการแสวงหาผลประโยชน์จากนักท่องเที่ยวทั้งการเอารัดเอาเปรียบ การข่มขู่ ประทุษร้าย หรือเหิมเกริมทำในเรื่องที่คาดไม่ถึง 


ส่งผลให้การท่องเที่ยวมัวหมอง, จัดทำมาตรการในการปฏิบัติของสถานีตำรวจที่มีแหล่งท่องเที่ยว โดยมีการกำหนดผู้รับผิดชอบในการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ จัดเตรียมพนักงานสอบสวนที่มีความรู้ด้านภาษามาดูแลคดีนักท่องเที่ยวเพื่อให้เกิดความถูกต้อง รวดเร็วและเป็นธรรม จะต้องมีอาสาสมัครที่มีความรู้ด้านภาษามาช่วยงานซึ่งไม่เฉพาะภาษาอังกฤษเท่านั้นแต่รวมถึงภาษาอื่นๆ ด้วย เนื่องจากบางครั้งเขาไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ นอกจากนี้จะต้องมีการบูรณาการการทำงานในทุกมิติโดยดึงภาคส่วนต่างๆ เข้ามาร่วม ทั้งภาคเอกชน อาสาสมัคร และคนในชุมชน 


พล.ต.อ.ปานศิริ กล่าวด้วยว่า เรื่องท่องเที่ยวถือเป็นเรื่องสำคัญ และรัฐบาลมีนโยบายในการเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวเป็น 2 ล้านล้านบาท ภายในระยะเวลา 5 ปี นับจากนี้ไปจนถึงปี 2558 ซึ่งทุกฝ่ายจะต้องเข้ามาร่วมมือกันแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อให้บรรลุความสำเร็จ ซึ่งในส่วนของตำรวจนั้นมีส่วนสำคัญในเรื่องการสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งในระดับชาติจะมีรองนายกฯ ที่รับผิดชอบโดยเฉพาะ ในระดับกองบัญชาการ ภาคและภูธรที่ต้องมีระดับรองลงมารับผิดชอบโดยเฉพาะด้วย และอยากฝากว่าในการปล่อยแถวสายตรวจออกปฏิบัติงานแต่ละครั้งจะต้องมีการดุแลในเรื่องท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวด้วย 


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น