เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2556 นายสมเกียรติ สังข์ขาวสุทธิรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยนายประเจียด อักษรธรรมกุล หัวหน้าสำนักงานจังหวัดภูเก็ต นายภูดิท รักษาราษฎร์ นายกเทศมนตรีตำบลรัษฎา, นายประพันธ์ ขันธ์พระแสง หัวหน้าศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดภูเก็ต, นายยศกฤต ชูศรี นักวิชาการที่ดินชำนาญการ สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต, นายจิรวัฒน์ นะมาตร์ ปลัดอำเภอเมืองภูเก็ต, นายสุทน ดวงฤทธิ์ เจ้าพนักงานป่าไม้ชำนาญงาน สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดภูเก็ต
นายพงศภัค เอียบสกุล เจ้าพนักงานป่าไม้ชำนาญงาน สถานีทรัพยากรป่าชายเลนที่ 23 จังหวัดภูเก็ต, นายธรรมรงค์ ช่วยอักษร ผู้ช่วยป้องกันจังหวัดภูเก็ต, พ.ต.อ.เศียร แก้วทอง รอง ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต, ประธานชุมชนซอยกิ่งแก้ว พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบบริเวณพื้นที่ป่าเลนคลองบางชีเหล้า – คลองท่าจีน ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต
ภายหลังมีผู้ใช้นามว่า “ชาวบ้านซอยกิ่งแก้ว 12” ร้องเรียนว่ามีผู้บุกรุกป่าชายเลนบริเวณซอยกิ่งแก้ว 12 โดยการสร้างรั้วกั้นทางลงทะเล และก่อสร้างบ้าน ทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าไปหาสัตว์น้ำในพื้นที่ป่าชายเลนได้ โดยมีนายกุมภา ธรรมประดิษฐ์ ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้ครอบครองมาให้รายละเอียด และชี้แจงว่าที่ดินดังกล่าวมีเอกสารสิทธิ หลังจากนั้นได้มีการมาประชุมร่วมกัน เพื่อสรุปแนวทางการแก้ปัญหาที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดภูเก็ต
จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าด้านหน้าทางเข้ามีการสร้างประตูรั้วสังกะสีปิดล็อคด้วยกุญแจ และล้อมรั้วลวดหนามปิดกั้นไว้อย่างแน่นหนา บุคคลทั่วไปไม่สามารถเข้าออกได้ ส่วนภายในมีการนำดินเข้ามาถมเพื่อขยายพื้นที่ ซึ่งอยู่ติดกับคลองท่าจีน นอกจากนี้ยังพบเสาเข็มจำนวนมากวางกองไว้ รวมทั้งยังพบสิ่งปลูกสร้าง เป็นบ้าน 1 หลัง และเพิงสังกะสีใช้เก็บของอีก 1 หลัง รวมทั้งยังมีการนำเรือขึ้นมาซ่อมแซมด้วย
นายสมเกียรติ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ไปตรวจสอบตามข้อร้องเรียนพบว่ามีการปรับสภาพพื้นที่จากเดิมมากพอสมควร โดยมีการขนดินมาถมลงทะเล รวมทั้งยังสร้างรั้วลวดหนามปิดกั้นทางลงสู่ทะเล ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ไม่สามารถเข้าไปตกปลาและจับสัตว์น้ำได้ โดยผู้ครอบครองที่ดินไม่ใช่เข้ามาอาศัยอยู่ในลักษณะแบบชาวบ้าน
แต่เป็นการเข้ามาประกอบอาชีพเชิงธุรกิจ สังเกตได้จากมีการต่อเรือสปีดโบ๊ทเอาไว้ โดยที่ดินบริเวณซอยกิ่งแก้วเกือบทั้งหมดเป็นพื้นที่อยู่ในเขตป่าเลนฯ และมีชาวบ้านเข้ามาจับจองพื้นที่สร้างบ้านเรือนอาศัยมาเป็นเวลานานกว่าหลายสิบปี ซึ่งภาครัฐพยายามไกล่เกลี่ยและหาแนวทางแก้ปัญหามาอย่างต่อเนื่อง แต่ในกรณีของผู้ถูกร้องเรียน ถือว่าเข้ามาปรับเปลี่ยนที่อยู่เกินกว่าวิถีชีวิตชุมชนปกติ จึงถูกชาวบ้านร้องเรียนเข้ามาที่ทางจังหวัด
“การตรวจสอบดังกล่าวไม่ได้มีเจตนาที่จะไปขับไล่หรือรังแกประชาชนซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว แต่เมื่อการร้องเรียนมายังจังหวัดก็จะต้องลงไปตรวจสอบ ซึ่งทราบข้อมูลเบื้องต้นว่า พื้นที่แปลงดังกล่าวได้มีคำสั่งศาลให้ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวออกจากพื้นที่ เนื่องจากยังไม่เห็นรายละเอียดก็ขอให้ทางสำนักป่าชายเลน ได้ไปทำการคัดสำเนาคำสั่งศาลดังกล่าว เพื่อตรวจสอบว่ามีการดำเนินการอย่างไร
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่าพื้นที่ดังกล่าวมีเอกสาร สค.1 ก็ขอให้สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตไปทำการตรวจสอบว่าเป็น สค.1 ที่ดินดังกล่าวจริงหรือไม่ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทางเจ้าของที่ รวมทั้งให้ประสานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองภูเก็ต เพื่อเข้าไปทำการรังวัดแนวเขตที่ชัดเจน โดยให้เทศมนตรีตำบลรัษฎา และผู้นำชุมชนไปทำความเข้าใจกับชาวบ้านเกี่ยวกับความจำเป็นที่จะต้องมีการตรวจสอบ
รวมทั้งให้ผู้ที่อ้างว่ามีเอกสารสิทธิให้นำมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ด้วย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และจะได้รายงานผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เพื่อพิจารราในการดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ให้ทางทรัพยากรธรรมชาติฯ กรมเจ้าท่า และสาธารณสุขจังหวัดเข้าไปดูแลเรื่องการตักดิน-ถมดิน เพราะบริเวณดังกล่าวมีปัญหาน้ำเน่าเสีย จนทำให้สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมอย่างมาก และมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน” นายสมเกียรติ กล่าว
ทางด้านนายกุมภา ธรรมประดิษฐ์ ผู้อ้างการครอบครองได้นำเอกสารสิทธิ์ สค.1.มามอบให้คณะกรรมการฯ พร้อมเปิดเผยว่า ที่ดินดังกล่าวแต่เดิมมีนางสมศรี อุดมทรัพย์ เป็นผู้ครอบครองเอกสารสิทธิ์ สค.1 มีเนื้อที่จำนวนกว่า 300 ไร่ แต่ไม่ได้เข้ามาพัฒนาหรือปลูกสิ่งปลูกสร้าง ประกอบกับลูกชายของตนได้รู้จักกับเจ้าของคนเดิม จึงเข้ามาดูแลและขออาศัยได้ประมาณ 10 – 20 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามหากทางจังหวัดจะเข้ามาดำเนินการตรวจสอบ ก็ยินดีและมองว่าเป็นสิ่งที่ดี เนื่องจากต้องการให้ปัญหาที่ค้างคามาอย่างยาวนาน สามารถหาทางออกให้กับครอบครัวตน หากเจ้าหน้าที่ที่ดิน ต้องการเข้าไปดำเนินการรังวัดที่ดิน ก็จะอำนวยความสะดวกให้อย่างเต็มที่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น